สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 439 ในเสบียงมีปูนขาว
บทที่ 439 ในเสบียงมีปูนขาว
บทที่ 439 ในเสบียงมีปูนขาว
มู่ซืออวี่ตามผู้ติดตามไปยังเรือนเซียวเหยา
ฟ่านหยวนซีนั่งดื่มชาอยู่บนศาลา เสือดาวตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้าง ๆ เขา
เมื่อมู่ซืออวี่ปรากฏตัว เสือดาวตัวนั้นก็ลุกขึ้นมาทันที ทั้งยังมองนางอย่างดุร้าย พอฟ่านหยวนซีเตะมัน เสือดาวตัวนั้นจึงยอมนั่งลงอีกครั้ง ราวกับรู้ความนัยของเจ้าของ
“คารวะท่านอ๋อง”
“ข้าเรียกเจ้ามา ไม่ได้ให้เจ้ามาคำนับ” ฟ่านหยวนซีเอ่ยเบา ๆ “นั่งลงพูดคุยเถอะ”
“ขอบคุณท่านอ๋อง”
“จะเข้าเมืองเมื่อไหร่?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม “ข้าถามแทนเหวินอี้ เห็นพวกเจ้าเข้ากันได้ดี ตอนนี้เขาอยู่แต่ที่จวนทั้งวัน ไม่ยอมออกไปที่ใด หากเจ้าเข้าเมืองหลวง เหวินอี้ถึงจะมีคนให้พูดคุยด้วย”
“หากคุณชายเหวินเบื่อหน่าย ท่านก็หาเรื่องให้เขาทำสิ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ด้วยความสามารถของท่านอ๋อง เพียงแค่ซื้อกิจการสักอย่างให้เขาดูแลนั้นยากมากหรือ?”
“ข้าลองแล้ว เขาไม่สนใจกิจการธรรมดา ๆ เหล่านั้น” ฟ่านหยวนซีเอ่ยต่อ “ข้าเห็นว่าตอนที่เขาทำงานให้เจ้า เขามีความสุขมาก”
“เช่นนั้นข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว” นางยักไหล่ วางท่าทีราวกับอับจนปัญญา “ตอนนี้ข้ายังไปเมืองหลวงไม่ได้ รอข้าไปเมืองหลวงแล้ว จะเชิญเหวินอี้มาเป็นหัวหน้าการเงินให้ข้า”
“ตำแหน่งนั่นคืออะไร?”
“คือผู้จัดการดูแลบัญชีทั้งหมด”
“เจ้าคิดจะให้เขาเหนื่อยตายหรือ?”
“เบื้องล่างมีผู้ทำบัญชีกลุ่มหนึ่งอยู่แล้ว เขาเพียงแค่รับผิดชอบดูแลพวกเขาอีกที และตรวจดูว่าบัญชีมีปัญหาหรือไม่เป็นบางครั้ง ไม่เหนื่อยมากไปหรอก ท่านอ๋องยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่?”
“ข้าหิวแล้ว เจ้าไปทำอาหารให้ข้ากินที”
ฝีมือทำอาหารของมู่ซืออวี่เป็นเลิศ ฟ่านหยวนซีเคยได้ทานเพียงไม่กี่ครั้ง จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืมเลือนรสชาตินั้น
นอกจากรสชาติอันโอชะแล้ว อาหารที่นางทำยังมีกรุ่นกลิ่นและรสชาติที่ชวนให้นึกถึงบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ว่าชั่วชีวิตของเขาหรือเหวินอี้ก็ไม่สามารถคิดฝันออกมาได้
“ท่านอ๋อง ท่าไม่ดีแล้ว…”
หนึ่งในคนของเขาวิ่งเข้ามาพลางตะโกนเสียงดัง
ก่อนที่ฟ่านหยวนซีจะได้เอ่ยปาก คนสนิทก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน “พูดดี ๆ อะไรคือท่านอ๋องท่าไม่ดีแล้ว? เจ้าอยากตายหรือ?”
“มิได้ ๆ ไม่ใช่ท่านอ๋องท่าไม่ดีแล้ว แต่เป็นผู้ประสบภัยเหล่านั้นท่าไม่ดีแล้ว” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ผู้ประสบภัยคนนั้นนำเสบียงกลับไปทำอาหาร จากนั้นก็ปวดท้องอย่างหนัก ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองซูโจวจึงตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล ใต้เท้านายอำเภอนำกองกำลังมาดูแล้ว ข้าน้อยจึงรุดมารายงานท่านอ๋องก่อน เชิญท่านอ๋องไปดูสถานการณ์ขอรับ”
“แม่ทัพซูกับใต้เท้าลู่เล่า?”
“พวกเขาก็รุดไปดูแล้วเช่นกันขอรับ”
“ข้าจะไปดู” ฟ่านหยวนซีสาวเท้าจากไป
มู่ซืออวี่เอ่ยกับจื่อซูและจื่อเยวี่ยน “พวกเราก็ไปดูเถอะ”
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในเมืองซูโจว การแจกจ่ายอาหารบรรเทาทุกข์จึงต้องหยุดชะงักลงก่อน
เจ้าหน้าที่ทางการแบกคนที่บิดตัวด้วยความเจ็บปวดและร้องโอดโอยอยู่กับพื้นไปยังจวนว่าการทันที จากนั้นก็เชิญท่านหมอทั่วทั้งเมืองมารักษาพวกเขา
“เป็นอย่างไร?” ซูเซิ่งเอ่ยถามท่านหมอ
ท่านหมอกล่าวตอบ “จะต้องกินของที่เป็นพิษเข้าไปแน่ขอรับ”
ลู่อี้ส่งโจ๊กให้ท่านหมอ “ท่านตรวจดูนี่หน่อย”
ท่านหมอลองดมกลิ่น คิ้วพลันขมวดขึ้นมา เขาลองชิมไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบถุยของที่อยู่ในปากออกมาทันที “ถุย ๆ! เหตุใดในนี้จึงมีหินปูนเผาอยู่เล่า?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ฟ่านหยวนซีรุดเข้ามา
“คารวะท่านอ๋อง…” ทุกคนค้อมคำนับ
“เอาละ ข้าอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้น!” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างเยือกเย็น “พวกเราช่วยเหลือคนมาหลายที่แล้ว ล้วนไม่มีผู้ใดเป็นอะไร พอมาถึงเมืองซูโจวกลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เรียนท่านอ๋อง พวกเราพบหินปูนเผาในโจ๊ก” ลู่อี้รายงาน
มู่ซืออวี่ได้ยินคำพูดนี้เข้าพอดี
หินปูนเผาก็คือปูนขาว ถ้าในโจ๊กมีหินปูนขาว แล้วชาวบ้านเหล่านั้นยังจะดื่มได้หรือ?
“จะมีหินปูนเผาได้อย่างไร? ตรวจสอบเดี๋ยวนี้!” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “อยากเห็นนักว่าผู้ใดกล้าสร้างปัญหาให้ข้า”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษา” มู่ซืออวี่ย้ำเตือน “ทานหินปูนเผาเข้าไปไม่ใช่เรื่องเล่น จะทำให้ท้องปวดแสบปวดร้อนได้ ท่านหมอ โปรดพยายามช่วยพวกเขาอย่างถึงที่สุดด้วยเถิด”
โม่อู๋เว่ยพบว่าฮูหยินลู่ผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก ท่านอ๋องอยู่ที่นี่ ผู้อื่นล้วนไม่กล้าเอ่ยปาก แต่นางกลับสอนว่าท่านอ๋องควรทำเรื่องใด
แต่ท่านอ๋องอารมณ์ร้ายผู้นั้นกลับแปลกยิ่งกว่า หากเป็นผู้อื่นเอ่ยคำนี้ขึ้น เขาคงโยนมันผู้นั้นออกไปเป็นอาหารเสือดาวของตัวเองแล้ว ทว่าเขากลับปล่อยให้มู่ซืออวี่ออกคำสั่ง
ก่อนหน้านี้ที่นางกล่าวว่าจงอ๋องปฏิบัติต่อฮูหยินลู่แตกต่างจากผู้อื่น เพราะจงใจทำให้ลู่อี้ไม่สบอารมณ์ และทำให้สามีภรรยาขุ่นข้องหมองใจกัน แต่ตอนนี้นางพบว่าสิ่งที่กล่าวไปสุ่ม ๆ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ท่านอ๋อง พวกชาวบ้านเริ่มก่อความวุ่นวายแล้ว” นายอำเภอเมืองซูโจวเอ่ยอย่างร้อนรน “ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร?”
“ข้าจะรอดูว่าผู้ใดกล้าก่อเรื่อง” ฟ่านหยวนซียิ้มเย้ยหยัน
ทุกคนออกมาจากศาลาว่าการ
เห็นเพียงชาวบ้านจำนวนมากออกันอยู่ที่หน้าประตู
ชาวบ้านแต่ละคนล้วนรู้สึกไม่เป็นธรรม ดวงตาของพวกเขาลุกโชน ราวกับจะเผาศาลาว่าการให้ราบคาบในชั่วพริบตา
“ออกมาแล้ว! พวกเขาออกมาแล้ว!”
“พวกเราต้องการคำอธิบาย! ราชสำนักส่งพวกท่านมาก็เพื่อให้พวกท่านมาช่วยเหลือ ไม่ใช่ให้มาฆ่าแกงเรา”
“เหตุใดจึงต้องทำร้ายพวกเรา? คิดจะฆ่าพวกเราให้ตายหมดหรือ? พวกเราต้องการภัยพิบัติหรืออย่างไร? พวกเราอยากให้คนมาช่วยหรือ? พูดมา! ให้คำอธิบายกับพวกเราเดี๋ยวนี้!”
สายตาของฟ่านหยวนซีเข้มขึ้น “พวกเจ้าต้องการคำอธิบายอะไร? ข้า…”
“ท่านอ๋อง” ลู่อี้รั้งฟ่านหยวนซีไว้ “ให้ข้าพูดเถอะ!”
ด้วยลักษณะนิสัยของจงอ๋องแล้ว เมื่อพบราษฎรในเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าเขาจะทำเรื่องขาดสติแบบใดออกมาหรือไม่
“ทุกท่าน พวกเรานึกไม่ถึงว่าจะเกิดปัญหากับโจ๊ก พวกเราจะต้องตรวจสอบหาความจริงอย่างแน่นอน” ลู่อี้เอ่ย “ท่านอ๋องนำทัพพวกเราช่วยเหลือชาวบ้านมาแล้วหลายสิบเมือง ล้วนไม่เคยมีปัญหาแม้แต่น้อย พอมาถึงเมืองซูโจวกลับเกิดปัญหาขึ้น เกรงว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำเป็นแน่ ทุกท่าน ด้วยลักษณะนิสัยของท่านอ๋อง หากเขาอยากทำร้ายพวกท่านจริง ๆ จะต้องเปลืองแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ
ความโหดเหี้ยมของจงอ๋องดังกระฉ่อน
เขาคิดอยากจะฆ่าคนก็ฆ่า แล้วเหตุใดต้องใช้อุบายยุ่งยากถึงเพียงนี้?
หรือว่าเรื่องนี้จะมีอะไรแอบแฝงจริง ๆ?
“ทุกท่าน ข้ายืนยันว่าเรื่องนี้จะต้องมีคำอธิบายแน่นอน เราจะตรวจสอบออกมาว่าผู้ใดใส่หินปูนเผาลงไปในโจ๊ก ตอนนี้เราไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมีจุดประสงค์อะไร อย่าได้ตกหลุมพรางของเขา หากรีบร้อนบุ่มบ่ามทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีให้แก้ไขแล้ว ตอนนี้พวกเราต้องรักษาผู้เคราะห์ร้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เสียก่อน” มู่ซืออวี่เอ่ยสมทบ
“เถ้าแก่เนี้ยมู่เป็นคนดี ยามลำบากเช่นนี้ คนของกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยก็นำโจ๊กและอาหารมาให้พวกเรา ข้าเชื่อว่านางจะไม่ทำร้ายพวกเรา”
“ข้าก็เชื่อเถ้าแก่เนี้ยมู่เช่นกัน”
“ใช่ เถ้าแก่เนี้ยมู่กล่าวว่ามีคนต้องการยุยง พวกเราอย่าได้หลงกลเชียว”
ทหารของซูเซิ่งคอยระมัดระวังคนที่ก่อความวุ่นวายกลุ่มนี้เสมอ เมื่อเห็นพวกเขาสงบลง ร่างกายที่ตึงเครียดของเหล่าทหารก็ผ่อนคลายมากขึ้น
ทุกคนล้วนประจักษ์ถึงอิทธิพลที่มู่ซืออวี่มีต่อชาวบ้าน
ราษฎรของที่นี่รู้จักนางแทบทุกคน
อธิบายอะไรกัน?
เห็นได้ชัดว่าเสียงของนางที่มีต่อประชาชนมีอิทธิพลยิ่งกว่าทางการเสียอีก
“ท่านอ๋อง พวกท่านไปแจกจ่ายโจ๊กที่อื่น แต่กลับไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นั่นหมายความว่าในข้าวเพิ่งมีหินปูนเผาได้ไม่นาน ได้โปรดตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยเถิด”
“ข้าจะตรวจสอบ” ฟ่านหยวนซีกล่าว “แต่หากยังมีคนมาวุ่นวายอีก ข้าจะโยนพวกเขาเข้าไปในเรือนเซียวหยวนเสีย”