สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 450 ตรวจสอบเมืองหลี
บทที่ 450 ตรวจสอบเมืองหลี
บทที่ 450 ตรวจสอบเมืองหลี
ลู่อี้ออกมาจากห้องขังด้วยสีหน้าไม่น่าดูชม
เวินเหวินซงตามมา เมื่อเห็นสีหน้าของใต้เท้าลู่จึงกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่พวกเราคาดไว้แล้ว เป็นเรื่องธรรมดามากไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงดูเหมือนท่านยอมรับไม่ได้เล่า?”
“ข้าคิดแล้วว่าพวกเขาคงไม่ยอมรับออกมาง่ายดายเพียงนั้น ทว่าข้ายังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์เพราะถามอะไรไม่ได้เลย” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย อีกฝ่ายชอบสวมใส่หน้ากาก และพวกเขาล้วนมีลวดลาวเสือดาวอยู่บนร่างกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูล” เวินเหวินซงเอ่ย
ชาวบ้านตัวปลอมในหมู่บ้านสกุลหลิ่วรับสารภาพแล้ว ทว่ารับสารภาพก็เท่ากับไม่สารภาพ เพราะเบาะแสที่พวกเขาให้มาไม่ทำให้เกิดความคืบหน้าใด ๆ ยังคงมีเมฆหมอกหนาครึ้มปกคลุม สิ่งใดล้วนมองไม่เห็น
ทว่ามีหนึ่งอย่างที่พวกเขาเอ่ยตรงกันนั่นก็คือ ผู้ที่ดูแลพวกเขาสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลา ปรากฏตัวไม่บ่อยนัก ปกติแล้วคนที่ควบคุมพวกเขาก็คือคนที่สอนวรยุทธ์ให้
มีลวดลายเสือดาวอีกแล้ว
หรือว่าเกี่ยวกับเหลียงกั๋วนั่นจริง ๆ?
ไม่สิ มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจจะจงใจวางเบาะแสให้เป็นเขาวงกต เพื่อทำให้ทางการสับสน
“ตอนนี้สิ่งที่ควรถามก็ถามไปแล้ว อย่างอื่นล้วนสอบถามออกมาไม่ได้อีก ท่านจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร?” เวินเหวินซงเอ่ยถาม
“พาพวกเขาไปเมืองหลวง ส่งตัวให้ศาลต้าหลี่ รอข้ากลับไปแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับพวกเขา” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ
“ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าท่านเป็นขุนนางของศาลต้าหลี่ กล่าวถึงก็ดี ไม่นานมานี้มีคดีหนึ่งที่ข้าพิจารณาและส่งต่อไปยังศาลต้าหลี่ ต่อมาข้าได้รับหนังสือคำตัดสิน ในนั้นกล่าวว่าคดีนี้มีข้อผิดพลาด ลายมือเหมือนกับท่านไม่มีผิด หรือว่าเป็นท่านที่ตัดสิน?”
“อืม”
“ข้ายังคงหลบชะตากรรมที่จะถูกท่านปั่นหัวเล่นไม่พ้นสินะ”
“เจ้าจัดเตรียมคนสักสองสามคนที ข้าจะไปเมืองหลี” ลู่อี้เอ่ย “เรื่องคดีหลอกลวงคนครั้งนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง ก่อนที่จะไป ข้าหวังว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จะง่ายดาย”
“ใต้เท้าลู่ ขอแค่เพียงมีท่านอยู่ ที่นี่ย่อมต้องมีคดีใหญ่ ข้ามองออกแล้ว ท่านน่ะเป็นเครื่องมือตรวจสอบคดีเดินได้”
“เจ้าไม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเลยเล่าว่าข้าเป็นไม้กวาดเดินได้ ถึงได้คอยเก็บกวาดคดีน้อยใหญ่อยู่บ่อย ๆ”
มู่ซืออวี่จะไปเมืองหลีพร้อมกับลู่อี้ จึงต้องจัดการเรื่องที่บ้านให้เรียบร้อย
โชคดีที่ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นคุ้นชินกับความยุ่งของพ่อแม่นานแล้ว สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดคือลู่จื่อชิง ทว่านางก็มีแม่นมและสาวใช้คอยดูแล ทั้งยังมีเจิ้งซูอวี้แม่บุญธรรมที่คอยเป็นห่วงเป็นใยตลอด มู่ซืออวี่จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
เจ็ดวันต่อมา สองสามีภรรยาก็มาถึงเมืองหลี
จากเมืองฮู่เป่ยถึงเมืองหลีอยู่คนละทิศคนละทางกับเมืองซูโจว การเดินทางทางน้ำไปย่อมราบรื่นกว่า ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงไร้ปัญหา
“ได้ยินหรือไม่? หลีอ๋องไอเป็นเลือดอีกแล้ว”
“จุ๊ ๆ เกรงว่าไม่กี่วัน…”
“ชู่ว!”
ในโรงน้ำชา ทุกคนล้วนซุบซิบนินทากัน แต่การซุบซิบนินทาประเภทนี้อย่างไรเสียก็ค่อนข้างอุกอาจ เอ่ยได้ไม่กี่คำก็รู้ข้อเท็จจริงในเมืองช่วงนี้ได้
“เถ้าแก่เนี้ยในเมืองฮู่เป่ยผู้นั้นจะสร้างกิจกรรมทางน้ำขึ้นมาอีกแล้ว ได้ยินว่าอยู่ในแม่น้ำที่สร้างสะพาน ระยะนี้ข้ายังไม่มีเวลาไป หากไปได้ละก็ ข้าอยากจะไปเห็นด้วยตาจริง ๆ”
“พวกท่านไม่มีเวลา แต่ข้าว่าง ข้าไปเห็นมาแล้ว”
“จริงรึ? เป็นอย่างไร?”
“คำเดียวเลยนะ แน่นอนจริง ๆ” คนผู้นั้นคุยโว “เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นกิจกรรมที่เล่นทางน้ำได้หลายอย่างถึงเพียงนี้ ตอนนี้เมืองฮู่เป่ยนับวันยิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ข้าได้ยินว่าบางทีเมืองเตียนอวี้อาจถูกรวมเข้าเป็นเมืองลูกภายใต้อำนาจของเมืองฮู่เป่ย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เมื่อก่อนเมืองเตียนอวี้รุ่งเรืองกว่าเมืองฮู่เป่ยเสียอีก แม้ตอนนี้ถูกข่มเอาไว้ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นกลายมาเป็นเมืองรองหรอกน่า!”
“นั่นเป็นความฉลาดของเบื้องบน หากเมืองเตียนอวี้รวมกับเมืองฮู่เป่ย โดยมีผู้ค้าขายสตรีท่านนั้นขับเคลื่อน เมืองเตียนอวี้ก็จะมีคุณค่าเพิ่มขึ้น หากไม่ใช่เพราะเมืองซูโจวเป็นอาณาเขตของจงอ๋อง เกรงว่าเมืองซูโจวก็คงอยากเข้าร่วมเช่นกัน”
“ฟังดูไม่ธรรมดา ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ลู่อี้รินชาถ้วยหนึ่งให้มู่ซืออวี่
“ร้ายกาจเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?” แววตาของเขาแกมหยอกล้อ
มู่ซืออวี่มองค้อนสามีหนึ่งที แล้วบ่นเสียงเบา “เหตุใดจึงมาที่นี่แล้วยังได้ยินเรื่องเหล่านี้อยู่อีก? พวกเขาไม่มีเรื่องอื่นพูดกันแล้วหรืออย่างไร?”
“จริงสิ พวกท่านยังจำเจี่ยซิ่วไฉได้หรือไม่?” บัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “เขาสอบตกมามากกว่าสิบปีแล้ว ภรรยาและลูกของเขาหนีไปด้วยความโมโห ไม่รู้ว่าหมู่นี้เกิดอะไรขึ้น เขาถึงร่ำรวยขึ้นมา ข้าเห็นเขาใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ ไม่รู้ว่าไปร่ำรวยมาจากที่ใด”
มู่ซืออวี่และลู่อี้มองหน้ากัน
นี่อย่างไร! สิ่งที่พวกเขาอยากได้ยิน
ถึงแม้จะไม่ใช่คนที่พวกเขาตามหา ทว่าตราบใดที่มีเบาะแส ย่อมมีทางสืบค้นได้
“คืนนี้ข้าจะไปดูที่หอหยกงาม”
หอหยกงามเป็นหอนางโลมที่เถ้าแก่เฉียนถูกพาไป
ตอนได้ยินชื่อ ก็คิดว่าเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยศิลปะเสียอีก ที่แท้เป็นหอนางโลมที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดนี่เอง
“ข้าก็จะไป”
“หากเจ้าไปจะถูกพวกเขามองออกอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเจ้าจะปลอมตัวดีเพียงใด ทว่าด้วยประสบการณ์พวกนางย่อมสามารถบอกได้ว่าเป็นสตรีหรือบุรุษจากท่าทางการเดินของเจ้า เช่นนี้ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
มู่ซืออวี่หมดคำจะพูด
ดังนั้น เรื่องที่สตรีปลอมเป็นบุรุษไปเที่ยวหอนางโลมเป็นเรื่องโกหกหรือ?
ละครล้วนหลอกคนจริง ๆ
“ต้าหนิว จับตาดูเขาไว้” มู่ซืออวี่เอ่ยกับต้าหนิว “หากใต้เท้าลู่ไม่ซื่อสัตย์ กลับมาบอกข้า”
ลู่อี้คว้ามือภรรยา ลูบหลังมือของนางเบา ๆ “ไม่กล้า ฮูหยินดุปานนี้ ข้ายังอยากมีชีวิตอีกสักสองสามปี”
คืนนั้น มู่ซืออวี่เดินเตร่ทั่วถนน โดยมีจื่อซูและจื่อเยวี่ยนเป็นเพื่อน
“เศรษฐกิจของเมืองหลีถือว่าปานกลาง ไม่เฟื่องฟูเหมือนเมืองฮู่เป่ยเรา” จื่อซูพึมพำอะไรบางอย่าง
“เมืองหลีเป็นที่ศักดินาของหลีอ๋อง ได้ยินว่าหลีอ๋องไม่สนใจกิจการศักดินาของตนนานแล้ว เมืองหลีในตอนนี้ถูกหลีหวางเฟยควบคุม” จื่อเยวี่ยนเอ่ย
“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” จื่อซูถาม “เจ้าและข้าออกมาด้วยกัน อยู่กับฮูหยินด้วยกัน คำพูดเหล่านี้ข้าไม่เคยได้ยิน”
“ตั้งแต่ออกมา สายตาเจ้าก็เห็นเพียงของกิน จะได้ยินข่าวสำคัญเหล่านี้ได้อย่างไร?” จื่อเยวี่ยนเอ่ย “ให้ข้าถามเจ้า เมื่อครู่นี้พวกเราผ่านร้านแป้งทอด ร้านที่อยู่ข้าง ๆ เป็นร้านอะไร?”
“ร้านหนึ่งเป็นร้านเต้าหู้ อีกร้านเป็นร้านบะหมี่”
“ฮูหยิน ท่านดูนางสิเจ้าคะ นางจำสิ่งเหล่านี้ได้ดีนัก”
มู่ซืออวี่หัวเราะเบา ๆ “เอาละ ไม่ต้องแกล้งนางแล้ว”
ทั้งสองคนหยุดอยู่หน้าร้านขายหยก
“หยกเหล่านี้สวยยิ่งนัก” จื่อซูเอ่ยขึ้น
“ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้นเป็นค่าอาหารเจ้าได้หนึ่งปีเชียวนะ เจ้าอยากซื้อหรือ?” จื่อเยวี่ยนเอ่ยแกล้ง
จื่อซูสะบัดมือออก “อย่างนั้นก็ช่างเถอะ ข้ายังอยากเหลือเงินไว้กินข้าว”
คนงานในร้านเดินออกมาทักทายและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลูกค้าทุกท่าน อยากซื้ออะไรหรือขอรับ? ข้างนอกเป็นหยกดั้งเดิมของเรา ส่วนข้างในยังมีหินหยกที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนอีก”
“ร้านพวกท่านยังมีหยกเดิมพัน*[1] ด้วยหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ค่อยน่าสนใจหน่อย! หินหยกชิ้นหนึ่งราคาเท่าไหร่หรือ?”
“ขึ้นอยู่กับขนาดของหยกขอรับ ถูกที่สุดหนึ่งร้อยตำลึง ส่วนแพงที่สุดก็…” คนงานผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เชิญเข้ามาข้างในขอรับ”
จื่อซูเข้าไปใกล้ ๆ จื่อเยวี่ยนแล้วเอ่ยถาม “นี่ไม่ใช่การเดิมพันหรือ? เหตุใดฮูหยินจึงได้สนใจสิ่งนี้?”
“เถ้าแก่เฉียนทำกิจการอะไรเล่า?” จื่อเยวี่ยนย้ำเตือนเสียงเบา
“หยก… อ้อ…” จื่อซูพลันตระหนักขึ้นมาได้