สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 442 ลู่อี้ได้รับบาดเจ็บ
บทที่ 442 ลู่อี้ได้รับบาดเจ็บ
บทที่ 442 ลู่อี้ได้รับบาดเจ็บ
มู่ซืออวี่ทราบความรู้สึกของโม่อู๋เว่ยที่มีต่อลู้อี้นานแล้ว ทว่าเมื่อเห็นสีหน้า ‘อย่ามาชี้เป้าข้า’ ของอีกฝ่าย ก็เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนเฉลียวฉลาดที่ปล่อยวางได้แล้ว
ฮูหยินลู่พลันรู้สึกนับถือสตรีพื้นเพธรรมดาที่เป็นถึงหัวหน้าของเหล่าโจรภูเขาขึ้นมา
“คนที่ชอบสามีข้ามีไม่น้อยจริง ๆ ทว่าเขาไม่ชอบสตรีธรรมดาที่ผัดหน้าหนาเตอะพวกนั้น และผู้ที่ฉลาดย่อมไม่สนใจไยดีบุรุษที่แต่งงานแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”
ฟ่านหยวนซีกระแอมเบา ๆ สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังดูถูก
ในยุคนี้ไม่เคยมีคำกล่าวที่ว่า ‘ชายที่แต่งงานแล้ว’ ไม่อาจหยอกล้อ โซ่ตรวนนี้ตลอดมามีไว้เพื่อล่ามสตรีมากกว่า ฟ่านหยวนซีรู้สึกว่าบางครั้งมู่ซืออวี่ผู้นี้ก็โง่เขลาจริง ๆ
พวกชาวบ้านเดินเข้ามา
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทางการหลายคนปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้าน อีกทั้งคนที่เป็นหัวหน้ายังถูกเรียกว่าท่านอ๋อง ชาวบ้านแต่ละคนก็ตัวสั่นเทิ้ม
“ข้าถามพวกเจ้า หมู่นี้ในหมู่บ้านมีคนแปลก ๆ หรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านตอบ “เรียนท่านอ๋อง สามวันก่อนมีคนหาบเร่ขายของเข้ามาในหมู่บ้าน ทว่าหลังจากขายของเสร็จ พวกเขาก็ออกไป ไม่ได้รั้งอยู่ที่หมู่บ้านขอรับ”
“คนหาบเร่ขายของขึ้นเขาไปแล้ว” เด็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เขายังให้ขนมปิดปากข้าชิ้นหนึ่ง ไม่ให้บอกคนอื่น”
“ดูเหมือนคนหาบเร่ผู้นั้นจะมีพิรุธจริง ๆ” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถามเด็กคนนั้นต่อ “คนหาบเร่ผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”
“เขาตัวดำ ค่อนข้างเตี้ย พูดจาติดอ่าง ที่เหลือข้าก็ดูไม่ออกแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว “หมู่บ้านของเราห่างไกลจากตัวเมืองจึงไปซื้อของไม่สะดวกนัก หากมีคนหาบเร่ขายของมา ทุกคนก็จะเลือกซื้อเพื่อความสะดวก จึงมีคนเห็นคนหาบเร่ผู้นั้นจำนวนไม่น้อย”
“ท่านอ๋อง ดูเหมือนเขาจะแปลงโฉมแล้ว” โม่อู๋เว่ยกล่าว
“เอาละ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเจ้ากลับบ้านเถอะ อย่าได้มาสร้างความวุ่นวายอีก” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างหมดความอดทน
หมู่บ้านได้รับความเสียหายอย่างหนัก ชาวบ้านล้วนแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตนเอง
ฟ่านหยวนซีปักหลักอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้าน ครอบครัวนั้นมีคู่สามีภรรยาเฒ่าคู่หนึ่ง และมีสามีภรรยาวัยหนุ่มสาวอีกคู่หนึ่ง พร้อมด้วยเด็กชายตัวน้อยที่น่ารักและเฉลียวฉลาด
เด็กชายตัวน้อยคนนั้นติดมู่ซืออวี่มาก มักจะติดตามอยู่รอบ ๆ ตัวนางเสมอ
เพื่อความสะดวกในการดูแลเด็ก มู่ซืออวี่จึงพกขนมติดตัวไว้เล็กน้อย ทั้งยังให้ของกินกับเด็กชายจำนวนมาก
“ท่านน้า จริง ๆ ข้าเห็นสัญลักษณ์บนแขนของคนหาบเร่ผู้นั้นด้วยล่ะ” เด็กชายตัวน้อยกระซิบเบา ๆ “เป็นเสือดาวตัวหนึ่ง หน้าตาน่ากลัวมากเลย”
มู่ซืออวี่หันกลับไปมองฟ่านหยวนซี
ฟ่านหยวนซีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็ได้ยินแล้วเช่นกัน
“เจ้าช่างสังเกตรอบคอบจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่าได้บอกผู้ใดเรื่องนี้ ระวังมันจะสร้างปัญหาให้เจ้า”
“อื้ม” เด็กน้อยพยักหน้า
“ท่านอ๋อง ใต้เท้าลู่ได้รับบาดเจ็บแล้ว” เสียงของซูเซิ่งดังเข้ามาจากด้านนอก
มู่ซืออวี่กำลังจะออกไปรับด้วยความกระวนกระวาย แต่ยังก้าวไปไม่ถึงสองก้าว ซูเซิ่งที่แบกลู่อี้ไว้บนหลังก็เข้ามาเสียก่อน
ลู่อี้ได้รับบาดเจ็บที่มือ ตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากปากแผลไม่หยุด
ฟ่านหยวนซีถามคนของตนด้านหลัง “คนที่ติดตามมามีหมอหรือไม่?”
“มีขอรับ”
“รีบให้เขาเข้ามา”
ท่านหมอรีบรุดมารักษาลู่อี้ เมื่อมองบาดแผลแล้วจึงเอ่ยว่า “นี่เป็นรอยอาวุธลับ อาวุธลับนั้นอาบยาพิษ โชคดีที่ยาพิษไม่ได้แปลกพิสดารอะไร แต่เป็นพิษแมงป่อง”
“รักษาได้หรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“รักษาได้ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีตัวยา ต้องกลับเข้าเมืองไปปรุงยาก่อน” ท่านหมอคลายความสงสัย
ฮูหยินลู่หันไปมองฟ่านหยวนซี “ท่านอ๋อง…”
“พวกเจ้าพบคนผู้นั้นแล้วหรือ?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถามซูเซิ่ง
“พวกเราพบเบาะแสบางอย่าง นึกไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะไปได้ไม่ไกลนัก อีกทั้งยังขุดหลุมพรางหลอกล่อพวกเรา ใต้เท้าลู่เข้ามาบังข้าน้อย เขาจึงได้รับบาดเจ็บ” ซูเซิ่งอธิบาย
“หัวหน้าโม่ เจ้าคุ้มครองใต้เท้าลู่กลับเข้าเมืองเพื่อรักษาตัวก่อน ข้าและแม่ทัพซูจะรั้งอยู่ที่นี่และค้นหาต่อไป ถ้าคนผู้นั้นยังอยู่บนเขา พวกเราก็จะค้นให้ทั่วภูเขา”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อกลับเข้ามาในเมือง มู่ซืออวี่ก็รีบเชิญท่านหมอลี่มาทันที
ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อมือท่านหมอผู้นั้น แต่หากมาตรวจอาการกับท่านหมอลี่ นางจะรู้สึกสบายใจมากกว่า
ท่านหมอผู้นั้นรู้จักท่านหมอลี่และทราบชื่อเสียงของเขาในวงการนี้ดี จึงไม่ได้ไม่พอใจอะไร อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
“เป็นพิษทั่วไป ทว่าจุดที่ได้รับบาดเจ็บนั้น…” ท่านหมอลี่มีสีหน้าเคร่งเครียด
“มีอะไรหรือเจ้าคะ? ไม่ใช่บาดเจ็บที่มือหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“บาดเจ็บที่มือก็ต้องดูจุดที่บาดเจ็บ” ท่านหมอลี่เอ่ย “นี่คือการบาดเจ็บที่เส้นเอ็นมือ แม้จะรักษาพิษได้ ทว่าลายมือของเขาในอนาคตจะไม่ดีดังเดิมแล้ว”
“ไม่มีทางเลยหรือ?” มู่ซืออวี่นั่งอยู่ข้างเตียง มองสามีด้วยความปวดใจ
“ไม่ต้องกังวล” ลู่อี้เอ่ย “เพียงแค่ลายมือไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้หมายความว่าจะเขียนไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเชื่อว่ามนุษย์ฝ่าฝืนธรรมชาติได้ หลังจากบาดแผลข้าฟื้นตัว ข้าจะฝึกฝนให้มาก คงไม่เลวร้ายนัก ท่านหมอลี่ ครั้งนี้รบกวนท่านแล้ว”
“เจ้านี่นะ ยังคงมีนิสัยเช่นเดิมไม่เปลี่ยน” ท่านหมอส่ายศีรษะ “กว่าพวกเจ้าสองพี่น้องจะมาถึงวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย เห็นพวกเจ้ามีอนาคตสดใสเยี่ยงนี้ ในใจข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
ขบวนเล็ก ๆ ของฟ่านหยวนซีกลับมาแล้ว
ผลลัพธ์ออกมาไม่ดีนัก พวกเขาจับคนผู้นั้นไม่ได้
“ใต้เท้าลู่เป็นอย่างไรบ้าง?” ซูเซิ่งเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “คงไม่เป็นอะไรร้ายแรงกระมัง?”
มู่ซืออวี่อยากจะกล่าวบางอย่าง ทว่าลู่อี้กลับรีบตอบเสียก่อน “ไม่มีอะไรร้ายแรง”
โม่อู๋เว่ยที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ท่านหมอลี่บอกว่าใต้เท้าลู่ได้รับบาดเจ็บที่เส้นเอ็นบริเวณมือ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อลายมือในภายภาคหน้าของเขา”
มู่ซืออวี่หันกลับไปมองโม่อู๋เว่ย
โม่อู๋เว่ยเอ่ยนิ่ง ๆ “ข้าเพียงกล่าวความจริง”
เมื่อซูเซิ่งได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “ต้องโทษข้า โทษข้า หากไม่ใช่เพราะเขาช่วยข้า คงไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ท่านเป็นปัญญาชน หากภายหน้าเขียนได้ไม่ดี เช่นนั้นคงเป็นปัญหาใหญ่!”
“ปัญญาชนผู้หนึ่งเขียนได้ไม่ดี อย่างมากก็เพียงถูกหัวเราะเยาะ แต่หากแม่ทัพขาดมือไป ย่อมรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ เมื่อเทียบกันแล้ว เขาบาดเจ็บถือว่าคุ้มกว่า” ฟ่านหยวนซีเอ่ย
“ท่านอ๋องกล่าวไม่ผิด” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง พวกเรามาพูดคุยกันเรื่องบนเขากันเถอะ!”
“คนผู้นั้นจุดผงหอมพิษบนภูเขา ผงหอมพิษแพร่กระจายไปทั่ว มันเข้าสู่จมูกของสัตว์ป่า พวกมันจึงคลุ้มคลั่งขึ้นมา นี่คือเบาะแสที่หาได้ในตอนนี้” ฟ่านหยวนซีกล่าว “แม่ทัพซูบอกข้าแล้ว”
“ยังมีบางสิ่งที่แม่ทัพซูไม่รู้ คนผู้นั้นเชี่ยวชาญการควบคุมสัตว์มาก และดูเหมือนจะคุ้นชินกับการจัดการสัตว์ดุร้าย ขณะที่พวกเราสู้กัน มีงูเหลือมขนาดใหญ่ตัวหนึ่งออกมา คนผู้นั้นหาจุดอ่อนของมันได้อย่างแม่นยำ หากเขามีเพียงทักษะเล็กน้อยย่อมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ สิ่งสำคัญคือมีขวดหนึ่งหล่นลงมาจากตัวเขา มันเหมือนกันกับที่ท่านอ๋องนำติดตัวไปด้วยไม่มีผิด”
“ท่านอ๋อง…” ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอ่ยขึ้น “พวกเราไม่ได้…”
“พวกเจ้าควบคุมสัตว์ได้หรือ?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างเยือกเย็น “โง่แล้วยังไม่รู้จักประมาณตน อย่ามาอับอายขายหน้าอยู่ที่นี่เลย”
“ก่อนหน้านี้พวกเราอยู่เมืองซูโจว ท่านอ๋องมีครูฝึกไม่น้อยที่ควบคุมสัตว์ได้ หรือว่าหนึ่งในนั้นจะทรยศท่าน?”
ฟ่านหยวนซีก็คิดเช่นนั้น
อันที่จริง เขาคิดไว้หลายทาง
ตอนนั้นเขามีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยมทารุณ ผู้คนกล่าวหาว่าเขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์มากมายในเมืองซูโจว ทว่าจริง ๆ เขาเพียงแค่เลี้ยงสัตว์ดุร้ายเท่านั้น ไม่เคยทำร้ายใคร ต่อมาสัตว์เหล่านั้นดันหลุดออกไปกินคน ชื่อเสียงของเขาจึงดังกระฉ่อนยิ่งกว่าเดิม ถือกำเนิดเป็นท่านอ๋องที่ทุกคนล้วนหวาดกลัวนาม จงอ๋อง ขึ้นมา