สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 461 หาพบแล้ว
บทที่ 461 หาพบแล้ว
บทที่ 461 หาพบแล้ว
ลู่อี้พบรูปภาพนั้นในห้องของฟ่านซือโยว
หลังจากอ่านลายมือบนภาพ เขาก็นำรูปภาพออกไปทันที
ซูถิงเจิ้งผู้นี้หาตัวได้ไม่ยากนัก อย่างไรเสีย เขาก็เป็นอัจฉริยะชื่อเสียงโด่งดังแห่งเมืองหลี ทว่าหลายปีมานี้หลังจากที่สอบผ่าน เขากลับไม่ยินดีไปสอบขุนนางที่เมืองหลวง เรื่องนี้ทำให้หลาย ๆ คนไม่เข้าใจนัก
ลู่อี้นำคนของตนรุดไปที่บ้านของซูถิงเจิ้ง
ชื่อเสียงของชายหนุ่ม แม้จะเป็นเพียงชื่อเสียงเล็ก ๆ ไม่อาจเทียบได้กับชื่อเสียงของผู้มากพรสวรรค์อย่างลู่อี้ ทว่าซูถิงเจิ้งกลับใช้ชีวิตดีกว่าใต้เท้าลู่มากมายนัก บ้านเขามีทางเข้าถึงสามทางและทางออกถึงสองทาง มีบ้านเช่นนี้อยู่ในเมืองหลีนับว่าเป็นครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะย่ำแย่
จือเชียนกระโดดข้ามกำแพงไปเปิดประตู
ทุกคนบุกเข้าไปทันที
“ใต้เท้า…” มีเสียงตะโกนเข้ามาจากในห้อง
ลู่อี้รุดเข้าไปในห้องโถง จึงเห็นซูถิงเจิ้งและฟ่านซือโยวแขวนคออยู่กับขื่อคานบ้าน
ก่อนที่ลู่อี้จะทันได้กล่าวสิ่งใด จือเชียนก็กระโดดขึ้นไปบนขื่อ ตัดเชือกเพื่อปล่อยทั้งสองคนลงมา
“จวิ้นจู่ยังมีลมหายใจ แต่เจ้าเด็กคนนี้ไม่มีลมหายใจแล้ว”
“ค้นให้ทั่วบ้าน ดูว่ายังมีเบาะแสที่ใดอีกหรือไม่” ลู่อี้เอ่ย “ส่งจวิ้นจู่ไปยังโรงหมอ รอนางตื่นขึ้นมา ข้ายังมีบางอย่างต้องถามนาง”
ส่วนศพของซูถิงเจิ้งนั้น…
ลู่อี้ตระเตรียมให้ลูกน้องที่ไว้ใจส่งไปยังที่ทำการของเจ้าหน้าที่อู่จั้ว*[1] และสั่งให้เขาเฝ้าศพระหว่างทำการตรวจสอบ
“ใต้เท้า ในผนังมีศพสตรีคนหนึ่งขอรับ”
เมื่อลู่อี้มาถึง ลูกน้องเขาจึงนำศพสตรีคนนั้นออกมา
ศพสตรีนางนั้นสวมใส่ชุดกระโปรงปักลายผีเสื้อ ข้อมือสวมใส่กำไลหยกเคลือบสีชมพูเข้ม เมื่อมองเครื่องประดับบนร่างกาย และรูปร่างนั้นแล้ว…
ลู่อี้กำหมัดแน่น
“ไม่ใช่นาง ไม่มีทางเป็นนาง!”
อู่จั้วเพิ่งชันสูตรร่างกายของซูถิงเจิ้งเสร็จและกำลังจะเขียนรายงานผลการชันสูตรให้ลู่อี้ แต่ใต้เท้าลู่และคนของเขากลับนำศพสตรีอีกคนหนึ่งเข้ามาก่อน เมื่ออู่จั้วเห็นสีหน้าของลู่อี้จึงเร่งชันสูตรด้วยความรวดเร็ว
ฟ่านหยวนซีรุดมาหลังจากได้ยินข่าว เห็นเพียงลู่อี้ยืนอยู่หน้าห้องชันสูตรศพด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าฟ่านหยวนซีทราบดี ยิ่งคนผู้นั้นสงบนิ่งเพียงใด หากระเบิดออกมา เกรงว่าผืนพิภพคงต้องสั่นสะเทือนเป็นแน่
“เจ้าทำอะไร?” ฟ่านหยวนซีมองจือเชียนที่กำลังจะเข้าไปหาลู่อี้จึงเอ่ยห้าม “หากเจ้าไม่อยากตายโดยไม่รู้ตัว อย่าได้เอ่ยสิ่งใด ตอนนี้ปล่อยเขาไว้เพียงลำพังจะดีที่สุด เจ้ามีเรื่องอะไรก็ว่ามา”
“จวิ้นจู่ฟื้นแล้วขอรับ” จือเชียนเอ่ย
“ข้าจะไปพบนาง” ฟ่านหยวนซีกล่าว “นำทางไป”
ฟ่านซือโยวและหลีหวางเฟยกอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้น หลีหวางเฟยพร่ำบ่นฟ่านซือโยวที่โง่เขลาเชื่อคำลวงของผู้ร้าย ถึงขั้นทำให้ตนเองเกือบตาย ผู้เป็นจวิ้นจู่ได้แต่กล่าวตำหนิตนเอง เสียใจที่ทำเช่นนั้นลงไป บอกว่าตนช่างหูเบา หลงเชื่อถ้อยคำที่เป็นดั่งน้ำผึ้งอาบยาพิษของผู้อื่น ถึงได้ต้องทุกข์ทนเช่นนี้
บ่าวรับใช้แจ้งว่า ‘ท่านอ๋องมาแล้ว’ หลีหวางเฟยกำลังจะกล่าวว่า ‘สตรีบุรุษไม่อาจใกล้ชิดกัน’ แต่กลับเห็นฟ่านหยวนซีนำจือเชียนเข้ามาพอดี
หลีหวางเฟยขมวดคิ้ว แต่นางรู้ว่าคนเข้ามาแล้ว หากไล่ออกไปจะกลายเป็นการล่วงเกินคนโมโหร้ายผู้นี้ อย่างไรเสียทั้งสองคนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จะมาเยี่ยมก็ไม่นับว่าผิดอันใด
“จวิ้นจู่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่?” ฟ่านหยวนซีนั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่ต้องรอให้เชิญ
หลีหวางเฟยเห็นเช่นนี้ก็ไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม
นางเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “จงอ๋องมีเรื่องอะไรหรือ?”
“แน่นอน” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “ข้ามาที่นี่เพื่อถามจวิ้นจู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จวิ้นจู่รอดพ้นจากความตายแล้ว คิดว่ามีเรื่องมากมายที่อยากจะกล่าว ตอนนี้ใต้เท้าลู่ยังไม่ว่าง ดังนั้นข้าจึงมาถามแทนเขา”
“ข้าไม่รู้” ฟ่านซือโยวกล่าว “ข้าถูกวางยา จากนั้นจึงหมดสติไป พอฟื้นขึ้นมาก็นอนอยู่บนเตียงที่บ้านแล้ว”
“ท่านไม่รู้ว่าถูกแขวนอยู่บนขื่อคานบ้านที่อีกเพียงนิดก็จะตายแล้วอย่างนั้นหรือ?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม
“ไม่รู้”
“ซูถิงเจิ้งตายแล้ว ท่านคงรู้กระมัง?”
ฟ่านซือโยวสะดุ้งไปทั้งตัว
หลีหวางเฟยกอดนางเอาไว้ พร่ำปลอบประโลมธิดา “ไม่ต้องกลัว ๆ”
นางมองฟ่านหยวนซี “จงอ๋อง โยวหรานกำลังหวาดกลัว ท่านอย่าถามกระตุ้นนางอีกเลย นางบอกว่าไม่รู้ก็หมายความว่าไม่รู้ พวกท่านถามนางไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
“นางและซูถิงเจิ้งผู้นั้นมีความสัมพันธ์กัน บัดนี้กลับกล่าวเพียงไม่รู้ ๆ นั่นไม่สายไปหน่อยหรือไร?”
“ข้าไม่ได้มีสัมพันธ์กับเขา” ฟ่านซือโยวปฏิเสธ
“ไม่มี? เช่นนั้นได้โปรดอธิบายมา เหตุใดท่านและเขาถึงได้แขวนคออยู่บนขื่อคานบ้านสกุลซู? หรือจะบอกว่านี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายบูชารัก?”
“ข้าไม่ได้ทำ!” ฟ่านซือโยวคว้ามือหลีหวางเฟย “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ ถึงแม้ข้าจะชมชอบเขา อย่างไรก็ไม่อาจจากท่านและท่านพ่อไป”
“ข้ารู้” หลีหวางเฟยปลอบนาง
หลีหวางเฟยเอ่ยว่า “ท่านหมอกล่าวว่าโยวหรานสูดยาเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากนางไม่ได้รับการช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าคงจะตายไปแล้ว ตอนนี้นางต้องพักผ่อน ในเมื่อท่านถามแน่ชัดแล้ว เช่นนั้นก็อย่ารบกวนนาง”
ฟ่านหยวนซีออกมาจากห้อง สั่งการให้คนของตนไปเรียกท่านหมอที่รักษาฟ่านซือโยวมา
ท่านหมอตอบคำถามของฟ่านหยวนซี “จวิ้นจู่สูดยาผงเข้าไปจำนวนมากขอรับ บนคอของนางมีร่องรอยชัดเจน เห็นได้ชัดว่าถูกคนนำขึ้นไปแขวนคอ”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม แน่นอนว่าจวิ้นจู่ผู้นี้ถูกคนนำขึ้นไปแขวนคอ นางไม่มีทางที่จะฆ่าตัวตายบูชารักจริง ๆ หรอก
การสอบถามฟ่านซือโยวไม่ได้เบาะแสใด ๆ เพิ่มขึ้นมา
หลังจากที่นางถูกคนทำให้หมดสติ นับแต่นั้นก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีก นางตกเป็นเหยื่อจนกระทั่งลู่อี้และคนอื่น ๆ มาช่วยเอาไว้
“ช้าก่อน” ฟ่านหยวนซีหยุดลูกน้องตนไว้ “เจ้าไปนำเสื้อผ้าที่จวิ้นจู่เปลี่ยนมา หากนางไม่ยอมมอบให้ก็บอกว่าข้าเป็นคนสั่ง ต้องการนำไปตรวจสอบ”
ลูกน้องของเขานำเสื้อผ้าของฟ่านซือโยวกลับมาให้
ฟ่านหยวนซีตรวจดู ยกขึ้นมาแตะจมูกลองดมกลิ่น
ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ถึงแม้จะรู้ว่าท่านอ๋องทำเพื่อตรวจสอบคดี ทว่าเมื่อเห็นการกระทำนี้ของเขา…
จึงอดที่จะคิดไปในทางที่เลวร้ายไม่ได้
ฟ่านหยวนซีถามว่าลู่อี้อยู่ที่ใด จากนั้นจึงปรี่ไปพบอีกฝ่าย
ลู่อี้กำลังพูดคุยกับอู่จั้ว
ฟ่านหยวนซีก้าวเข้าไปอย่างแผ่วเบา เขาค่อย ๆ เดินเข้าไป
“สตรีผู้นี้อายุประมาณยี่สิบปี นางได้รับบาดเจ็บหลายแห่งจากการถูกทุบตี ตายจากการจมน้ำ ได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก่อนที่จะตาย มีคนกดศีรษะนางลงในน้ำ สตรีผู้นี้เคยคลอดลูกมาแล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงหนึ่ง หากดูจากร่างกายของนาง เมื่อหนึ่งปีก่อนคงผ่านการคลอดลูกมาหนึ่งคน…”
ฟ่านหยวนซีหันไปมองลู่อี้
เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนตรงกันกับมู่ซืออวี่ทุกประการ
เหตุใดเขาจึงฟังถ้อยคำเหล่านี้ได้อย่างใจเย็นถึงเพียงนี้?
“ข้าอยากเห็นร่างกายนางด้วยสายตาตัวเอง” ลู่อี้เอ่ยด้วยความเยือกเย็น
“ใต้เท้าเชิญเข้ามาข้างใน” ผู้เป็นอู่จั้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
ฟ่านหยวนซีรออยู่ข้างนอก
ไม่นานนัก ใต้เท้าลู่ก็ออกมา
ฟ่านหยวนซีมองสีหน้าของอีกฝ่าย “เจ้า…”
“ไม่ใช่นาง” ลู่อี้กล่าว “ไม่ว่ารูปร่างจะเหมือนกันเพียงใด ผลชันสูตรจะสอดคล้องกันเพียงใด หรือต่อให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องประดับให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว ร่างกายก็ไม่อาจโกหก ในฐานะสามีของนาง ข้ารู้จักร่างกายภรรยาดีกว่าผู้ใด ข้าจึงอยากยืนยันด้วยตาตนเอง คนผู้นั้นคงคิดไม่ถึงว่าข้าจะกล้าดูศพของสตรี”
“ข้ารู้ว่าคนที่เป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองอย่างเถ้าแก่เนี้ยมู่ คนผู้นั้นต้องไม่ยินดีฆ่าเป็นแน่” ฟ่านหยวนซีกล่าว “พวกเขาหลอกเอาเงินคนอื่นเพื่อการใด? แน่นอนว่าเป็นเพราะขาดเงิน! ทักษะอย่างอื่นของเถ้าแก่เนี้ยมู่อาจจะดาษดื่นทั่วไป ทว่านางเก่งกาจเรื่องหาเงินเป็นที่สุด!”
“ไม่ผิด เขาต้องการหลอกข้า ให้ข้าคิดว่าฮูหยินของข้าตายไปแล้ว เช่นนี้ข้าจะได้เลิกตรวจสอบ ทว่ายิ่งเขาพยายามมากเท่าไหร่ เขายิ่งเผยตัวออกมามากเท่านั้น ข้าว่าข้าพบเบาะแสใหม่แล้ว”
[1] อู่จั้ว คือ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพในสมัยจีนโบราณ