สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 452 แหวกหญ้าให้งูตื่น
บทที่ 452 แหวกหญ้าให้งูตื่น
บทที่ 452 แหวกหญ้าให้งูตื่น
ยามไฮ่*[1] มู่ซืออวี่กำลังทานผลแห้งอยู่ในโรงน้ำชา ฟังนักเล่านิทานเล่าเรื่อง สตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งฉีกหน้ากาก ‘ท่านย่า’ ของตนเอง
“นักเล่านิทานรู้ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่พึมพำ “ข้ายังเกือบลืมไปแล้ว”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนเกิดขึ้นมาเนิ่นนาน และ ‘ฝันร้าย’ ที่ครั้งหนึ่งเคยตามหลอกหลอนก็ได้หายไปจากชีวิตของนางแล้ว
ตอนนี้เวลาได้ยินผู้อื่นกล่าวถึง ‘เรื่องราว’ ของนาง มู่ซืออวี่รู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องของผู้อื่น นางไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
จื่อซูเดินเข้ามาจากข้างนอก ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบข้างหู “ร้านหยกแขวนโคมไฟแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ!”
โคมไฟถูกแขวนไว้ในร้านหยก แสงสลัวสาดส่องประกายแสงสีแดงลงบนถนนฝั่งตรงข้าม
มู่ซืออวี่มาเคาะประตูหน้าร้านพร้อมกับสาวใช้สองคน
“ฮูหยินถง เชิญเข้ามาข้างในขอรับ” เด็กในร้านเชิญให้นางเข้าไป
มู่ซืออวี่พาสาวใช้สองคนเข้ามาข้างใน จากนั้นคนมากมายก็เดินออกมาจากตรอกฝั่งตรงข้าม
“นายท่าน คนของเราล้อมสถานที่นี้ไว้หมดแล้วขอรับ แม้กระทั่งแมลงวันก็ไม่สามารถเล็ดลอดออกไปได้” ชายที่อยู่ข้างหลังลู่อี้เอ่ยขึ้น
ต้าหนิวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “อย่าได้วางใจไป ฮูหยินยังอยู่ข้างในนะ!”
ลู่อี้มองไปทางประตูร้าน
ขอเพียงมู่ซืออวี่เห็น ‘สินค้าชั้นยอด’ นั้น พวกเขาก็จะพุ่งเข้าไปจับอีกฝ่ายทันที
ภายในร้าน เถ้าแก่หนิงเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยิน ปล่อยให้ท่านรอนานแล้ว”
“ขอเพียงเป็นของดี ให้รอนานก็ไม่เป็นไร แต่หากของที่ว่าไม่ทำให้ข้าพึงพอใจ เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยท่านไปง่าย ๆ แน่” มู่ซืออวี่แสดงท่าทีราวกับเป็นเศรษฐีใหม่
นางนั่งลง เอ่ยปฏิเสธเด็กในร้านที่นำน้ำชาและขนมมาให้ราวกับว่าดูถูกของพื้น ๆ เหล่านี้ แต่แท้จริงแล้วนางไม่กล้าแตะน้ำชาของที่นี่ ด้วยกลัวว่าจะถูกวางยา
ทว่ามู่ซืออวี่กลับรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา คล้ายกับว่าที่นี่ทำให้นางไม่สบายใจ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮูหยินลู่มาร้านนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น ราวกับว่านางพลาดอะไรบางอย่างไป ตอนนี้ในใจจึงว้าวุ่นไปหมด
“เป็นของดีแน่นอน ข้าไม่ยอมให้ฮูหยินถงต้องผิดหวัง เชิญท่านนั่งรออยู่ก่อน ข้าจะไปเอาออกมาเดี๋ยวนี้”
เถ้าแก่หนิงไปค้นกล่องหนึ่งออกมาจากตู้ข้าง ๆ ขณะที่เขากำลังจะใช้กุญแจเปิดกล่อง จู่ ๆ เด็กในร้านก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
“เถ้าแก่ เถ้าแก่เฉิงมาซื้อสินค้าแล้วขอรับ” เด็กในร้านรายงาน
เถ้าแก่หนิงหยุดมือ เงยหน้าขึ้นมองเด็กในร้านคนนั้น แววตาเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่ก็ค่ำมืดมากแล้ว เขายังอยากซื้ออยู่อีกหรือ?”
“ได้ยินว่ามีลูกค้ารายใหญ่รีบร้อนอยากได้สินค้า ดังนั้นเขาจึงต้องมาหาท่าน” ชายผู้นั้นเอ่ย “ทำอย่างไรดีขอรับ? เถ้าแก่เฉิงยังรออยู่นะขอรับ!”
“นี่…” เถ้าแก่หนิงหันกลับมามองมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน เกรงว่าคงต้องให้ท่านรอหน่อยแล้ว”
มู่ซืออวี่ลังเลใจ
บังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ?
หากสลัดหน้ากากออกตอนนี้ จะเร็วเกินไปหรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ได้เห็นของในกล่องก็ไม่อาจยืนยันให้แน่ชัดได้ว่าเถ้าแก่หนิงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ลู่อี้เพียงพบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังหอหยกงามกับเจ้าของร้านหยกเป็นคนเดียวกัน ทว่ายังไม่พบหลักฐานอื่นใด
“ฮูหยิน ฮูหยิน…” เถ้าแก่หนิงโบกมือไปมาตรงหน้ามู่ซืออวี่ “ท่านเป็นอะไรไปหรือ?”
“ไม่มีอะไร” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะตามท่านไปดูเถ้าแก่เฉิงผู้นี้ เพื่อรับชมสินค้าว่าเป็นอย่างไร”
“เอ่อ…” เถ้าแก่หนิงหันกลับไปมองเด็กในร้านคนนั้น
“ไม่สะดวกหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม “อย่างไรข้าก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของท่าน คำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้มากเกินไปหรือ? หากมีของที่ต้องตาข้า ข้าจะช่วยอุดหนุนกิจการท่านอีกแรง”
“ได้ เช่นนั้นฮูหยินก็ตามพวกเราไปด้วยกันเถิด!” เถ้าแก่หนิงเอ่ย “เชิญทางนี้”
มู่ซืออวี่ตามเขาไป
เถ้าแก่หนิงถือกล่องใบนั้นไว้ในมือ
ทันใดนั้น โคมไฟหน้าร้านก็ดับลง รอบตัวพลันมืดมิด
ในตอนนี้เอง เถ้าแก่หนิงก็วิ่งหนีไป
เด็กในร้านคนนั้นตามหลังไปติด ๆ
“ฮูหยิน พวกเขาหนีไปแล้ว!” จื่อซูร้องขึ้นเสียงดัง “บ่าวจะตามไปเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่ตะโกนขึ้นทันที “จื่อเยวี่ยน รีบส่งสัญญาณเร็วเข้า!”
“เจ้าค่ะ” ขณะที่ร้องตอบ นางก็เอาพลุส่งสัญญาณออกมาจากแขนเสื้อ
พลุส่งสัญญาณเล็ก ๆ แล่นฉิวขึ้นสู่ท้องฟ้า
ลู่อี้และคนอื่น ๆ ที่เฝ้าดูอยู่ข้างนอกเห็นสัญญาณนั้นก็ทำตามแผนเดิมทันที เหลือคนกลุ่มหนึ่งไว้เฝ้าสังเกตการณ์ ขณะที่ลู่อี้และคนที่เหลือรุดเข้าไปในร้าน
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดูออกว่าข้ามีพิรุธ ยังไม่ทันได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน พวกเขาก็หาข้ออ้างหนีไปแล้ว หนีไปทางนั้น” มู่ซืออวี่ชี้ไปทางที่เถ้าแก่หนิงหลบหนีไป
“เจ้าอยู่ที่นี่ อย่าไปไหน ข้าจะไล่ตามไป”
ทั่วทั้งร้านว่างเปล่า บัดนี้โคมไฟดับลงแล้ว มองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วมือของตนเอง ที่นี่ทั้งหนาวทั้งมืด การยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“จื่อเยวี่ยน พวกเรากลับไปยังห้องเมื่อครู่นี้เถอะ” มู่ซืออวี่กล่าว “พวกเขาหลบหนีไปด้วยความรีบร้อน บางทีอาจทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ พวกเราไปลองหาดูกัน”
มู่ซืออวี่และจื่อเยวี่ยนรื้อค้นข้าวของในร้าน
หยกที่เห็นตอนกลางวันไม่อยู่แล้ว พวกมันคงเก็บไว้อย่างดี ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ของล้ำค่าถูกจัดแสดงในยามกลางวัน แต่แน่นอนว่าต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดในตอนกลางคืน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเก็บไปแล้วก็คงอยู่ในที่ที่ไม่ไกลนัก ดังนั้นจะต้องอยู่ใกล้ ๆ นี้เป็นแน่
“ฮูหยิน ตรงนี้มีห้องลับ” จื่อเยวี่ยนอุทานออกมา “บ่าวบังเอิญพบเข้าเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่มองประตูห้องลับนั้น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วเอ่ยว่า “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเมื่อครู่ข้าจึงรู้สึกเย็นยะเยือก ที่แท้ตรงนี้ก็มีคนอยู่”
“ฮูหยินหมายความว่า…”
“ที่นี่เดิมทีมีคนคนหนึ่งซ่อนอยู่ ขณะที่ข้าจะเข้าไปทำการค้ากับเถ้าแก่หนิง เขาแอบมองข้า บางทีเขาอาจรู้ว่าข้าปลอมตัวมาจึงเตือนเถ้าแก่หนิง”
“ตรวจสอบไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว”
“หวังว่าสามีจะจับพวกเขาได้”
ไม่นานนักจื่อซูก็กลับมา
“ฮูหยิน นายท่านลู่ให้บ่าวกลับมาหาเจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ย “โชคดีที่นายท่านตามไปได้ทัน ไม่เช่นนั้น… ฮูหยินคงไม่เห็นบ่าวแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“จู่ ๆ พวกเขาก็ใช้ยาพิษ บ่าวเกือบตกหลุมพรางแล้วเจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ยด้วยความโมโห “แต่นายท่านลู่มาพบก่อน เขาสั่งให้บ่าวพาฮูหยินกลับไปรอที่โรงเตี๊ยม”
“ข้าจะอยู่ที่นี่ รอเขากลับมา” มู่ซืออวี่ชี้ไปยังทางลับข้าง ๆ “มีห้องลับอยู่ตรงนี้ ข้าไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไปดู”
ลู่อี้กลับไปยังโรงเตี๊ยมก็ยังไม่เห็นมู่ซืออวี่กลับมา จึงนำคนไปที่ร้านหยก
เมื่อเห็นห้องลับจึงนำคนเข้าไปตรวจดู
จากนั้นก็นำหยกและเครื่องประดับจำนวนมากออกมา
“ช้าก่อน” มู่ซืออวี่เรียกลูกน้องที่ถือกล่องใบหนึ่งออกมาไว้ “กล่องนี้ไม่ต้องเคลื่อนย้ายแล้ว ล้วนแต่เป็นของปลอมทั้งสิ้น”
“ของปลอม?” ลู่อี้ยกพระพุทธรูปหยกขึ้นมาดู “เอาของปลอมมาปะปนของจริง หากไม่ดูให้ถี่ถ้วน เดิมทีก็มองไม่ออกว่าเป็นของปลอมแม้แต่น้อย”
“คงเป็นของที่พวกมันเอาไว้หลอกคน” มู่ซืออวี่เอ่ย “แสดงของจริงให้ลูกค้าดู จากนั้นแสร้งทำให้ของตกแตกโดยบังเอิญ อีกฝ่ายจึงต้องชดใช้ให้ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องชดใช้ จริงสิ ท่านจับพวกมันได้หรือไม่?”
“จับได้แล้ว” ลู่อี้เอ่ย “ข้าส่งพวกมันไปขังไว้ที่หนึ่ง ให้คนหลายคนคอยเฝ้า หากยังปล่อยให้พวกมันหนีไปได้ เช่นนั้นเงินที่เจ้าใช้ในครานี้จะไม่สูญเปล่าหรือ?”
“ผู้ใดบอกว่าสูญเปล่าเล่า?” มู่ซืออวี่กล่าว “เงินเหล่านั้นใช้เพื่อสืบสวนคดี ดังนั้นจวนว่าการต้องใช้คืน”
“ได้ เอาไว้จะใช้คืนให้เจ้า” ลู่อี้คว้ามือภรรยามากุม “ไปเถอะ ออกจากที่นี่กัน”
[1] ยามไฮ่ คือ ช่วงเวลาระหว่าง 21.00 – 23.00 น.