สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 471 ข้าไม่มีลูกสาว
บทที่ 471 ข้าไม่มีลูกสาว
บทที่ 471 ข้าไม่มีลูกสาว
รถม้าหยุดลงตรงหน้าประตูจวนหลีอ๋อง
จ้าวซือโยวหันกลับไปมองปี้ลวี่
อีกฝ่ายจึงลงมือเคาะประตู
ประตูเปิดออก เมื่อยามเฝ้าประตูเห็นจ้าวซือโยว แววตาเขาเต็มไปด้วยความดูถูก “หวางเฟยไม่พบแขก”
“เจ้าบ่าวโอหัง ไม่เห็นหรือว่านี่คือผู้ใด?” ปี้ลวี่เอ่ยขึ้น
“เป็นเพราะเห็นชัดอย่างไรเล่า เหตุนี้บ่าวจึงนำคำนายหญิงมาถ่ายทอด นายหญิงบอกไว้แล้ว ท่านอ๋องล้มป่วยตาย นางต้องคัดลอกคัมภีร์สวดมนต์ภาวนาให้ท่านอ๋อง ไม่ว่าผู้ใดมาก็ไม่พบ”
“เจ้าไปเรียกแม่นมเฉินออกมา ข้าอยากพบแม่นมเฉิน” จ้าวซือโยวเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม “หวางเฟยไม่พบแขก แต่แม่นมเฉินคงไม่ได้ไม่พบแขกเช่นเดียวกันกระมัง!”
ยามเฝ้าประตูลังเลเล็กน้อย
“ยังไม่รีบไปอีก!” ปี้ลวี่เอ่ย “คุณหนูของเรามีเรื่องสำคัญ หากทำให้เรื่องของคุณหนูล่าช้า ชีวิตเจ้ากี่ชีวิตคงไม่พอชดใช้”
ไม่นานหลังจากนั้น แม่นมเฉินก็สาวเท้าก้าวออกมา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
จ้าวซือโยวเห็นท่าทีของแม่นมเฉินที่มีต่อนางเหมือนเช่นเคยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม่นมเฉินเป็นคนข้างกายหลีหวางเฟยที่พึ่งพาได้มากที่สุด ท่าทีของนางก็เหมือนกับท่าทีของหวางเฟย บัดนี้ดูเหมือนหวางเฟยน่าจะยังคงคิดถึงนาง ไม่เช่นนั้นแม่นมเฉินคงไม่กระตือรือร้นเช่นนี้
“แม่นม…”
“โธ่ คุณหนูจ้าว เหตุใดท่านมาที่นี่ได้เล่า?” แม่นมเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จ้าวซือโยวชะงักงัน
แต่ก่อนแม่นมเฉินล้วนเรียกนางว่า ‘เสี่ยวจวิ้นจู่’ บัดนี้กลับเรียกนางว่า ‘คุณหนูจ้าว’
อย่างไรก็ตาม ทุกคนในเมืองหลีรู้ว่านางกลับไปยังสกุลจ้าว ดังนั้นอีกฝ่ายจะเรียกอย่างนี้ก็ไม่ผิด
จ้าวซือโยวเสียใจแทบสิ้น! หากรู้ว่าจวนหลีอ๋องจะไม่เกิดเรื่อง นางคงไม่กลับไปที่สกุลจ้าว
“แม่นม ท่านแม่ของข้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” จ้าวซือโยวจงใจเรียกเช่นนั้น เพื่อเผย ‘ท่าที’ ของตน
ดูสิ นางคิดถึงหวางเฟยนะ
ถึงแม้หวางเฟยจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิด ทว่าความเมตตาที่ชุบเลี้ยงนางมาหลายปี นางยังจดจำได้เสมอ
“คุณหนูจ้าว ท่านแม่ของท่านอย่างฮูหยินเจ้าอยู่ที่จวนไม่ใช่หรือ? เหตุใดท่านมาถามที่จวนอ๋องเล่า?” สายตาของแม่นมเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย “ท่านมาหาผิดที่แล้วหรือไม่?”
“แม่นม ข้าหมายถึงหลีหวางเฟย” จ้าวซือโยวตรงเข้าประเด็นทันที “ข้ารู้ว่าหวางเฟยนึกตำหนิข้า เรื่องกลายมาเป็นเช่นนี้แล้ว หากไม่มีข้อสรุปออกมา ผู้อื่นจะมองเราสองสกุลอย่างไร? ข้าก็ไม่ได้อยากจากนางไป เพียงแต่ไม่อยากให้ผู้อื่นพูดนินทาว่าร้ายจวนหลีอ๋อง ตอนนี้เกิดเรื่องกับท่านอ๋องแล้ว หวางเฟยอยู่ในจวนเพียงลำพัง ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนนาง คลอยปลอบใจนาง”
“คุณหนูจ้าว หวางเฟยให้ข้ามาถ่ายทอดถ้อยคำหนึ่ง นี่เป็นท่าทีของหวางเฟย หวางเฟยกล่าวว่า ‘ข้าไม่มีบุตรสาว ภายหน้าคุณหนูจ้าวโปรดอย่ามาจวนอ๋องอีก จวนอ๋องไม่ต้อนรับคนนอก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่นมเฉินเลือนหายไป
ครานี้นางค่อนข้างสง่า เผยราศีของผู้ที่อยู่ข้างกายหวางเฟยออกมา
“หวางเฟยไม่อยากพบข้าหรือ?” ใบหน้าของฟ่านซือโยวซีดเผือด สีหน้าตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“ใช่ นางไม่อยากพบท่านแล้ว” แม่นมเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา “ดังนั้น ภายหน้าคุณหนูจ้าวอย่าได้มารบกวนหวางเฟยอีก ท่านทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้หวางเฟยอารมณ์ขุ่นมัว”
สิ้นคำนั้น แม่นมเฉินก็หมุนตัวกลับเข้าไปในจวนอ๋อง แล้วเอ่ยกับยามเฝ้าประตู “ประตูจะปิดนับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่เปิดอีกจนกว่าจะมีคำสั่งจากหวางเฟย หวางเฟยต้องการพักผ่อน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่พบทั้งสิ้น”
จ้าวซือโยวมองประตูใหญ่ของจวนอ๋องปิดลง
ปี้ลวี่พยุงนาง “คุณหนู พวกเราไปเถอะเจ้าค่ะ!”
“ปี้ลวี่ ข้าเพียงแค่ไม่อยากตาย ข้าผิดหรือ?”
“บ่าวไม่ทราบ…” ปี้ลวี่ก้มหน้าลง
ลู่อี้และคณะกลับมายังเมืองฮู่เป่ย เขาไม่มีเวลาอยู่ในเมืองฮู่เป่ยนานนัก ได้พักอยู่ที่บ้านเพียงหนึ่งคืน วันถัดไปก็ต้องเร่งกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมฟ่านหยวนซี
มู่ซืออวี่อุ้มลู่จื่อชิง ข้างหลังมีลู่จื่ออวิ๋นและลู่ฉาวอวี่ตามมา
พวกเขาเฝ้ามองร่างของลู่อี้ไกลออกไปจนกลายเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ท้ายที่สุดก็หายไปโดยสิ้นเชิง
“อีกครึ่งปี พวกเราจะเข้าเมืองหลวงไปหาท่านพ่อของพวกเจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ยกับลูกทั้งสาม “แยกจากในตอนนี้เพื่อการหวนคืนที่ดีกว่าในวันข้างหน้า ทุกคนไม่ต้องเศร้าใจไป”
“ข้ายุ่งอยู่กับการเล่าเรียนทุกวัน มีเวลาโศกเศร้าที่ใดกัน? หากจะกล่าวไปแล้ว บุรุษล้วนทะเยอทะยาน ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องไปจากท่าน ออกไปจากบ้าน ไปใช้ชีวิตข้างนอก” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยเสียงเรียบ
หากมู่ซืออวี่ไม่เห็นว่าตาของเขาแดงคงเกือบจะเชื่อสิ่งที่เขากล่าวแล้ว
นางไม่เปิดโปงความเปราะบางที่หาได้ยากยิ่งของบุตรชาย เพียงพูดคล้อยตามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พูดได้ไม่ผิด! ฉาวอวี่ของพวกเราภายหน้าจะเป็นขุนนางชั้นสูง ภายหน้าแม่จะอยู่ที่บ้านรอเจ้ากลับมา”
ลู่ฉาวอวี่เอ่ยอย่างเขินอาย “ข้าพาท่านไปด้วยได้”
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมาเบา ๆ
“ท่านไม่ไปก็ช่าง เหตุใดต้องหัวเราะ?” ลู่ฉาวอวี่เดินหน้าแดงจากไป “ข้าจะไปเรียนแล้ว”
จื่อซูที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยว่า “คุณหนูอวิ๋นเอ๋อร์ บ่าวจะพาท่านกลับไปส่งที่ร้านสาวทอผ้านะเจ้าคะ!”
ลู่อี้เพิ่งกลับไป มู่ซืออวี่ยังไม่ชินเท่าใดนัก ทว่าหลังจากผ่านสองสามวันที่ยากลำบากไปแล้ว นางก็ค่อย ๆ คุ้นชิน และเริ่มยุ่งกับเรื่องกลุ่มการค้าอีกครั้ง
“เถ้าแก่เฉียนมาเยี่ยม” เจิ้งซูอวี้เข้ามาพร้อมกับเถ้าแก่เฉียน
มู่ซืออวี่ได้ยินแล้วก็วางพู่กันในมือลง ลุกขึ้นทักทายเขา “เถ้าแก่เฉียน ท่านมาได้อย่างไร?”
“ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณหัวหน้ากลุ่มโดยเฉพาะ” เถ้าแก่เฉียนเอ่ย แล้วหันไปพูดกับคนข้างหลัง “พวกเจ้าเข้ามาให้หมด”
คนงานหลายคนเข้ามาพร้อมกับกล่องจำนวนมาก
“วางเบา ๆ ล่ะ” เถ้าแก่เฉียนสั่งการ
คนงานวางกล่องลงบนโต๊ะ จากนั้นจัดเรียงทีละกล่อง
“เรื่องครั้งนี้ต้องขอบคุณหัวหน้ากลุ่ม ไม่เช่นนั้นชีวิตน้อย ๆ ของข้าคงสิ้นแล้ว ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น พวกเราทั้งตระกูลเฉียนคงจบสิ้นไปด้วย นี่เป็นเพียงของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ หวังว่าท่านคงไม่รังเกียจ”
“เถ้าแก่เฉียน ท่านเป็นสมาชิกกลุ่มการค้าเรา การช่วยแก้ปัญหาให้ท่านเป็นหน้าที่ของข้า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” มู่ซืออวี่เอ่ย “สิ่งของท่านนำกลับไปเถอะ ข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว”
“หัวหน้ากลุ่ม ท่านทำเช่นนี้รังเกียจเงินของผู้เฒ่าอย่างข้าหรือ” เถ้าแก่เฉียนเอ่ย “ผู้อื่นไม่ทราบ แต่ข้าทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาเพียงใด หากไม่ใช่เพราะท่าน เพื่อหลบซ่อนคนเหล่านั้น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ได้เห็นแสงตะวันแล้ว ตอนนี้เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขเรียบร้อย ข้าออกมาทำกิจการได้อีกครั้ง ท่านเป็นดั่งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดข้า ของขวัญเหล่านี้ท่านโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ท้ายที่สุดมู่ซืออวี่ก็ไม่อาจต้านทานการคะยั้นคะยอของเขาได้ จึงต้องรับไว้
หลังจากเถ้าแก่เฉียนไปแล้ว เจิ้งซูอวี้เปิดกล่องเหล่านั้นออก มองดูของขวัญล้ำค่าข้างใน นางพลันเดาะลิ้นขึ้นมา
“ของเหล่านี้รวม ๆ แล้วมูลค่าหลายพันตำลึงเงิน แต่เจ้าช่วยชีวิตเขาไว้ เขาควรเตรียมของขวัญไว้ขอบคุณเจ้าก็ถูกแล้ว”
“ข้าเพิ่งกลับมาก็ได้บัตรเชิญเข้าร่วมงานแต่งจากคุณชายฉิน รีบร้อนเพียงนี้จะดีหรือ?”
“นั่นน่ะสิ” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “เจ้ากลับมาได้ทันพอดี”
“ความร่วมมือระหว่างตระกูลฉินกับเรายิ่งใกล้กันเรื่อย ๆ แล้ว ในเมื่อคุณชายฉินจะแต่งงาน พวกเราย่อมต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้” มู่ซืออวี่เอ่ย “ครั้งนี้ข้าได้รับหยกชั้นดีมา ถึงตอนนั้นจะนำไปให้เขา เขาอยากทำอย่างไรกับมันก็แล้วแต่ปรารถนา”
“ได้”
“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเมืองฮู่เป่ยใช่หรือไม่?”
“นอกจากกลุ่มคนที่หลั่งไหลเข้ามาทุกวันแล้ว เมืองฮู่เป่ยจะเกิดอะไรขึ้นได้?” เจิ้งซูอวี้เอ่ย “ทว่า ข้าได้ยินจากต้าหนิวว่ามีคนมาสอดส่องอยู่รอบ ๆ”
“นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกหรือ?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนระยะนี้ต้องจัดเตรียมกำลังคนไปคอยดูแลลานหรรษาให้มากหน่อยแล้ว ไม่เช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้”