สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 454 ความคิดของจวิ้นจู่
บทที่ 454 ความคิดของจวิ้นจู่
บทที่ 454 ความคิดของจวิ้นจู่
หน้าประตูจวนหลี ทันทีที่รถม้าหยุดลง ร่างของหลีหวางเฟยก็ปรากฏขึ้น นางวิ่งเข้ามาหาฟ่านซือโยวที่ถูกบ่าวรับใช้พยุงลงมา
“โยวหราน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าไม่เป็นไร…” ฟ่านซือโยวหันกลับไปมองมู่ซืออวี่ที่กำลังลงจากรถม้า
มู่ซืออวี่เปลี่ยนเสื้อผ้ามาจากที่วัดแล้ว นางสวมเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำรองของฟ่านซือโยว ทำให้ฮูหยินลู่ดูเยาว์วัยกว่าเดิมเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม บนใบหน้าของนางมีรอยขีดข่วนอยู่รอยหนึ่ง ถึงแม้ว่าเลือดจะหยุดแล้ว แต่เมื่อมองเห็นก็อดที่จะตกใจไม่ได้
หลีหวางเฟยเดินเข้าไปหามู่ซืออวี่ “คนของข้าเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว ฮูหยินลู่ เจ้ารีบเข้าไปในจวนเถิด ข้าจะสั่งให้ท่านหมอใส่ยาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
“ขอบพระคุณหวางเฟยเจ้าค่ะ”
“นี่เป็นเรื่องสมควร รีบเข้ามาเถิด!”
ทันทีที่หลีหวางเฟยออกมาจากห้องพระ นางก็ทราบข่าวว่าธิดาของตนเกือบตกหน้าผา นางกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากรู้ว่ามู่ซืออวี่ช่วยฟ่านซือโยวไว้ได้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางซาบซึ้งต่อน้ำใจของมู่ซืออวี่ยิ่งนัก
ขณะที่ท่านหมอใส่ยาให้ฮูหยินลู่อยู่นั้น หลีหวางเฟยก็เอ่ยถาม “เป็นอย่างไร? บาดแผลของฮูหยินลู่ร้ายแรงหรือไม่?”
หลีหวางเฟยดูเหมือนสตรีวัยกลางคนมากความสามารถ
คนภายนอกกล่าวว่านางปิดฟ้าได้ด้วยฝ่ามือเดียว ทว่าตามที่มู่ซืออวี่เฝ้าสังเกตตลอดหลายวันมานี้ นางรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ได้ยินมาเป็นเพียงข่าวลือ หลีหวางเฟยเป็นเพียงสตรีชาญฉลาดที่มีหน้าที่ดูแลจวนหลีก็เท่านั้น
“บาดแผลไม่ร้ายแรงนัก ขอแค่เพียงทายาอย่างสม่ำเสมอ ไม่สัมผัสน้ำหรือทานอาหารเผ็ดร้อนในช่วงนี้ ไม่นานก็จะดีขึ้นและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้” ท่านหมอกล่าว
“เช่นนั้นก็ดี” หลีหวางเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ใบหน้าของสตรีสำคัญมาก หากใบหน้าของนางเสียโฉม พวกเราจะอธิบายกับใต้เท้าลู่อย่างไร?”
“หวางเฟย ใต้เท้าลู่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เข้ามารายงาน
“เขาคงได้ยินเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นแน่ จึงกลับมาดูเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง” ใบหน้าของหวางเฟยแสดงความอิจฉาออกมา “พวกเจ้าสามีภรรยาช่างรักกันหวานชื่นจริง ๆ”
“ท่านแม่ พวกเราไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรบกวนพวกเขาแล้ว” หลังจากฟ่านซือโยวเอ่ยกับหลีหวางเฟยจบ นางก็หันไปหามู่ซืออวี่ “พี่หญิงมู่ ข้าขออภัยด้วย”
“จวิ้นจู่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เพียงแค่ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ทว่า ระยะนี้ข้าต้องพักฟื้นอาการบาดเจ็บ เกรงว่าจะไม่สามารถไปเที่ยวเล่นกับจวิ้นจู่ได้แล้ว”
ฟ่านซือโยวหลุบตาลง “ระยะนี้ข้าก็จะไม่ออกจากจวน พรุ่งนี้ข้าจะมาที่เรือนเฟิงเยี่ยเพื่อดื่มชากับท่าน”
“สามีของข้ากลับมาแล้ว บางทีพวกข้าอาจจะจากไปในวันนี้” มู่ซืออวี่เอ่ย “พรุ่งนี้คงไม่ได้ดื่มชาแล้ว ภายหน้าหากมีโอกาส ข้าจะเชิญจวิ้นจู่มาดื่มชาอีกครั้ง”
หลีหวางเฟยมองทั้งสองคน คิดเห็นอย่างไรไม่แน่ชัด
เมื่อพวกนางออกมาก็พบกับลู่อี้ที่หน้าประตู เมื่อลู่อี้ค้อมคำนับ หลีหวางเฟยก็รีบเข้าไปขอโทษเขาและบอกเล่าเรื่องบาดแผลของมู่ซืออวี่ขณะที่ช่วยฟ่านซือโยว จากนั้นจึงกล่าวขอโทษอีกครั้ง
ลู่อี้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่เพราะการไม่ได้เอ่ยสิ่งใดนั้นก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ฮูหยินของเขาได้รับบาดเจ็บ จะเป็นไปได้หรือหากมีคนผู้หนึ่งเอ่ยว่า ‘ขออภัย’ แล้วเขาจะตอบว่า ‘ไม่เป็นไร’ ? ฮูหยินของเขาไม่ได้ไร้ค่าถึงเพียงนั้น
“สามีกลับมาแล้ว” มู่ซืออวี่ทักทายลู่อี้
ลู่อี้มองรอยแผลบนใบหน้าภรรยา
มู่ซืออวี่ก็ไม่ปิดบังเช่นกัน แต่ให้เขาดูว่าเจ็บที่ใด
“ทำอย่างไรดี? เดิมทีข้าก็อัปลักษณ์อยู่แล้ว ตอนนี้อัปลักษณ์ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ท่านรังเกียจข้าแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่!” ลู่อี้ขมวดคิ้วมุ่น “เกลียดที่เจ้าโง่เขลาเช่นนี้”
“หากข้าไม่ช่วยนางแล้วปล่อยให้นางตกหน้าผาไปต่อหน้าต่อตา ถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดข้า อย่างไรข้าก็จะถูกดึงเข้าไปพัวพันอยู่ดี” มู่ซืออวี่เอ่ย “เดิมทีข้าชอบนางมาก แต่หลังจากเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น ข้าคิดว่าอยู่ให้ห่างจากนางสักหน่อยจะดีกว่า”
“เกิดอะไรขึ้น?” คิ้วของลู่อี้ขมวดแน่น “หรือว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ?”
“ข้าก็บอกไม่ถูก” มู่ซืออวี่ลังเลไปชั่วขณะ
“กับสามียังมีอะไรต้องปิดบังอีกหรือ?”
“เปล่า ข้าเพียงกังวลว่าข้าอาจจะคิดมากไป เช่นนั้นจะไม่กลายเป็นเข้าใจผู้อื่นผิดไปหรือ?”
“บอกข้าสิ แล้วข้าจะช่วยเจ้าไตร่ตรองดู”
มู่ซืออวี่จึงเล่าการคาดเดาของตนให้ฟัง
“เริ่มแรกก็ไม่มีอะไร ไม่พบอะไรผิดปกติ นางกล่าวว่าอยากไปดูกล้วยไม้ ข้าไม่คิดว่ากล้วยไม้ในวัดฉีซานจะอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยหน้าผาสูงชันเช่นนั้น วันที่ไป บ่าวรับใช้ทักท้วงว่าฝนเพิ่งตก พื้นยังลื่น และขอให้พวกเรากลับก่อนจะดีกว่า ข้าก็พยายามโน้มน้าวนางเช่นกัน แต่นางกลับยืนกรานว่าอยากจะดูเอื้องพร้าวที่จัดว่าเป็นกล้วยไม้อันดับต้น ๆ เหตุการณ์พวกนี้ล้วนปกติ ทว่าสิ่งที่ทำให้ข้าสงสัยคือตอนที่นางลื่น อันที่จริงข้าพยายามจะจับมือนาง คราแรกข้าจับไว้ได้แล้ว แต่จู่ ๆ เล็บของนางก็จิกลงบนฝ่ามือข้า นี่…”
ลู่อี้มองกลางฝ่ามือของภรรยา
ตรงนั้นมีรอยจิกอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อตรวจดูรอยแผลแล้วพบว่าไม่เหมือนอุบัติเหตุจริง ๆ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจงใจจิกอย่างแรงเพื่อให้มู่ซืออวี่ปล่อยมือมากกว่า
“ต่อมาข้าช่วยนางอีกครั้ง หลังจากที่คว้านางไว้ได้ในคราแรก นางยังคงกลิ้งไปราวกับไม่อยากให้ข้าช่วย” มู่ซืออวี่เอ่ย “เรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นการคาดเดาของข้า”
“เป็นเพียงการคาดเดาหรือไม่ จริง ๆ แล้วง่ายมาก “ข้าจะส่งคนไปดูใต้หน้าผา”
“ใต้หน้าผาหรือ?”
“ไม่ผิด หากนางอยากตกลงไปเองคงไม่รนหาที่ตาย เกรงว่าใต้หน้าผาจะมีลับลมคมในบางอย่าง” ลู่อี้กล่าว “ข้าจะออกไปสักพัก เจ้าก็อยู่ที่นี่ อย่าได้เตร็ดเตร่ไปที่ใด”
มู่ซืออวี่นั่งลงตรงหน้ากระจกและมองตนเอง
“ฮูหยิน อย่าแตะบาดแผลนะเจ้าคะ” จื่อซูนำน้ำแกงเข้ามา “ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นสาหัส ไม่จำเป็นต้องทานยา แต่แผลก็ต้องการการฟื้นฟูนะเจ้าคะ น้ำแกงนี้ส่งมาจากห้องครัว”
“ข้าไม่อยากทาน”
“ทานหน่อยเถอะเจ้าค่ะ! น้ำแกงปลาของจวนอ๋อง จะต้องไม่ใช่น้ำแกงปลาธรรมดาทั่วไปเป็นแน่” จื่อซูดมกลิ่นแล้วเอ่ยว่า “หอมมากเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ดื่มเถอะ!” มู่ซืออวี่ตอบ “ข้าไม่อยากจริง ๆ หากข้าอยากดื่มน้ำแกงปลา ข้าทำเองได้”
ลู่อี้ไปไม่นานนัก เพียงครึ่งชั่วยามก็กลับมา ผลคือพอกลับมาได้ไม่นาน ก็บอกว่าท่านชายโม่เรียกหา จึงต้องออกไปอีกครั้ง
กว่าเขาจะมีเวลาว่างจริง ๆ ก็ดึกดื่นมากแล้ว
มู่ซืออวี่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างค่อย ๆ ทานรังนก นางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อบ่าวรับใช้เรียก ‘นายท่านลู่’ นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้เห็น
ลู่อี้นั่งลงตรงข้ามนาง “ครั้งนี้ข้าว่างแล้วจริง ๆ”
“ข้าเป็นของตกแต่งยามว่างของท่านหรือ? ต้องรอท่านว่างแล้วจึงจะมาหาข้าได้” มู่ซืออวี่เอ่ยนิ่ง ๆ
“เจ้าเป็นฮูหยินของข้า” ลู่อี้เขยิบไปนั่งข้าง ๆ ภรรยา “อยากรู้หรือไม่ว่าเจ้าคาดเดาได้ถูกต้องหรือไม่?”
มู่ซืออวี่เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าจะให้โอกาสท่านได้เฉลยออกมา ว่ามาเถอะ!”
ลู่อี้ยกนิ้วเขี่ยจมูกนางเบา ๆ “ขอบคุณฮูหยินที่ให้โอกาสข้า ข้าส่งคนไปดูใต้หน้าผา… ”
ใต้หน้าผามีรอยเท้าอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีเชือกยาวเส้นหนึ่งผูกอยู่กับหน้าผา ราวกับว่าเตรียมไว้เพื่อผู้ใด
ลู่อี้ตรวจสอบอดีตของฟ่านซือโยวอีกครั้งและพบว่า นางลอบคบหากับบัณฑิตผู้หนึ่ง ดูเหมือนทั้งสองอยากแต่งงานกัน แต่ด้วยสถานะของนาง หลีอ๋องและหลีหวางเฟยจึงไม่ยินยอม เห็นได้ชัดว่าทั้งสองนัดหมายกันใช้วิธีผูกเชือกแสร้งตาย เพราะนึกไม่ถึงว่ามู่ซืออวี่จะพยายามอย่างหนักเพื่อ ‘ช่วยนาง’ โอกาสดี ๆ จึงพลาดไปอย่างน่าเสียดาย
“หวางเฟยและท่านอ๋องไม่รู้เรื่องบัณฑิตผู้นี้หรือ?”
“ไม่รู้”
“สาวใช้ของนางเล่า?”
“สาวใช้คนนี้เป็นคนใหม่ สาวใช้คนก่อนแต่งงานไปแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “และทุกครั้งที่แต่งงานจะแต่งงานที่วัดฉีซาน”