สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 44 ขอโทษแล้วกันที่ข้าเป็นคนอดทนไม่เก่ง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 44 ขอโทษแล้วกันที่ข้าเป็นคนอดทนไม่เก่ง
บทที่ 44 ขอโทษแล้วกันที่ข้าเป็นคนอดทนไม่เก่ง
บทที่ 44 ขอโทษแล้วกันที่ข้าเป็นคนอดทนไม่เก่ง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เส้นบะหมี่ก็ดูดซับน้ำจนแห้งอืด
มู่ซืออวี่เติมน้ำ เทบะหมี่ที่ยังไม่ได้กินลงไปในหม้อแล้วอุ่นอีกครั้ง
“ข้าไม่คาดคิดว่าพี่เฉิงเฉวียนจะเชื่อหญิงปากร้ายผู้นั้น”
ลู่เซวียนซึ่งยืนอยู่หน้าประตูมองไปยังทิศทางห้องครัวก่อนจะกล่าวขึ้น “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับใครบางคน ช่างน่าตำหนิเสียจริง ผ่านไปไม่พ้นสามวันก็สร้างปัญหาอีกครา มีนางอยู่ที่นี่ คนทั้งหมู่บ้านต้องไม่อยากคบค้าสมาคมกับบ้านเราแน่”
มู่ซืออวี่เย้ยหยัน “ช่างน่าขันเสียจริง! ช่างชอบพบปะผู้คนเสียจริง มิน่าเล่าวัน ๆ ถึงไม่คิดจะทำสิ่งใด เพียงเดินทางไปบ้านผู้นั้นทีผู้นี้ที”
“ท่านพี่ ดูนางสิ ยังไม่รู้จักสำนึกอีก” ลู่เซวียนโมโห สายตาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ
“ข้าทำสิ่งใดผิด? หวังซื่อเป็นผู้ลงมือก่อน ข้าไม่ควรโต้กลับนางอย่างนั้นหรือ? เห็นอยู่ว่านางใส่ร้ายข้า ข้าไม่ควรสอนบทเรียนให้แก่นางหรือ? ขอโทษแล้วกันที่ข้าเป็นคนอดทนไม่เก่ง”
“เจ้า… เจ้า… ช่างน่ารังเกียจเสียจริง”
“เอาล่ะ” ลู่อี้ขัดจังหวะการโต้เถียงระหว่างทั้งสอง “น้องเซวียน สุขภาพของเจ้าไม่ค่อยดี รีบเข้านอนเถิด”
มู่ซืออวี่เองก็โกรธมากเช่นกัน “ใช่แล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หรือเป็นเพราะเจ้านอนไม่หลับก็เลยมายั่วยุข้าเพื่อสร้างปัญหา?”
“ท่านพี่ ยาของท่านแม่พร้อมแล้วหรือไม่?” มู่เจิ้งหานออกมาจากห้องพักและเอ่ยถาม
“ข้ากำลังต้มอยู่บนเตา จะพร้อมให้ดื่มในอีกไม่นาน” มู่ซืออวี่ไม่สนใจลู่เซวียน นางเดินกลับไปยังห้องครัวเพื่อดูยาที่ต้มอยู่
“ท่านพี่ ดูท่าทางของนางเถิด…” ลู่เซวียนกล่าวอย่างโกรธเคือง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่กล้าบอกเล่าถึงเรื่องไร้สาระเช่นนี้ต่อหน้าท่าน แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว หากยังปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ต่อไป แล้วผู้ใดจะควบคุมนางได้อีก?”
“น้องเซวียน เจ้าดื่มยาแล้วหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“ข้าไม่ต้องการดื่มของไร้ประโยชน์เช่นนั้น” ลู่เซวียนกล่าว “ท่านพี่ อย่าเสียเงินซื้อยาให้ข้าอีกเลย ในเมื่อข้ามีชีวิตอยู่มาได้จนทุกวันนี้ วันต่อไปข้างหน้าข้าก็อยู่ได้!”
“ไร้สาระ ข้าไม่ชอบฟังเรื่องเช่นนี้ อย่าทำให้ข้าโกรธเลย” ลู่อี้จ้องมองน้องชายด้วยแววตาจริงจังและเฉียบขาด “ข้าสัญญากับท่านพ่อและท่านแม่ว่าจะปกป้องเจ้า ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะเพิกเฉยต่อความพยายามของข้าไม่ได้!”
“ร่างกายของท่านพี่แข็งแกร่งจนดูเหมือนจะมีอายุได้นับร้อยปี จะให้ข้าเทียบกับท่านได้อย่างไร” ลู่เซวียนพึมพำ
…
อากาศในยุคโบราณบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งมลพิษจากโรงงาน ท้องฟ้าปลอดโปร่งและงดงาม อากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของต้นไม้
เสียงไก่ขันดังขึ้นเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของวันอันยุ่งเหยิง
เอ้กอีเอ้กเอ้ก! เอ้กอีเอ้กเอ้ก!
ลู่เซวียนเดินออกมาจากด้านในพลางบิดขี้เกียจ เมื่อเขาเห็นร่างของบุคคลหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับงานในลานบ้าน แววตาของเขาก็เผยความประหลาดใจ
เขาคิดว่าเป็นลู่อี้ที่กำลังง่วนอยู่กับงาน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนขี้เกียจอย่างมู่ซืออวี่
เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า
เพิ่งรุ่งสาง ยังเช้าอยู่เลย!
“เจ้ามัวแต่ทำสิ่งใดอยู่?”
“หากข้าบอกตอนนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจ ไว้ข้าจะบอกทุกสิ่งหลังเสร็จสิ้นก็แล้วกัน!” มู่ซืออวี่กล่าวโดยไม่เงยหน้า
“ข้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ? หึ!” เห็นได้ชัดว่าลู่เซวียนไม่เชื่อ
เมื่อเห็นนางยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เครื่องมือเหล่านี้ล้วนยืมมาจากผู้อื่น ใช้อย่างระมัดระวังด้วยล่ะ”
“เข้าใจแล้ว เจ้านี่ช่างเจ้ากี้เจ้าการเสียจริง” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างหมดความอดทน “ข้าเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว จุดไฟแล้วอุ่นกินเองเถิด”
ลู่เซวียนจ้องมองมู่ซืออวี่จากด้านหลัง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ลู่จื่ออวิ๋นขยี้ตาพลางเดินออกมา
นางเดินออกมาเท้าเปล่าพร้อมผมอันยุ่งเหยิง จากนั้นก็นั่งลงบนธรณีประตูแล้วจ้องมองการเคลื่อนไหวของมู่ซืออวี่
“อวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดจึงไม่ใส่รองเท้าเล่า?” ลู่เซวียนขมวดคิ้วพลางก้มลงหมายจะอุ้มลู่จื่ออวิ๋น
ขณะที่เขากำลังเอื้อมมือเข้าอุ้มนาง เขาก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หน้าอก
“อะแฮ่ม!”
“ท่านอา อย่าอุ้มข้า” ลู่จื่ออวิ๋นรีบลุกขึ้น
“ทำอะไรกันอยู่?” ลู่อี้เพิ่งเดินทางกลับมาจากด้านนอก
เขาถือเคียวอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าเพิ่งตัดหญ้าเสร็จ
มีวัชพืชมากมายในแปลงผัก เพื่อให้ผักเติบโตได้ดีและสวยงามยิ่งขึ้น เขาจำเป็นต้องทำความสะอาดเป็นระยะ
“ไม่มีอะไร” ลู่เซวียนเอ่ยว่า “ข้าเพียงเห็นว่าเท้าของอวิ๋นเอ๋อร์เปลือยเปล่า แค่จะอุ้มนางเพื่อไปสวมรองเท้า ไม่คิดว่าร่างกายของนางจะหนักถึงเพียงนี้”
“เหตุใดจึงไม่ใส่รองเท้าเล่า?” ลู่อี้อุ้มลู่จื่ออวิ๋นขึ้นมา
“ข้า…” ลู่จื่ออวิ๋นตอบกลับด้วยดวงตาแดงก่ำ
ลู่ฉาวอวี่เดินออกมาจากด้านในพลางยื่นรองเท้าให้กับลู่จื่ออวิ๋น
รองเท้าของเขามีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยรอยปะ แต่ก็ยังใช้งานได้
เมื่อมองไปยังลู่ฉาวอวี่อีกครั้งก็เห็นว่าเขาเดินเท้าเปล่าเช่นกัน “ข้าไม่ชอบใส่รองเท้า ไม่สบายเท้าเอาเสียเลย”
มู่ซืออวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับงานสังเกตเห็นการเคลื่อนไหว จึงหันไปมองเท้าเปล่าของเด็กทั้งสอง สีหน้าราวกับเข้าใจบางสิ่ง
รองเท้าคู่หนึ่งมีราคาหลายสิบอีแปะ ครอบครัวของพวกเขาไม่มีเงินซื้อรองเท้าเพิ่ม ทว่าสำหรับนางแล้ว การสานรองเท้าแตะจากฟางก็ไม่ใช่เรื่องยาก
นางปัดเศษปิ่งในมือพลางก้าวไปหา “ใส่เถิดฉาวอวี่ ข้าจะทำรองเท้าให้อวิ๋นเอ๋อร์ในภายหลัง”
“ทำรองเท้า? แต่บ้านของเราไม่มีเศษผ้าเหลืออยู่เลย” ลู่เซวียนเอ่ย
“หากเสร็จแล้วเจ้าก็จะเห็นเองแหละ”
ลู่อี้ตักข้าวก่อนจะขอให้มู่เจิ้งหานนำไปส่งให้กับถงซื่อ จากนั้นจึงตักอาหารเช้าให้กับคนอื่น ๆ ด้วย
เขาตั้งใจไปหามู่ซืออวี่ แต่ไม่รู้ว่านางหายไปไหน
“ข้าเห็นนางเดินออกไปเมื่อครู่” ลู่เซวียนกล่าว
“อืม กินข้าวก่อนเถิด”
เขามองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย
มู่ซืออวี่ในปัจจุบันแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก
นางรู้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เหมือนกับที่สตรีทั่วไปรู้
นางดีกับลูกทั้งสองและมีความเป็นแม่มากกว่า ‘มู่ซืออวี่’ คนเดิม เขามองเห็นรูปลักษณ์ของหญิงสาวในแววตานาง ดูแล้วนางยังคงเยาว์วัย
หญิงสาวที่ต้องกลายมาเป็นแม่ของเด็กทั้งสอง นางไม่เพียงแต่ไม่ตื่นตระหนกเท่านั้น แต่ยังปรับตัวได้ดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญกับความยากลำบากหรือการถูกกลั่นแกล้ง นางก็สามารถต่อสู้กลับไปได้โดยไม่แสดงความอ่อนแอ
ครอบครัวแบบใดกันที่สามารถเลี้ยงลูกสาวได้ดีเช่นนี้?
เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่นางใช้โอกาสนำเอาไข่ 20 ฟองจากบ้านของหวังซื่อมาได้ เขาก็รู้สึกได้ว่านางเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เบา
“พี่เขย ท่านจะไปภูเขาอีกหรือไม่?” มู่เจิ้งหานเอ่ยถามพลางซดข้าวต้ม
“อืม”
พวกเขานั่งรับประทานอาหารด้วยกัน แต่ลู่อี้กลับไม่เปล่งเสียงสนทนาแม้เพียงนิด
“ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่?” มู่เจิ้งหานกล่าวพลางก้มหน้า ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“เจ้ายังเด็กเกินไป ภูเขาแห่งนั้นอันตรายยิ่ง” ลู่อี้ขมวดคิ้ว
“ข้าไม่กลัวอันตราย” มู่เจิ้งหานจ้องมองลู่อี้อย่างใจจดใจจ่อ “ข้าวิ่งเร็ว ไม่สร้างปัญหาให้ท่านแน่นอน หากเผชิญกับอันตราย ข้าก็ปืนต้นไม้ได้ ข้าไม่กลัวงูกับแมลงด้วย”
“หากเจ้าปรารถนาจะไป ข้าก็จะพาไป” ลู่อี้กล่าว
“ขอบคุณพี่เขย”
เมื่อได้รับคำตอบ มู่เจิ้งหานก็กินข้าวต้มต่อไปอย่างมีความสุข
จากนั้นไม่นาน เขาก็หยิบปิ่งออกมาจากหม้อ เมื่อเห็นว่าลู่อี้จ้องมองมาก็อธิบาย “พี่สาวของข้าสั่งไว้ก่อนออกไป หากพี่เขยไปยังภูเขาและกลับลงมาในตอนบ่าย ปิ่งในหม้อนี้จะเป็นอาหารมื้อเที่ยงของท่าน”
“อืม”
เมื่อมู่ซืออวี่กลับมา ลู่อี้ก็พามู่เจิ้งหานขึ้นไปยังภูเขา
หลังจากลู่เซวียนกวาดลานบ้านเสร็จก็ไม่มีสิ่งใดต้องทำต่อ เขาจึงรื้อหนังสือเก่าออกมาจำนวนมาก
“ฉาวอวี่ มาที่นี่เถิด อาจะสอนวิธีอ่านหนังสือให้เจ้า” ลู่เซวียนกล่าว
ลู่ฉาวอวี่จ้องมองมู่ซืออวี่ที่กำลังวุ่นวายกับการทำงานบ้าน ก่อนจะเดินไปหาลู่เซวียนอย่างเชื่องช้า
โดยปกติแล้ว ลู่ฉาวอวี่มักจะออกไปหาฟืนในเวลานี้ แต่วันนี้เขาอยากจะรู้ว่าหญิงผู้นี้จะทำรองเท้าเช่นใดให้กับน้องสาวของเขา เขาจึงรออยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าดู
ลู่เซวียนดึงลู่จื่ออวิ๋นมานั่งด้านข้างด้วยกัน จากนั้นเขาก็ถือไม้ไว้ในมือเพื่อสอน “วันนี้เราจะเรียนรู้อักขระนี้ด้วยกัน…”