สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 446 วันเวลาที่พักฟื้นอยู่กับครอบครัว
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 446 วันเวลาที่พักฟื้นอยู่กับครอบครัว
บทที่ 446 วันเวลาที่พักฟื้นอยู่กับครอบครัว
บทที่ 446 วันเวลาที่พักฟื้นอยู่กับครอบครัว
แขนของลู่อี้ยังมีบาดแผล เขาจึงไม่ได้ดื่มสุรา คนอื่น ๆ ก็ทานเพียงแค่จอกสองจอก ไม่ถึงขั้นเมามาย งานเลี้ยงจึงเลิกราอย่างรวดเร็ว
ในค่ำคืนที่มืดสนิท ผู้คนล้วนทำงานหนักมาทั้งวัน ไม่ว่าระหว่างวันจะเผชิญปัญหามากมายใหญ่หลวงเพียงใด สิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุดย่อมเป็นช่วงเวลาที่ได้กกกอดภรรยาบนเตียงอุ่น ๆ และมีลูก ๆ คอยพูดคุยหัวเราะอยู่รอบกาย
ลู่จื่อชิงพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แขนขารวมถึงตัวของนางโงนเงนไปมา ขณะที่นางกำลังจะล้มลง มือก็เอื้อมไปคว้าเสาข้าง ๆ ไว้ได้ทัน จากนั้นก็พยุงตัวเองและพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง
ผมของนางบางมาก มันถูกมัดไว้เป็นสองแกละ ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
ลู่อี้ในชุดอยู่บ้านยืนอยู่ตรงข้ามลูกสาวคนเล็ก สายตาของเขาอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ลู่จื่อชิงเงยหน้าของนางขึ้น โบกสองแข็นป้อม ๆ แล้วร้อง ‘อะ อะ’ ออกมา นางไม่เขินอาย เห็นได้ชัดว่าลู่อี้เป็นคนที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่นางกลับรู้สึกผูกพันจากใจ
มู่ซืออวี่นำผลไม้เข้ามา เมื่อเห็นพ่อกับลูกสาวต่างก็จ้องมองกัน นางก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“พวกท่านทำอะไรกันอยู่?”
“ข้าอยากอุ้มนาง แต่…” ลู่อี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นางดูเหมือนไม่ชอบให้ข้าอุ้ม เมื่อไหร่ที่ข้าเอื้อมมือเข้าไปหา นางก็จะปัดมือข้าออก”
“ไม่ใช่นางไม่อยากให้ท่านอุ้ม แต่นางคิดว่าท่านกำลังเล่นกับนางต่างหาก” มู่ซืออวี่วางถ้วยลงข้าง ๆ จากนั้นจึงอุ้มเสี่ยวชิงเอ๋อร์ขึ้นมาส่งให้สามี “ไม่ใช่ว่าท่านเพิ่งกลายเป็นพ่อคนครั้งแรกเสียหน่อย คงไม่ต้องให้ข้าสอนอุ้มกระมัง?”
แน่นอนว่าลู่อี้ทราบดีกว่าต้องดูแลเด็กอย่างไร
ฉาวอวี่และเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ล้วนเป็นเขาที่เลี้ยงดูมา อาจมีลู่เซวียนคอยช่วยดูแลพวกเขาบ้างเป็นบางครั้ง แต่เมื่อตอนที่ทั้งคู่ยังเล็ก ลู่อี้อุ้มและใช้เวลากับพวกเขามากที่สุด
ครั้งแรกที่ลู่อี้อุ้มลู่จื่อชิง กลิ่นหอมน้ำนมของเด็กอ่อนก็ลอยมาต้องจมูก
ลู่จื่อชิงเหมือนมู่ซืออวี่มากกว่า ถึงแม้นางจะไม่งดงามเหมือนเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ แต่ก็สวยหวาน ดวงตาของนางคล้ายคลึงกับพี่สาว เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะต้องเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่สง่างามอย่างแน่นอน
ลู่อี้อุ้มนางขึ้นมา นางก็พลันคว้าหมับเข้ากับเสื้อของเขา ประหนึ่งกลัวว่าจะตกลงไป ทำให้ใจของผู้เป็นพ่ออ่อนยวบลงทันที
“ชิงเอ๋อร์ ข้าเป็นพ่อของเจ้า” ลู่อี้เอ่ยกับลู่จื่อชิง
เมื่อครู่นี้มีคนมากเกินไป เขาอยู่กับลูกได้ไม่นานก็ต้องออกไปรับแขก ตอนนี้เพิ่งมีเวลามาดูลูกคนที่สามของตนเต็ม ๆ ตา
ลู่จื่อชิงจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือไม่?
แน่นอนว่าไม่เข้าใจ
แต่นั่นก็ไม่อาจขัดขวางการสนทนาของสองพ่อลูกได้เลย
“อา อะ…”
“เรียกพ่อซิ”
“แอ้…”
“ชิงเอ๋อร์เด็กดี เรียกพ่อ…”
“แอ้ อะ แอ้…”
มู่ซืออวี่อมยิ้มอยู่ข้าง ๆ
“เอาละ ท่านอุ้มนางเถอะ ข้าจะปอกผลไม้” มู่ซืออวี่กล่าว
เสี่ยวชิงเอ๋อร์ชอบรับประทานผลไม้บดละเอียด มู่ซืออวี่ผูกผ้ากันเปื้อนเล็ก ๆ ให้ลูกสาวตัวน้อยที่มองถ้วยในมือมารดาอย่างตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวชิงเอ๋อร์กำลังจะทำอะไร
เวลาที่นางรับประทาน นางเงียบเป็นอย่างยิ่ง ไม่ดื้อไม่ซน แต่รับประทานอย่างเร่งรีบ
อายุยังน้อยก็เห็นแววแล้วว่าน่าจะเป็นนักกินในอนาคต
“นี่กลิ่นอะไร…” ตอนแรกลู่อี้ยังไม่รู้สึกตัว ทว่าเมื่อเขาได้กลิ่นโชยมาจากเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน สีหน้าเขาพลันแปลกประหลาดขึ้นมา
ลูกสาวน้อยตัวหอมกลายเป็นลูกสาวน้อยตัวเหม็นโฉ่เสียแล้ว
มู่ซืออวี่ฉวยเอาตัวเด็กน้อยมาจากอ้อมแขนของสามี จากนั้นจึงตะโกนออกไปข้างนอก “แม่นม!…”
เมื่อมู่ซืออวี่จัดการเรียบร้อยและกลับมา ลูอี้ก็กำลังอ่านตำราอยู่ที่เดิม
“เป็นพ่อรู้สึกอย่างไร?” ฮูหยินลู่เดินเข้ามา
“เจ้าควรถามว่าเป็นพ่อของเด็กสามคนรู้สึกอย่างไรมากกว่า” ลู่อี้ปิดตำราในมือ “รู้สึกวิเศษยิ่งนัก มีเพียงแค่ช่วงเวลานี้ที่ข้ารู้สึกว่าความพยายามของตนทั้งหมดที่มีช่างคุ้มค่า”
มู่ซืออวี่ชำเลืองมองสามี “นี่จะบอกว่าข้าทำให้ท่านรู้สึกอึดอัดใจ? ไม่คุ้มค่าที่จะพยายามเพื่อข้างั้นสิ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” ลู่อี้ลอบร้องไห้อยู่ในใจ
เขาพูดผิดไปแล้วจริง ๆ
แต่ว่าครั้งนี้ไม่ว่าจะอธิบายมากเพียงใดก็เป็นเพียงข้อแก้ตัว ฟังแล้วย่อมไม่เข้าหู ทางแก้ที่ดีที่สุดคือพูดให้น้อยลง และ ‘ทำ’ ให้มากขึ้น
“ฮูหยิน นี่ก็ดึกแล้ว พวกเราควรพักผ่อน” ลู่อี้เข้าไปกอดนาง “ฮูหยินกลิ่นตัวหอมยิ่งนัก…”
“ปล่อย ข้ายังไม่ให้อภัยท่าน… อื้อ…”
ใต้เท้าลู่หิวโหยเป็นอย่างมาก หิวเสียจนกินอย่างตละกละตระกลาม หนักหน่วง และถาโถม ห้องทั้งห้องคลอไปด้วยเสียงของคนสองคน
พวกเขารักความสะอาด เมื่อชีวิตดีขึ้นมาก ในเรือนก็มีบ่าวรับใช้มากขึ้นตามไปด้วย ทว่าพวกเขาไม่ได้ให้บ่าวรับใช้เหล่านั้นอยู่เฝ้ายามกลางคืน มิเช่นนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ วันรุ่งขึ้นฮูหยินลู่คงไม่รู้จะแบกหน้าไปพบทุกคนอย่างไร
“บาดแผลของท่าน…”
“ไม่เป็นไร”
“ท่านหมอกล่าวว่า…”
“ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องฟังท่านหมอ ฟังเพียงสามีก็พอ…เด็กดี…”
วันเวลาที่อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวและคอยเอาอกเอาใจภรรยาช่างมีความสุขและผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ
ลู่อี้อยู่ที่เมืองฮู่เป่ยครึ่งเดือน บาดแผลของเขาใกล้หายสนิทแล้ว เหลือเพียงแค่ต้องหมั่นฝึกฝนอย่างช้า ๆ หากไม่สามารถฝึกเขียนตัวอักษรให้ดีด้วยมือขวาได้ เขาก็จะฝึกมือซ้าย สำหรับลู่อี้แล้ว การเขียนด้วยมือซ้ายไม่ยากลำบากนัก เขาเคยเขียนมาก่อน เพียงแต่เขียนได้ไม่ดีเท่ามือขวาก็เท่านั้น”
“นายท่าน จดหมายขอรับ” พ่อบ้านส่งจดหมายให้ลู่อี้ “ส่งมาจากศาลาว่าการเมื่อเช้านี้”
ลู่อี้เปิดจดหมายออก กวาดสายตาอ่านเนื้อหาข้างใน จากนั้นจึงเรียกจือเชียนเข้ามา
จือเชียนไม่ใช่เด็กหนุ่มตัวผ่ายผอมเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว
เขามีรูปร่างหน้าตาดี ได้กินอาหารดี ๆ สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ นอกจากนี้ตอนติดตามลู่อี้ เขาพบเห็นเรื่องราวมามากมาย บรรยากาศรอบตัวจึงโดดเด่นขึ้นมาก หากเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าที่หรูหรากว่านี้ แล้วบอกว่าเขาเป็นคุณชายจากตระกูลผู้มั่งมีก็ไม่น่าสงสัยเลยสักนิด
ตอนนี้เขาเป็นกำลังเสริมที่แข็งแกร่งที่สุดข้างกายใต้เท้าลู่
เซี่ยคุนไม่ได้ตามมาด้วย ครั้งนี้มีเพียงจือเชียนที่ติดตามมา
อย่างไรก็ตาม เวลาส่วนใหญ่ของจือเชียนหมดไปกับการสืบหาข่าวจึงไม่ได้ไปกับขบวน เด็กหนุ่มไม่ได้อยู่กับลู่อี้ตอนที่ได้รับบาดเจ็บ
“ทางด้านจงอ๋องมีปัญหาเล็กน้อย” ลู่อี้เอ่ย “เจ้ารู้วิธีติดต่อพี่เซี่ยใช่หรือไม่?”
“รู้ขอรับ”
“เช่นนั้น ข้าต้องรบกวนเจ้าไปหาจงอ๋อง ช่วยเขาให้พ้นวิกฤตครั้งนี้ให้ได้” ลู่อี้เอ่ย “เรื่องนี้อันตรายเล็กน้อย เจ้าจะต้องระวังเป็นพิเศษ อย่าทำตัวเป็นจุดสนใจ”
ปกติแล้วจือเชียนไม่ค่อยปรากฏตัว คนที่สนใจเขาจึงมีไม่มาก
“ขอรับ”
หลังจากเด็กหนุ่มไปแล้ว ลู่อี้จึงไปที่ศาลาว่าการ
เวินเหวินซงกำลังยุ่งวุ่นวาย เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวจึงตรงเข้าไปโอบไหล่แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้าลู่ ในที่สุดท่านก็จำได้ว่ามีคนเช่นข้าอยู่ ท่านจะทำอะไรกับคนเหล่านี้? ข้าจะรับฟังท่าน ข้าไต่สวนพวกเขาแล้ว แต่ปากพวกเขากลับแข็งอย่างกับกระดองเต่า”
“ให้ข้าจัดการ หากข้าไต่สวน…” ลู่อี้เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าอยากจะเห็นนักว่าปากพวกเขาจะแข็งเพียงใด”
จู่ ๆ เวินเหวินซงก็รู้สึกสงสารคนเหล่านั้นขึ้นมา
ให้ความร่วมมือกับเขาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง หากรอให้ถึงคราวดาวพิฆาตดวงนี้ลงมือ จำต้องรู้ว่าอาจถึงขั้นไม่มีปากให้แง้มอีกต่อไป
“หากพี่สะใภ้เห็นท่านเป็นอย่างนี้ นางจะกล้านอนบนเตียงเดียวกับท่านอีกหรือไม่?” เวินเหวินซงเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัว
ลู่อี้ตบลงบนบ่าของอีกฝ่ายอย่างหนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนแบบใดใช้ชีวิตได้ยาวนาน?”
“ข้าไม่รู้สิ่งใดทั้งสิ้น” เวินเหวินซงหุบปากทันที “ใต้เท้าลู่ เชิญทางนี้”