สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 473 ความผิดพลาดในงานแต่ง
บทที่ 473 ความผิดพลาดในงานแต่ง
บทที่ 473 ความผิดพลาดในงานแต่ง
“หัวหน้ากลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ย หัวหน้ามู่ และรองหัวหน้าเจิ้งมาแล้ว!”
พ่อบ้านที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นมู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ จึงขานชื่อเสียงก้อง
แขกเหรื่อที่กำลังแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำการค้ากันได้ยินเสียงก็พากันหันไปมองคนแล้วคนเล่า
หัวหน้ากลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยทั้งสองเป็นสตรีทั้งคู่ นี่เป็นหัวข้อพิเศษในวงการ บางคนเอ่ยคำปรามาสเอาไว้ บางคนคิดจะเอาชนะ บางคนคิดจะกอดต้นขา ทุกคนคิดแตกต่างกันออกไป ทว่าพวกเขามีท่าทีเดียวกันต่อสตรีหัวหน้ากลุ่มผู้ลึกลับ คือถือโอกาสนี้หยั่งเชิงอีกฝ่าย ดูว่าสามารถเอารัดเอาเปรียบได้หรือไม่
เอารัดเอาเปรียบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบุรุษเอารัดเอาเปรียบสตรีในแง่นั้น แต่เป็นทางด้านทรัพยากรในการทำการค้าที่ผู้ทำการค้าหวงแหนที่สุด
“ได้ยินมานานแล้วว่าสกุลฉินมีความสัมพันธ์อันดีกับสตรีหัวหน้ากลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ย บัดนี้ดูเหมือนจะเป็นความจริง”
“สกุลฉินมีการร่วมมือทางการค้ากับ ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ไม่ใช่ความลับอะไร”
“คุณชายฉินหน้าตาไม่เลว เหตุใดไม่คิด… อะแฮ่ม ท่านนั้น… อย่างไรก็เป็นถึงรองหัวหน้ากลุ่มการค้า หากหัวหน้ากลุ่มการค้าผู้นั้นตามสามีเข้าเมืองหลวงไปแล้ว นางจะมีอำนาจชี้ขาดในกลุ่มการค้าทันที หากแต่งงานกับนาง นี่ไม่คุ้มค่ากว่าหรือ?”
“จิตใจของสกุลฉินสูงส่งเทียมฟ้า เหยียดหยามสตรีทำการค้า ย่อมอยากแต่งบุตรสาวตระกูลขุนนางเป็นภรรยาเอก”
“หัวหน้ามู่ รองหัวหน้าเจิ้ง ข้าเลื่อมใสพวกท่านมานานแล้ว”
ทุกคนรุมล้อมเข้ามาทักทาย
มู่ซืออวี่หาโอกาสปลีกตัวออกมา ทิ้งจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้นไว้ให้เจิ้งซูอวี้จัดการ
เจิ้งซูอวี้เขม่นตามองนางด้วยความโมโห ทว่าไม่ได้เปิดโปงอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสหาย พลางรับมือกับจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้นด้วยท่าทีสบาย ๆ
ท้ายที่สุดก็ถึงเวลาเป็นพยานงานแต่ง มู่ซืออวี่ออกมาจาก ‘ห้องสุขา’ ที่ไม่รู้อยู่ที่ใด และกลับไปหาเจิ้งซูอวี้
เจ้าบ่าวฉินเหวินหานแต่งกายด้วยชุดแต่งงานสีแดง เดิมทีหน้าตาเขาก็คมคายอยู่แล้ว วันนี้กลับหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม เขาถือผ้าแดงไว้ด้วยรอยยิ้ม เดินนำเจ้าสาวเข้ามาในโถงแต่งงานทีละก้าว
“ช่างน่าสงสาร!” เจิ้งซูอวี้เอ่ยขึ้น
“คุณชายฉินเงินก็มี หน้าตาก็ดี กิจการของสกุลฉินในเมืองหลวงก็ไปได้ดี เหตุใดจึงน่าสงสาร?” มู่ซืออวี่มองไปข้างหน้าแล้วเอ่ยว่า “เขาตอบรับงานแต่งครั้งนี้ด้วยตนเอง นั่นหมายความว่ายอมเสียสละบางสิ่งเพื่ออีกสิ่ง ในเมื่อเป็นทางที่ตนเลือกเอง เช่นนั้นก็ควรทำตามกฎ”
“เจ้าเห็นแจ้งถึงเพียงนี้” เจิ้งซูอวี้หันมามองนาง “อยากรู้จริง ๆ ว่าจะมีใครหรือสิ่งใดในใต้หล้านี้ทำให้เจ้าสูญเสียตัวตนได้หรือไม่”
“มีสิ! ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ข้าก็เป็นมนุษย์ แน่นอนว่าไม่ใช่ข้อยกเว้น คนที่ยืนอยู่วงนอกย่อมมองสถานการณ์ได้ชัดแจ้งกว่า อย่างโบราณว่าไว้ คนข้างในสับสน คนข้างนอกมองได้ชัดเจน”
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน….”
คู่แต่งงานใหม่เตรียมจะคำนับฟ้าดิน ทว่า…
จู่ ๆ เจ้าสาวก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” มีคนเอ่ยถามขึ้น
ฉินเหวินหานดึงเจ้าสาวไป เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “รู้สึกไม่สบายที่ใดหรือ? ให้เชิญท่านหมอมาหน่อยหรือไม่?”
เจ้าสาวระเบิดหัวเราะฮ่า ๆๆๆ ออกมา นางมองฉินเหวินหานด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนมองเจ้าสาวอย่างประหลาดใจ
เจ้าสาวคนนั้นหน้าตาค่อนข้างดี แต่ดู ๆ ไปแล้ว…
ให้ความรู้สึกแปลก ๆ
ปากของนางบิดเบี้ยว ขณะหัวเราะยังมีน้ำลายไหลออกมา นางดึงทึ้งชุดเจ้าสาวของตนราวกับต้องการถอดมันออก
“ฮิฮิ… ท่านพี่… สามี… สามีหน้าตาดี…” เจ้าสาวคนนั้นฉีกกระชากชุดของตนออก จากนั้นก็เริ่มไปดึงเสื้อของฉินเหวินหาน
ฉินเหวินหานเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้ข้างหลังเขาพยายามควบคุมสตรีที่ดูเหมือนจะเสียสติผู้นั้นไว้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เถ้าแก่ฉินลุกขึ้นทันที เขาตะโกนออกไปข้างนอก “เด็ก ๆ คนที่มาส่งตัวเจ้าสาวเล่า เรียกกลับมาเดี๋ยวนี้ นี่ไม่ใช่คุณหนูสกุลจิ้น”
ฉินเหวินหานขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น? ข้าหลวงจิ้นทำผิดพลาดหรือ?”
พวกเขาจะแต่งกับบุตรสาวของใต้เท้าจิ้นข้าหลวงเมืองซูโจว
ถึงแม้สกุลฉินจะร่ำรวย แต่พวกเขายังคงเป็นตระกูลพ่อค้า สามารถสู่ขอแต่งงานกับคุณหนูบุตรสาวของข้าหลวงได้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนอิจฉาไม่น้อย ทว่าวันนี้กลับกลายเป็นเรื่องขบขันเรื่องหนึ่งเสียแล้ว
“นายน้อยฉิน นางสวมใส่ชุดเจ้าสาว นี่จะผิดพลาดได้อย่างไร? หรือว่าท่านนี้คือคุณหนูของข้าหลวงจิ้นเช่นกัน? เดิมทีพวกเขาก็กล่าวว่าเป็นคนนี้ พวกท่านเข้าใจผิดหรือไม่?”
ชายอ้วนที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเหอะ ๆ แล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าที่บ้านข้าหลวงจิ้นมีแม่นางบ้าคนหนึ่ง แต่นางเป็นบุตรสาวคนโต บางทีผู้อื่นอาจจะอยากแต่งบุตรสาวคนโตผู้นี้ให้สกุลฉิน?”
“จะเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?” ฮูหยินฉินเอ่ยด้วยความโกรธ “พวกเราตกลงกันตั้งแต่แรกแล้ว ใบบันทึกวันเดือนปีเกิดตรวจชะตาก็เป็นของคุณหนูรองจิ้น เหตุใดจึงกลายเป็นคุณหนูใหญ่จิ้นได้?”
บ่าวรับใช้นำตัวคนส่งตัวเจ้าสาวกลับมา
เมื่อคนส่งตัวเจ้าสาวเห็นคุณหนูใหญ่ พวกเขาก็ล้วนไม่รู้เรื่องรู้ราว
“นายท่าน เรื่องนี้จะปล่อยให้แล้วไปไม่ได้ หานเอ๋อร์ของพวกเราจะแต่งงานกับคนบ้าผู้หนึ่งได้อย่างไร?” ฮูหยินฉินเอ่ยขึ้น
“เพียงแต่..” เถ้าแก่ฉินละล้าละลังเล็กน้อย “หากพวกเราส่งนางกลับไป นั่นจะถือว่าพวกเราล่วงเกินใต้เท้าจิ้น”
“สกุลฉินเราก็มีเส้นสายอยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน หากเขาคิดจะแตะต้องสกุลฉิน นั่นต้องดูว่าพวกเรารังแกได้ง่ายถึงเพียงนั้นหรือไม่ หรือว่าเจ้าจะยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำ ปล่อยให้หานเอ๋อร์เผชิญกับหญิงบ้านางนี้ทุกวันหรือ? บุตรชายของข้าขวางหูขวางตาเจ้านักหรือ เจ้าถึงต้องการทำร้ายเขาเช่นนี้?”
สองสามีภรรยากระซิบกระซาบกัน ผู้อื่นไม่ได้ยินว่าพวกเขากล่าวอะไร รู้แค่เพียงพวกเขากำลังโต้เถียงกันเท่านั้น
แขกเหรื่อที่มาในวันนี้ล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการ แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดคู่แข่งทางการค้าของสกุลฉิน ตอนนี้พวกเขาได้ชมละครชั้นเยี่ยมโดยไม่ต้องเสียเงิน จึงพากันลอบถอนหายใจว่าคุ้มค่าของขวัญวันนี้แล้ว
ฉินเหวินหานเห็นมู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้อยู่ท่ามกลางฝูงชน
ทั้งสองคนโดดเด่นจากผู้อื่น แม้พวกนางจะตัวเล็ก ทว่ามองเพียงแวบเดียวก็เห็นได้ในทันที
เมื่อมองผู้เข้าร่วมงานแล้ว มีไม่ถึงสิบคนที่ไม่เห็นเรื่อง ‘ไม่คาดฝันนี้’ นี้เป็นเรื่องตลก พวกนางเป็นหนึ่งในนั้น
“สกุลจิ้นไม่ใช่คนแล้ว” เจิ้งซูอวี้กล่าว “การแต่งงานเป็นเรื่องระหว่างสองตระกูล พวกเขาทำเช่นนี้จะสร้างศัตรูหรือ! เรื่องนี้มีผลดีอันใดกับพวกเขา?”
“ข้ากลับรู้สึกว่าข้าหลวงจิ้นไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าลองคิดดู แต่งแม่นางโง่งมเช่นนี้ออกไปรังแต่จะทำให้สกุลฉินเกลียดเขา ไม่มีประโยชน์ต่อเขาแม้แต่น้อย ถึงแม้ตัวเขาจะดูถูกสกุลฉิน ก็ไม่จำเป็นต้องจงใจล่วงเกินพวกเขากระมัง? จิ้งจอกเฒ่าในแวดวงขุนนางอย่างพวกเขาไม่ได้โง่เพียงนั้น เขาก็ใช่ว่าจะเลี้ยงบุตรสาวตนไม่ได้ เลี้ยงแม่นางโง่งมผู้หนึ่งไม่ได้ใช้เงินมากมายอะไร นอกเสียจากจะมีเรื่องราวภายใน บางทีแม้กระทั่งตัวเขาเองก็อาจถูกปิดบัง”
สกุลฉินส่งคนไปเชิญใต้เท้าจิ้นและฮูหยินจิ้น ไม่นานคนฝ่ายนั้นก็มาถึง
แขกที่มางานไม่นึกอยากอยู่นานกว่านี้ จึงจากไปคนแล้วคนเล่า แม้บางคนจะอยากอยู่ดูความครึกครื้นก็ถูกเชิญกลับไป
มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้มาจากเมืองฮู่เป่ย เดิมทีก็ใช้เวลาเดินทางหลายวัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ฉินเหวินหานจะไม่ดูแลพวกนาง ดังนั้นเขาจึงเชิญให้พวกนางพักอยู่ที่บ้านสกุลฉิน ทว่ามู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ปฏิเสธ อย่างไรเสียก็ดูเหมือนสกุลฉินกำลังมีเรื่องปวดหัว ในฐานะสหายไม่จำเป็นต้องให้พวกเขายุ่งยากไปกว่าเดิม
“พวกเราจะอยู่ในเมืองซูโจวเป็นเวลาสองวัน หากท่านจัดการเรื่องทางนี้เสร็จสิ้นแล้วและมีการเตรียมการใหม่ ถึงตอนนั้นเพียงแจ้งให้เราทราบก็พอ”
“ได้ แต่ว่าเรื่องอาหารและที่พักอาศัยให้เป็นหน้าที่ข้า ห้ามปฏิเสธแล้ว”
เมื่อเห็นมู่ซืออวี่พยักหน้า ฉินเหวินหานจึงให้คนสนิทที่เขาไว้ใจที่สุดพาพวกนางไปพักที่โรงเตี๊ยมชั้นเยี่ยม