สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 432 เมืองฮู่เป่ยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 432 เมืองฮู่เป่ยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
บทที่ 432 เมืองฮู่เป่ยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
บทที่ 432 เมืองฮู่เป่ยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
เมืองฮู่เป่ย มู่ซืออวี่นั่งรถม้าไปยังสำนักจิ้งอัน
เมื่อได้ยินเสียงจอแจจากด้านนอก นางจึงเปิดม่านขึ้นแล้วมองออกไป เห็นผู้ประสบภัยหน้าตาเหลืองซูบซีดจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูเมือง
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูขวางหน้าประตูเมือง ไม่ให้ผู้ประสบภัยเข้าเมืองไป
ผู้ประสบภัยเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมือง คล้ายกับว่ากำลังจะเกิดการต่อสู้กันขึ้นในไม่ช้า
“มีสิทธิ์อะไรไม่ให้พวกเราเข้าไป?” ผู้ประสบภัยเอ่ยถาม “ไม่ง่ายเลยกว่าเราจะมาถึงเมืองฮู่เป่ย เหตุใดจึงไม่ให้พวกเราเข้าไป?”
“ตอนนี้มีกฎว่าต้องจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมือง เหตุใดพวกเจ้าไม่จ่าย?”
“ครอบครัวของพวกเราไม่อยู่แล้ว พวกเราจะไปเอาค่าผ่านทางเข้าเมืองมาจากที่ใดกัน ได้ยินว่าใต้เท้าในเมืองฮู่เป่ยแตกต่างจากเมืองอื่น บัดนี้ดูแล้วคงมีเพียงชื่อเสียงจอมปลอม”
“นั่นสิ พวกเรามาที่นี่เพียงเพราะชื่อเสียงแท้ ๆ”
“ได้ยินว่าเมืองฮู่เป่ยเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแล้ว นายอำเภอรักราษฎรประหนึ่งบุตร พวกเรารอนแรมมาไกล ลำบากลำบนตั้งเท่าไหร่กว่าจะมาถึงที่นี่…”
“พวกเราต้องการพบใต้เท้านายอำเภอ”
“นายท่าน ได้โปรดช่วยพวกเราเถิด ให้พวกเราเข้าไปเถอะ! พวกเราหิวมาหลายวันแล้ว”
“ผู้ใหญ่ทนได้ แต่เด็กทนไม่ไหวแล้ว หลานชายของข้าป่วย หากไม่ได้ไปหาหมอ เกรงว่าเขาจะทนไม่ไหวแล้ว!”
มู่ซืออวี่เอ่ยกับจื่อซู “จื่อซู เจ้าไปบอกพี่ชายน้อยตรงหน้าประตู ให้เขาไปแจ้งใต้เท้าเวินทันที ตรงนี้เกินกว่าความสามารถของเจ้าหน้าที่แล้ว”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
ไม่นานนักจื่อซูก็กลับมา
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูผู้นั้นเดินตามหลังนางมา
“ฮูหยิน วันนี้ใต้เท้าเวินออกไปนอกเมืองแล้วขอรับ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้เขาคงยังไม่กลับมา ตอนนี้ผู้ประสบภัยหลั่งไหลมามากมายเพียงนี้ ฮูหยินได้โปรดตัดสินด้วยเถิด” เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองผู้นั้นเอ่ย
“ยามใต้เท้าลู่ของพวกเจ้าปกครองอยู่ที่นี่ ข้ายังไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกงการของศาลาว่าการ ตอนนี้เจ้ากลับให้ข้าตัดสินใจหรือ?” มู่ซืออวี่พลันรู้สึกปวดขมับขึ้นมา
“ฮูหยินเป็นเสาหลักของพวกเรา เพียงแค่ฮูหยินเอ่ย พวกเราย่อมเชื่อฟัง” เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูผู้นั้นเอ่ยอย่างจริงจัง
“ผู้ประสบภัยเหล่านี้ล้วนน่าสงสาร ทว่ามากมายถึงเพียงนี้ ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาเข้าเมืองไปโดยไม่อาจควบคุม นี่จะถือว่าเป็นการไม่รับผิดชอบต่อชาวเมืองฮู่เป่ย ในเมื่อไม่อาจเมินเฉยได้ เช่นนั้นก็ให้พวกเขารวมตัวกันเสียก่อน ปลอบประโลมจิตใจของพวกเขา รอใต้เท้าเวินกลับมาค่อยตระเตรียมหลักแหล่งให้พวกเขา”
“ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขาในตอนนี้คือความหิวโหย ความเหนื่อยล้า มีบางคนป่วยไข้ ข้าจะให้คนจากกลุ่มการค้าจัดหาอาหารและกระโจมให้พวกเขาเดี๋ยวนี้ ให้พวกเขาตั้งหลักอยู่นอกเมืองเพื่อพักผ่อนชั่วคราว จากนั้นให้เหล่าท่านหมอจากโรงหมอมาตรวจอาการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ศาลาว่าการต้องออกเงินและยา ถึงตอนนั้นค่อยให้ใต้เท้าเวินเขียนหนังสือรายงาน”
“ขอบคุณฮูหยิน”
เมื่อเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูผู้นั้นทราบว่าต้องจัดการอย่างไร จึงรีบไปสื่อสารกับผู้ประสบภัยเหล่านั้นทันที
“ฮูหยิน พวกเรากำลังจะไปวัดจิ้งอันไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ตอนนี้จะทำอย่างไร?”
“ไปไม่ได้แล้ว วันหลังค่อยไปเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย “จื่อซู ไปสำนักจิ้งอันแล้วแจ้งสถานการณ์ในเมืองเจ้าสำนักหลี่สักหน่อย”
เจ้าสำนักหลี่ก็คือหลี่หงซู
หลี่หงซูบริจาคเงินบูรณะซ่อมแซมสำนักเต๋า และขอให้มู่ซืออวี่ออกแบบให้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องไปที่นั่น
มู่ซืออวี่จัดการเปิดประชุมกับเถ้าแก่จากหลายร้าน เพื่อหารือเรื่องผู้ประสบภัย
ถึงแม้นางจะเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้า แต่นางก็ไม่อาจตัดสินใจโดยพลการได้ เกี่ยวเนื่องกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางยังคงต้องฟังความคิดเห็นของทุกคน
ผู้ทำการค้าย่อมให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ ทว่าเรื่องนี้ไม่มีผลประโยชน์ที่แน่ชัด ส่วนมู่ซืออวี่มักจะใจดีมีเมตตาเสมอ จึงมีความเห็นไม่ตรงกับเถ้าแก่หลาย ๆ ร้าน
มู่ซืออวี่รู้ว่าผลประโยชน์เป็นสะพานสร้างสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน จึงไม่เคยคิดจะให้เหล่าเถ้าแก่ยอมประนีประนอม นางเอ่ยถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในตอนนี้ อีกทั้งยังเอ่ยถึงการพัฒนาของเมืองฮู่เป่ย
“เถ้าแก่ทุกท่าน ตรงหน้าพวกท่านเป็นแผนที่ของเมืองฮู่เป่ย ถัดจากนั้นเป็นเมืองเตียนอวี้ และทางนี้…”
มู่ซืออวี่เอ่ยวาจาอย่างฉะฉานมีหลักการ
“หัวหน้า ท่านเอ่ยเรื่องนี้มีความหมายอย่างไร?”
“นอกจากเมืองฮู่เป่ยของเราแล้ว หลายเมืองรอบ ๆ นี้ล้วนเป็นพื้นที่ประสบภัยอย่างร้ายแรง ราชสำนักจะต้องจัดสรรเงินบรรเทาทุกข์ลงมา จากนั้นเมืองรอบ ๆ นี้ก็จะถูกสร้างใหม่ ผลประโยชน์ของพวกเราผู้ค้าขายย่อมเห็นได้ชัด เมืองฮู่เป่ยของเราเดิมทีก็เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้เมืองเตียนอวี้อีกที สิบปีที่แล้วจึงค่อยขยับขยายมาเป็นเมืองใหญ่ที่ปกครองตนเอง”
“บัดนี้ความรุ่งเรืองของเมืองฮู่เป่ยค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว ขณะที่เมืองอื่น ๆ เผยจุดอ่อนออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ พวกท่านว่าการที่จะรวบรวมเมืองเล็ก ๆ เข้ามาอยู่เขตเมืองฮู่เป่ย เรื่องนี้เป็นไปได้หรือไม่?”
“หัวหน้า ท่านทะเยอทะยานเกินไปแล้ว”
“ใช่แล้ว! ทั้งเมืองเตียนอวี้และเมืองซูโจวล้วนเป็นเมืองใหญ่ เขตแดนของเมืองฮู่เป่ยเราไม่ใหญ่เท่าพวกเขาด้วยซ้ำ”
“เมืองฮู่เป่ยด้อยกว่าเมืองใหญ่ของพวกเขาจริง ทว่าครั้งนี้ทุกหัวระแหงล้วนประสบภัยพิบัติ เมืองฮู่เป่ยของเรากลับรักษากำลังไว้ได้ อีกอย่างก็คือ ผู้ประสบภัยนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเอาแต่กินดื่มอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือลงหลักปักฐาน หากท่านมองดูพื้นที่ข้าง ๆ เมืองฮู่เป่ยเรา ล้วนแต่เต็มไปด้วยที่ดินรกร้างว่าเปล่า สามารถบุกเบิกได้”
“หัวหน้า ท่านหมายถึงให้รั้งผู้ประสบภัยเหล่านี้เอาไว้หรือ?”
“เมืองฮู่เป่ยขาดที่ดินและผู้คน หากผู้ประสบภัยเหล่านี้รั้งอยู่ บุกเบิกที่ดินรกร้าง การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ยย่อมคุ้มค่าแก่การรอคอย ด้วยราษฎรและเขตแดนที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเรา ‘วีรบุรุษ’ ของเมืองฮู่เป่ยไม่ใช่หรือ? เถ้าแก่ทุกท่าน พวกเราเป็น ‘คน’ ก่อน แล้วจึงเป็น ‘คนทำการค้า’ เมืองฮู่เป่ยเป็นบ้านของพวกเรา หากพวกเราสร้างเมืองแห่งการค้าขายที่แข็งแกร่งขึ้นมา พวกท่านไม่คิดหรือว่าชีวิตนี้มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง?”
“หัวหน้า ท่านกำลังจะไปยังเมืองหลวง ไม่ว่าเมืองฮู่เป่ยจะพัฒนาขึ้นเพียงใด จะมีความหมายอะไรต่อท่าน?” มีคนเอ่ยถามขึ้นมา
“คนมากมายต้องจากบ้าน รอนแรมไปไกลเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด พวกเขาก็ไม่เคยลืมว่ารกรากของตนอยู่ที่ใด มีคำกล่าวที่ว่า ‘ใบไม้ที่ร่วงโรยหวนคืนสู่ราก’ ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นรกรากของพวกเรา ตราบใดที่พวกเราได้ยินว่าบ้านของพวกเรากำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะสามารถบอกกล่าวแก่ผู้อื่นได้อย่างภาคภูมิใจว่าพวกเรามาจากเมืองฮู่เป่ย”
“ได้ยินหัวหน้ากล่าวเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนพวกเราจะจิตใจคับแคบเกินไป ไม่ตรงไปตรงมามากพอ เพียงกล่าวได้ว่า หัวหน้าช่างสมกับเป็นหัวหน้าจริง ๆ ตาแก่ผู้นี้ถูกท่านโน้มน้าวได้แล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ต้องให้ทุกท่านช่วยออกแรงแล้ว”
“การพัฒนาของเมืองฮู่เป่ยไม่อาจแยกจากเราได้ อีกทั้งพวกเราก็ได้ประโยชน์ เพื่อการพัฒนาระยะยาวแล้ว คุ้มค่าที่พวกเราจะช่วย เหตุใดจึงจะไม่ช่วยเล่า?”
“มีถ้อยคำบางคำไม่รู้ว่าควรเอ่ยออกมาดีหรือไม่”
“ท่านว่ามาเถิด”
“ฮูหยินไม่ได้ติดตามใต้เท้าลู่ไปเมืองหลวง ใต้เท้าลู่จะต้องทุกข์ระทมจากไข้ใจเป็นแน่ ทว่าสำหรับนายอำเภอเวินหากจะกล่าวไปแล้ว เขาคงคลายกังวลไปได้มาก!”
“ไม่แน่ว่าใต้เท้าเวินอาจจะได้เลื่อนขั้นแล้ว”
คนอื่น ๆ ล้วนหัวเราะออกมา
มู่ซืออวี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอแค่เพียงข้าอยู่ที่นี่อีกหนึ่งวัน ข้าก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องของเมืองฮู่เป่ยได้ ผู้ประสบภัยจากบ้านเกิดเมืองนอนพวกเขามา เป็นดั่งจอกแหนไร้ความรู้สึก ไม่มีผู้ใดครอบครอง หากพวกท่านดีต่อพวกเขา พวกเขาก็จะจดจำไว้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนี้มาเมืองฮู่เป่ยของพวกเรา พวกเขาย่อมเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังที่มีต่อพวกเรา เราจะให้พวกเขาผิดหวังได้อย่างไร?”
หลังจากประชุมแล้ว ทุกคนล้วนยุ่งกับงานของตนเอง ทำในส่วนของตนเอง
มู่ซืออวี่ไม่เคยบังคับพวกเขา หลังจากประชุมแล้วนางจะไม่ถามพวกเขาว่ายินดีช่วยหรือไม่ อย่างไรเสียหากพวกเขาลงมือช่วยก็ถือว่าเป็นเจตนาดีของพวกเขา หากไม่ลงมือช่วยก็ไม่มีอะไรผิด