สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 465 ความลับแห่งจวนหลีอ๋อง
บทที่ 465 ความลับแห่งจวนหลีอ๋อง
บทที่ 465 ความลับแห่งจวนหลีอ๋อง
หลีหวางเฟยตกตะลึง “เจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่ข้าอายุสิบขวบ ข้าเล่นซ่อนแอบอยู่กับญาติผู้พี่ บังเอิญข้ากับเขาไปแอบในห้องของท่าน นึกไม่ถึงว่าตอนนั้นท่านและท่านพ่อจะกลับมาก่อน พวกเรากลัวว่าจะโดนลงโทษจึงแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้า ข้าได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านและท่านพ่อทั้งหมด นับแต่นั้นเป็นต้นมาข้าจึงรู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านถึงดีกับญาติผู้พี่นัก ทุกครั้งที่เขามา ท่านก็จะหาของอร่อยและสิ่งของน่าสนใจมาให้เขา แม้กระทั่งผ้าชั้นเลิศที่ได้มา ท่านก็ยกให้เขาก่อน”
“เขาก็รู้หรือ…” หลีหวางเฟยพึมพำ “หลายปีมานี้ เขาไม่เคยเอ่ยสิ่งใดเลย”
“ข้าและญาติผู้พี่พบความลับพร้อมกัน หลังจากพวกท่านไปแล้ว เราก็แอบออกมา ท่านลองเดาดูว่าญาติผู้พี่ทำสิ่งใด? เขาบอกว่าข้าขโมยทุกสิ่งที่เป็นของเขาไป เขาจะแย่งมันคืน!” ฟ่านซือโยวมองหลีหวางเฟย “ท่านต้องการให้ข้าแต่งงานกับเขามาโดยตลอด แต่ข้าไม่ยินดี ข้าไม่อยากเป็นเบี้ยในมือของพวกท่าน ข้าไม่ชอบเขา ถึงแม้ทุกคนจะยกย่องสรรเสริญเขาเป็นท่านชายโม่ แต่ในสายตาข้า เขาเป็นคนวิปริต เขามองข้าด้วยสายตาเยือกเย็นคู่นั้น ราวกับว่าข้าไปขโมยทุกอย่างของเขามาจริง ๆ เขาไม่แม้แต่จะไตร่ตรองดูด้วยซ้ำว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?”
หลีอ๋องและหลีหวางเฟยรักเขามากว่า แม้กระทั่งบิดามารดาแท้ ๆ ของนางยังเกรงใจเขาเพราะสถานะที่แท้จริง สิ่งของดี ๆ ล้วนมอบให้จ้าวจื่อโม่ก่อน เกรงว่าฮูหยินจ้าวคงลืมไปนานแล้วว่ามีนางเป็นลูกสาวแท้ ๆ!
หากมองผิวเผินชีวิตของฟ่านซือโยวอาจดูสวยงาม ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ หึ! โยวหรานจวิ้นจู่อะไรกัน บรรดาศักดิ์นี้มีเพียงคนนอกไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่านั้นที่มองว่าสูงส่ง สกุลจ้าวและสกุลฟ่านผู้ใดเห็นค่านางจริง ๆ บ้าง?
“พวกเจ้าปิดบังเราหลายเรื่องเพียงนี้เชียวหรือ” หลีหวางเฟยมองฟ่านซือโยวด้วยสายตาผิดหวัง “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่อยากแต่งกับญาติผู้พี่ แต่กลับลอบมีความสัมพันธ์กับบัณฑิตผู้หนึ่ง เจ้าจงใจแก้แค้นพวกเราใช่หรือไม่? ข้าเลี้ยงเจ้ามาหลายปีเพียงนี้ เจ้าลองถามตนเองดู ข้าเคยปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้าหรือ? ชีวิตของเจ้าไม่ดีเท่าแม่นางสกุลจ้าวคนอื่น ๆ ตรงไหน? เทียบกับพวกนางแล้ว เจ้ามีชีวิตที่ดีกว่าอีก”
ฟ่านซือโยวนิ่งเงียบ
“ข้าว้าวุ่นเพราะเจ้าแล้ว!” หลีหวางเฟยนั่งลง “เหตุใดลู่อี้จึงบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า? เหตุใดเขาจึงอยากตรวจสอบเรื่องเก่า ๆ ของจวนหลีอ๋อง? เขาเอ่ยถึงญาติผู้พี่ของเจ้าทำไมกัน?”
ไม่ได้การ นางต้องบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง
ไหนจะจื่อโม่อีก นางอยากพบเขาและพูดคุย เขาคิดอย่างไร? เหตุใดรู้แล้วยังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ความจริง? หลายปีมานี้จื่อโม่คงนึกตำหนิบิดามารดามาโดยตลอดใช่หรือไม่?
ณ ศาลาว่าการ จือเชียนส่งข้อมูลชุดหนึ่งให้ลู่อี้
“เหล่านี้เป็นบ้านและกิจการภายใต้ชื่อของสกุลจ้าว ยังมีบางส่วนที่อยู่ภายใต้ชื่อคนอื่น ทว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นคนของจ้าวจื่อโม่ จึงมีความเป็นไปได้ว่าเป็นของคุณชายผู้นี้ นอกจากนั้น จวนหลีอ๋องก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว คิดว่าไม่นานจ้าวจื่อโม่ก็จะรู้ตัวว่าใต้เท้ากำลังตรวจสอบเขา”
“อืม”
ฟ่านหยวนซีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถาม “ไม่กลัวแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ? เจ้าไม่กลัวเขาจะลงมือกับฮูหยินลู่หรือไร?”
“เหตุใดจ้าวจื่อโม่จึงร้อนรนที่จะใช้เงิน? เพราะเขาทะเยอทะยานและต้องการมากกว่าบรรดาศักดิ์ของจวนหลีอ๋อง เขาต้องการก่อกบฏ! เหตุที่เขาต้องซุ่มอยู่เงียบ ๆ เป็นเพราะยังไม่ได้เวลาที่เหมาะสม เขาพบซูถิงเจิ้งตัวปลอมและใช้เรื่องนี้ข่มขู่อีกฝ่าย ให้เขาหาวิธีพาตัวฟ่านซือโยวไป เช่นนี้ทั้งจวนหลีอ๋องก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา”
“จ้าวจื่อโม่สวมใส่หน้ากากของสุภาพบุรุษ แต่จริง ๆ แล้วเขากลับเป็นผู้ร้าย เขาเกลียดฟ่านซือโยวที่แย่งสถานะของตนไป ถึงแม้นางจะไม่ได้เป็นคนวางแผนเรื่องทั้งหมดแต่เขาก็ยังอยากทำลายนาง คนเห็นแก่ตัว ละโมบโลภมาก ไร้ความละอายใจ ทั้งยังยโสโอหังเช่นเขา เขียนผนังโดยใช้ตัวอักษรของซูถิงเจิ้ง แต่อักษรนั่นดันเผยร่องรอยที่น่าเคลือบแคลงออกมา”
“ข้ากำลังรอให้เขาเผยช่องโหว่ออกมาเรื่อย ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นทรัพย์สินของเขา แปลว่าฮูหยินของข้าจะต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในนี้อย่างแน่นอน จ้าวจื่อโม่กล้ากลับมายังเมืองหลีเพราะมั่นใจว่าเราจะหาเขาไม่พบ แต่ตอนนี้พวกเรากลับกำลังตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น เขาจะต้องส่งคนไปพาฮูหยินของข้าไปที่อื่นอย่างแน่นอน เพียงแค่เราจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเขา ย่อมหาที่อยู่ของนางพบเป็นแน่”
ฟ่านหยวนซีเล่นของตกแต่งที่อยู่เบื้องหน้า “เช่นนั้นต้องรีบหน่อย อย่าลืมว่าเราไม่อาจให้เขาจับได้ มิเช่นนั้นหากฮูหยินลู่ถูกย้ายไปที่อื่นสำเร็จ การจะตามหานางครั้งต่อไปคงยากยิ่งกว่าเดิม”
“ข้าไปด้วยตัวเองไม่ได้!” ลู่อี้กำหมัดแน่น เขาทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง “ที่นี่ถูกคนของจ้าวจื่อโม่จับตาดูอย่างเข้มงวด ข้าต้องทำอย่างอื่นอยู่ในเมืองหลีเพื่อดึงดูดความสนใจของคุณชายนั่น เรื่องตามหาคนทำได้เพียงรบกวนพวกเจ้าแล้ว จือเชียน เจ้าเป็นคนที่เซี่ยคุนเลี้ยงดูมาด้วยตนเอง ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า!”
“ใต้เท้าวางใจ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”
ลู่อี้มาที่จวนหลีอ๋องอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขามาพบหลีอ๋อง
ใต้เท้าลู่เพิ่งเข้ามาในจวนหลีอ๋อง ก็พบคนเดินออกมาส่งจ้าวจื่อโม่พอดี
เดิมทีจ้าวจื่อโม่อยู่ที่งานชุมนุมกวี ผู้ที่เข้าร่วมล้วนแต่เป็นบัณฑิตหัวกะทิของเมืองหลี เมื่อคนของลู่อี้มาเชิญเขาไปที่จวนหลี คุณชายโม่ก็ได้แต่ส่งยิ้มฝืน ๆ ให้
พอหลีหวางเฟยได้ยินข่าวจึงรีบรุดมารับหน้าทันที
“ใต้เท้าลู่ หากท่านอยากตามหาฮูหยินลู่ เช่นนั้นก็ไปหานางเสีย เหตุใดต้องมาจับจ้องเรื่องในจวนของพวกเราไม่ยอมปล่อย?” หลีหวางเฟยเปิดฉากจู่โจมก่อนเป็นคนแรก
ลู่อี้นั่งอยู่ข้าง ๆ หลีอ๋อง
“ท่านอ๋องก็คิดเช่นกันหรือว่าข้าเอาแต่ยึดติดกับเรื่องในจวนอ๋องไม่ยอมปล่อย?”
หลีอ๋องขมวดคิ้วมุ่น “ใต้เท้าลู่ ท่านคงไม่ได้สงสัยว่าคนจวนหลีอ๋องเราเป็นคนจับฮูหยินไปใช่หรือไม่?”
“เช่นนั้น ข้าขอถามคุณชายจ้าว” ลู่อี้มองจ้าวจื่อโม่ “คุณชายจ้าว ข้าไปตรวจสอบหอหยกงาม ร้าน ร้านขายหยก และกิจการกว่าห้าสิบแห่งในเมืองหลี เมืองเตียนอวี้ และเมืองซูโจว ทั้งหมดล้วนเป็นของท่าน กิจการสกุลจ้าวของพวกท่านช่างใหญ่โตยิ่งนัก”
“สกุลจ้าวเดิมทีก็เป็นตระกูลผู้มั่งมี มีทรัพย์สินเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไร นอกจากไม่กี่เมืองที่ท่านเอ่ยถึงแล้ว กิจการของสกุลจ้าวมีอยู่ทั่วทั้งใต้หล้า” จ้าวจื่อโม่เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ใต้เท้าลู่เรียกข้ามาที่นี่ คงไม่ใช่เพื่อสอบถามประสบการณ์การทำการค้าของสกุลจ้าวกระมัง? เพราะหากเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องขออภัยที่ไม่อาจสนทนาด้วยได้ แม้ข้าจะเป็นคนสกุลจ้าว หากแต่คนที่บ้านล้วนอยากให้สอบขุนนางเพื่อชื่อเสียงและเกียรติยศ ดังนั้นข้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการค้าแม้แต่น้อย”
“ข้านึกว่าคุณชายจ้าวจะเป็นผู้ที่รู้จักการค้าดีที่สุดเสียอีก” ลู่อี้เอ่ย “มิเช่นนั้นคงไม่อาจคิดแผนหลอกลวงคนจนเกิดเป็นคดีต่อเนื่องขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าท่านถนัดจับเสือมือเปล่าหรอกหรือ?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” หลีหวางเฟยเอ่ย “โม่เอ๋อร์ของพวกเราไม่ขาดแคลนเงินทอง ไม่มีทางที่จะไปหลอกเอาเงินผู้อื่นเช่นนั้น”
“เขาไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่ท่านลองถามเขาดูเถิดว่า หลายปีมานี้เขาใช้เงินของตนทำสิ่งใด?” ลู่อี้เอ่ย “อันที่จริงตอนที่มองหาทางออกไม่เจอนั้น มันยากที่จะหาว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน กระทั่งท่านค่อย ๆ เผยช่องโหว่ออกมาทีละจุด เรื่องเหล่านี้จึงแดงออกมาเป็นทอด ๆ จนได้”
จ้าวจื่อโม่โบกพัดในมือตน “ใต้เท้าลู่ หรือว่าท่านยังไม่รู้ว่าฮูหยินลู่อยู่ที่ใด จึงกังวลจนเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว?”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าฮูหยินของข้าหายตัวไป ไม่ใช่ถูกคนฆ่าไปแล้ว? อย่างไรเสีย ร่างที่บอกว่าเป็นของนางก็อยู่กับเจ้าหน้าที่อู่จั้วแล้ว”
“นี่อธิบายได้ไม่ยาก เพราะสีหน้าของใต้เท้าลู่ดูเหมือนไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าฮูหยินของท่านตายแล้วอย่างไรเล่า” จ้าวจื่อโม่กล่าว