สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 445 รวมตัวกันเล่นสนุก
บทที่ 445 รวมตัวกันเล่นสนุก
บทที่ 445 รวมตัวกันเล่นสนุก
เสื้อลายเสือตัวนั้นเจิ้งซูอวี้เป็นคนทำ เมื่อได้ยินคำพูดรักษาหน้าของลู่จื่ออวิ๋น แน่นอนว่านางต้องเห็นด้วย
“พวกบุรุษไม่รู้จักชื่นชมความงาม ท่านไปเล่นเถอะ อย่ามาทำให้เราอารมณ์เสีย”
ลู่จื่อชิงกะพริบตาปริบ ๆ ดวงตาของเด็กน้อยเผยแววบริสุทธิ์ ลู่ฉาวอวี่เห็นดังนั้นก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ
“ชิงเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว ไม่อยากเล่นอีกแล้ว พวกเจ้าอย่าไปกวนนางเลย”
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ตอนนี้พี่ชายเจ้ารักชิงเอ๋อร์มากกว่าเจ้า ไม่รักเจ้าแล้วใช่หรือไม่?” เจิ้งซูอวี้จงใจแกล้งลู่ฉาวอวี่
ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ มองลู่ฉาวอวี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าใจ “ท่านพี่ ในสายตาท่าน ข้าจะรังแกชิงเอ๋อร์ได้หรือ?”
ลู่ฉาวอวี่ “…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้ “ช่างเถิด พวกเจ้าดูแลเสี่ยวชิงเอ๋อร์ไป ข้าจะไปรับแขก”
สุดท้ายลู่ฉาวอวี่ก็ออกไป ด้านหลังจึงมีเสียงเบิกบานใจตามมา
เจิ้งซูอวี้พูดเสียงดังฟังชัดเป็นพิเศษ “สุดท้ายก็ไปเสียที พี่ชายของเจ้าตอนนี้นับวันยิ่งเหมือนพ่อเจ้าไม่มีผิด ทำอย่างกับเป็นตาเฒ่าอย่างไรอย่างนั้น ในเมื่อเขาไปแล้ว พวกเราก็เปลี่ยนชุดสิงโตน้อยให้เสี่ยวชิงเอ๋อร์อีกชุดเถอะ”
ลู่ฉาวอวี่ “…”
เป็นไปดังคาด เขาควรไป ‘ช่วย’ พาเสี่ยวชิงเอ๋อร์หนีมาจริง ๆ
พวกนางเล่นกับน้องสาวตัวน้อยอยู่อย่างนี้ เสี่ยวชิงเอ๋อร์จะได้นอนพักผ่อนอย่างสงบเมื่อไหร่?
จูเฉินใช้ขาเล็ก ๆ ป้อม ๆ ของตนเดินเข้ามา มือเขาดึงปลายเสื้อของลู่ฉาวอวี่ “ฉาวอวี่ ๆ เล่น… เล่น…”
ลู่ฉาวอวี่เอ่ยพร้อมท่าทางแข็งทื่อ “เจ้าอยากเล่นอะไร?”
“ขี่มะ…ม้า” จูเฉินตอบกลับด้วยเสียงเล็ก ๆ อย่างเด็กหัดพูด “ฉาวอวี่… มะม้า…”
มุมปากของลู่ฉาวอวี่กระตุก เขามองเห็นมู่เจิ้งหานผ่านมา อีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลออกไป จึงได้เรียกเอาไว้ “ท่านน้า ท่านน้าเล็กอยากให้ท่านเป็นม้า รีบมานี่เร็ว”
ตอนนี้มู่เจิ้งหานทันคนมากขึ้นแล้ว ย่อมไม่ถูกหลอกง่าย ๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์ของจูเฉินและลู่ฉาวอวี่ ผู้ใดบ้างจะไม่เข้าใจ? เขาหมุนตัวแล้ววิ่งปรู๊ดออกไปประหนึ่งส้นเท้ามีน้ำมันติด
ลู่ฉาวอวี่ผุดยิ้มมุมปาก มองเจ้าตัวเล็กที่กำลังดึงตน เขานั่งยอง ๆ ลงแล้วกล่าวว่า “ขี่ม้าไม่สนุก พวกเราไปเล่นอย่างอื่นกันเถอะ”
“เล่นอะไร?” จูเฉินกะพริบตาอย่างใสซื่อ
“อ่านตำรา” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ข้าจะสอนเจ้าอ่าน”
จูเฉิน “…”
เด็กน้อยหันกลับไปมองท่านหมอจูที่อยู่ไม่ไกล “ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
ท่านหมอจูเอ่ยปนโมโห “ตอนนี้รู้จักเรียกพ่อแล้วหรือ? เมื่อครู่ยังเรียกหาฉาวอวี่อยู่เลย? พอฉาวอวี่บอกให้เจ้าอ่านตำรา เจ้าก็ไม่มีความสุขแล้วหรือ?”
เขามองออกว่าเด็กคนนี้ไม่ใฝ่เรียนใฝ่หาวิชาตั้งแต่ยังเล็ก ภายหน้าเกรงว่าอาจจะไม่ได้เป็นบัณฑิตเล่าเรียนหนังสือ
แต่สำหรับลูกที่เกิดมาในวัยกลางคนเช่นนี้ ท่านหมอจูไม่คิดจะบังคับลูกให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ชีวิตสั้นเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น และการใช้ชีวิตให้มีความสุขก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ตราบใดที่เดินในทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะโดดเด่นหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
ท่านหมอจูพาจูเฉินไปแล้ว
ในที่สุดลู่ฉาวอวี่ก็ถอนหายใจออกมาได้
ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นเด็กน้อยคนใดทั้งสิ้น ไปอยู่กับท่านพ่อที่ห้องโถง ฟังท่านพ่อและท่านเจ้าสำนักไป๋พูดคุยถึงสถานการณ์ในราชสำนัก และทิศทางที่จะเป็นไปในอนาคตดีกว่า
เมื่อมู่ซืออวี่ทำอาหารเสร็จก็ให้บ่าวรับใช้ยกไปที่ห้องโถง นางพาเหล่าสตรีไปทานอีกห้องหนึ่ง จะได้ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นเหล่าบุรุษคุยกันในเรื่องที่ยากต่อการเข้าใจ
สตรีทั้งหลายนั่งอยู่บนโต๊ะ ทานสิ่งที่อยากทาน ดื่มสิ่งที่อยากดื่ม พูดคุยเรื่องที่อยากพูดคุยอย่างอิสระ สำราญใจ
“ซูอวี้ ถึงเวลาที่เจ้าต้องคิดเรื่องอนาคตได้แล้ว!” มู่ซืออวี่ย้ำเตือน “หากเจ้าไม่รีบ รอกระทั่งข้าเข้าไปในเมืองหลวงแล้วค่อยส่งข่าวดีตามไป ข้าคงไม่ยอมเสียเวลาสองสามเดือนบึ่งมาดื่มสุรามงคลของเจ้าหรอกนะ”
“ฮูหยินบอกคุณหนูของข้าหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” ชิวซวงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ย “มีคุณชายดี ๆ มากมายยื่นไมตรีจิตให้นาง แต่นางกลับไม่ชมชอบแม้แต่ผู้เดียว”
“เดิมทีมีคนผู้หนึ่งที่ควรค่าแก่การสนใจ แต่เขากลับไม่สนใจนางน่ะสิ!” มู่ซืออวี่ขุดความลับของอีกฝ่ายออกมา “ไม่ใช่ว่าเจ้ายังคงคิดถึงคุณชายฉินกระมัง?”
เจิ้งซูอวี้แอบเตะขาคนถามใต้โต๊ะ “พูดจาเลื่อนเปื้อนอันใด? ข้าบอกว่าข้าคิดถึงเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ข้าเห็นว่าเจ้าปฏิบัติกับเขาไม่เหมือนผู้อื่น แต่กับบุรุษคนอื่นล้วนปฏิบัติแบบเดียวกัน” มู่ซืออวี่เอ่ย “พื้นเพครอบครัวคุณชายฉินผู้นั้นดีจริง ๆ อย่างแรก เขาหน้าตาดี คู่ควรกับคุณหนูของพวกเจ้า อย่างที่สองจิตใจดี ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ทำการค้า แต่กลับไม่ใช่ผู้ทำการค้าประเภทเจ้าเล่ห์เพทุบาย มีได้ก็ต้องมีเสีย อะไรที่เสียไปก็หาวิธีเอากลับคืนมาจนได้ สอดคล้องกับปรัชญาของเราพอดี ทั้งยังมีประกายรอบตัวที่โดดเด่น…”
มู่ซืออวี่พูดอยู่นานสองนาน เจิ้งซูอวี้กลับไม่ตอบแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องที่นางเอ่ยถึงไม่ใช่เรื่องของตน
ชิวซวงคล้อยตามไปด้วย “เสียอย่างเดียวคือตระกูลเขากำลังจะหมั้นหมายให้คุณชายฉิน พวกเขาจะไปสู่ขอบุตรสาวตระกูลขุนนางคนหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงบุตรสาวนายอำเภอท้องถิ่น แต่นั่นก็เป็นบุตรสาวตระกูลขุนนางเชียวนะ!”
“เอาละ ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้าจะกล่าวอะไร” เจิ้งซูอวี้ขัดขึ้น “ใช่ว่าข้าเจิ้งซูอวี้ผู้นี้จะหาคนมาแต่งงานด้วยยากเสียเมื่อไหร่? ก่อนเจ้าจะไปจากเมืองฮู่เป่ย ข้าต้องแต่งงานแล้วแน่นอน”
ถงซื่อที่อยู่ข้าง ๆ เข้ามาไกล่เกลี่ย “การแต่งงานไม่ใช่ของเด็กเล่น อย่าได้รีบร้อนไป โชคชะตาเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ อาจเข้ามาเมื่อใดก็ได้”
“ข้าเชื่อคำพูดของท่านแม่” มู่ซืออวี่สมทบ “โชคชะตาเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ บางทีอาจพบกันตรงหัวมุมถนน หรือบางทีก็อาจเดินผ่านไปแบบไม่รู้จักกัน การที่พวกเราได้มาพบกันก็เป็นโชคชะตา มาเถอะ ยกจอกสุราขึ้นมา คารวะให้กับโชคชะตาของเรา”
“แด่โชคชะตา!” ทุกคนยกจอกสุราแล้วตะโกนขึ้น
หลังจากชนจอกแล้วก็ดื่มลงไปรวดเดียว
มู่ซืออวี่กล่าวเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “ตกลงตามนี้ ข้าจะช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ ข้าจะต้องหาสามีที่ดีให้เจ้าได้แน่”
“ได้ ทำอย่างกับข้าจะแต่งออกไปไม่ได้อย่างนั้นแหละ ข้าคือเจิ้งซูอวี้ ผู้มีอำนาจอันดับสองรองจากเถ้าแก่เนี้ยมู่ รู้หรือไม่ว่ามีคนพึงใจข้ามากมายเพียงใด?” เจิ้งซูอวี้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มทีเล่นทีจริง
มู่ซืออวี่ได้ยินความกำกวมในคำพูดของอีกฝ่าย จึงใช้ตะเกียบคีบอาหารให้อย่างหนึ่ง “ลำบากเจ้าแล้ว ผู้มีอำนาจอันดับสอง”
คนเหล่านี้เข้าหาเจิ้งซูอวี้เพราะนางเป็น ‘ผู้มีอำนาจอันดับสอง’ มู่ซืออวี่จึงกังวลว่าอีกฝ่ายจะมองคนพลาดไป จึงอยากช่วยหาสามีให้ก่อนที่ตนจะไปจากเมืองฮู่เป่ย
ไม่ว่าจะยุคใดก็ตาม การเป็นสตรีที่แข็งแกร่งนั้นไม่ง่ายเลย เพราะเบื้องหลังคำว่า ‘ผู้หญิง’ มีความขมขื่นและไร้มนุษยธรรมมากมายซ่อนอยู่
ที่ไหน ๆ ก็ล้วนมีการกล่าวหา เย้ยหยัน ใส่ร้ายป้ายสี และความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน
เจิ้งซูอวี้ดีเช่นนี้ นางในฐานะที่เป็นคนสนิทและเป็นสหายควรช่วยหาคนที่เหมาะสมให้
“ข้าเป็นพี่สาวน้องสาวที่ดีที่สุดของเจ้าใช่หรือไม่?” จู่ ๆ เจิ้งซูอวี้ก็เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้ารับปากกับข้าเรื่องหนึ่ง”
“อะไรหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“ข้าอยากเป็นแม่บุญธรรมลูกทั้งสามคนของเจ้า” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “หากข้าโชคไม่ดี หาบุรุษไม่ได้จริง ๆ ภายหน้าจะได้มีคนดูแล!”
“บ้ารึ!” มู่ซืออวี่เหลือบมอง “อยากได้ลูกก็คลอดเองสิ อย่ามาขโมยของข้า”
เจิ้ซูอวี้พึมพำ “เจ้าไม่รับปาก เช่นนั้นข้าเป็นแม่บุญธรรมเสี่ยวผิงอันได้หรือไม่?”
ถงซื่อ “…”
มู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าก็ลองดู”
หากนางมาเป็นแม่บุญธรรมของจูเฉินจริง ๆ ไม่ใช่ว่ามู่ซื่ออวี่ต้องเรียกนางว่าผุ้อาวุโสหรือ? มีไหวพริบขนาดนี้ หากไม่ได้เอาไปใช้ในกิจการก็น่าเสียดาย สงสัยต้องหาอะไรให้นางทำเพิ่มเสียแล้ว