สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 476 เกิดเรื่องกับเจี่ยงจง!
บทที่ 476 เกิดเรื่องกับเจี่ยงจง!
บทที่ 476 เกิดเรื่องกับเจี่ยงจง!
มู่ซืออวี่นั่งลงตรงข้ามเขา
บ่าวรับใช้นำชามาให้
นางเล่าปัญหาที่สาขาย่อยและเรื่องที่เจี่ยงจงลูกศิษย์ของนางหายตัวไปให้เขาฟัง
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ความร่วมมือระหว่างสกุลฉินเราและสาขาย่อยของท่านล้วนเป็นลูกน้องที่จัดการ ข้าไม่ได้ดูแลด้วยตนเองจึงไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ข้าจะเรียกลูกน้องมาถาม บางทีเขาอาจจะบอกเรื่องราวบางอย่างได้ ส่วนเจี่ยงจงอยู่ที่ใดนั้น ข้าพอมีเส้นสายอยู่ในเมืองซูโจว ข้าจะส่งคนของข้าไปหาดู ท่านรอฟังข่าวจากข้าเถิด”
“ได้ เช่นนั้นข้าต้องไปแล้ว” มู่ซืออวี่ลุกขึ้น
“ท่านยังไม่ได้ดื่มชาเลย”
“ท่านต้องเตรียมตัวออกไปข้างนอก หากข้ายังอยู่ดื่มชาที่นี่ ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักดูสถานการณ์หรือ? ข้าไม่ดื่มชาแล้ว ท่านมีเวลาว่างค่อยช่วยข้าตรวจสอบดู หากแก้ปัญหาได้ข้าจะขอบคุณท่านเป็นอย่างสูง” มู่ซืออวี่กล่าวจบ ก็นึกถึงปัญหางานแต่งนั่นขึ้นมา “ท่านยังจะแต่งงานอีกหรือ?”
ฉินเหวินหานยิ้มบาง ๆ “เกรงว่าคงให้ท่านเดินทางมาเสียเวลาเปล่า การแต่งงานนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว”
“ก็ไม่นับว่าเสียเปล่า หากไม่ใช่เพราะเดินทางมาเที่ยวนี้ ข้าเกรงว่าปัญหาเรื่องสาขาย่อยคงไม่ถูกพบ เอาเถอะ ท่านไม่ได้แต่งงานกับคุณหนูจิ้นนับว่าโชคดีแล้ว เมื่อวานนี้ข้าเห็น…”
“ข้ารู้สึกว่าท่านไม่ชอบนาง” ฉินเหวินหานเอ่ยขึ้น
“ข้าพบเจอคนที่แปลกประหลาดมามาก แต่บุตรสาวตระกูลขุนนางแปลกประหลาดเช่นนี้กลับหาได้ยากยิ่ง”
มู่ซืออวี่กลับไปที่ร้านสาขาย่อย
นางเล่าเรื่องที่พบเจอจากบ้านของเจี่ยงจง อีกทั้งยังเล่าเรื่องที่ไปพบฉินเหวินหานให้เจิ้งซูอวี้ฟัง
“นายน้อยฉินไม่เป็นไรกระมัง?”
“เขากล่าวว่าแต่งงานไม่ได้แล้ว”
“ไม่แต่งสตรีเช่นนั้น ก็นับว่าหลบเลี่ยงมหันตภัยร้ายได้แล้วกระมัง?”
“จื่อซู เจ้าไปเรียกจี้เฉี่ยวเหยียนมา” มู่ซืออวี่เอ่ย “จื่อเยวี่ยน เจ้าไปสังเกตดูข้างนอกว่าพวกเขาเหล่านั้นมีปัญหาใดหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เจิ้งซูอวี้เอ่ยถาม
“กวนน้ำให้ขุ่น”
ในเมื่อหาเจี่ยงจงไม่พบ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงกวนน้ำให้ขุ่นแล้ว
เมื่อจี้เฉี่ยวเหยียนเข้ามา มู่ซืออวี่ก็โยนสมุดบัญชีลงตรงหน้าเขาอย่างไม่อ้อมค้อม
ฝ่ายหลังนั่งคุกเข่าลงทันที ทว่ามู่ซืออวี่กลับมองเห็นอารมณ์ที่อยู่ภายใต้การแสร้งตระหนก เขา ‘นิ่งสงบ’
“เกิดอะไรขึ้นกับสมุดบัญชีนี่?”
“เจ้านาย สมุดบัญชีมีอะไรหรือขอรับ?”
“สมุดบัญชีมีอะไร? เจ้าเป็นคนดูแลสาขาย่อย ตอนนี้เจ้ากลับถามว่าสมุดบัญชีมีอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้มหยัน “หรืออยากพบเจ้าหน้าที่ทางการ?”
“เจ้านาย ผู้น้อยเป็นเพียงคนขยันหมั่นเพียรผู้หนึ่ง ถึงแม้จะโง่เขลา แต่กับเจ้านายและร้านก็มีเพียงความซื่อสัตย์ คนที่รับผิดชอบทำบัญชีคือนักบัญชีฉี ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง ๆ หากสมุดบัญชีเล่มนี้มีปัญหา เช่นนั้นข้าจะเรียกส่วนทำบัญชีมาให้”
“ตอนนี้มีนักบัญชีฉีโผล่มาอีกคนแล้ว” เจิ้งซูอวี้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “นักบัญชีหยางคนก่อนเล่า?”
“มารดาเฒ่าของนักบัญชีหยางป่วยตายจึงต้องกลับไปไว้อาลัย เขาลาออกแล้ว”
“เช่นนั้นคนงานคนอื่น ๆ ของร้านเล่า? เหตุใดพวกเขาถึงได้หายไปและมีคนงานชุดใหม่เข้ามาแทนที่?”
“พวกเขาล้วนมีเหตุผลของตนเอง บางคนที่บ้านหาเงินได้จึงไม่อยากเป็นคนงานอีกต่อไป บางคนแต่งงานแล้ว ต้องการไปเป็นเขยแต่งเข้า ยังมี…”
“พอแล้ว ข้าไม่อยากยุ่งกับเรื่องของคนงาน ในเมื่อเจ้าบอกว่าบัญชีเป็นความรับผิดชอบของนักบัญชี เช่นนั้นก็ไปเรียกเขามา!”
จี้เฉี่ยวเหยียนเดินออกไปสั่งการให้คนอื่นไปตามฝ่ายบัญชี ไม่นานนักคนที่เขาไหว้วานก็กลับมา
“เจ้านาย ผู้ดูแล นักบัญชีฉีหมดสติล้มพับไปแล้ว ลุกไม่ขึ้นขอรับ!”
มู่ซืออวี่และเจิ้งซูอวี้ต่างก็มองหน้ากัน
บังเอิญจริงเชียว!
จี้เฉี่ยวเหยียนเอ่ยด้วยความโกรธ “หรือว่าเป็นความผิดของเขาจริง ๆ ? ถึงได้เป็นลมล้มพับไปแล้ว คงไม่ใช่แสร้งทำกระมัง? เจ้านายวางใจ ข้าจะจับเขามาสอบความประเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง ข้าส่งท่านหมอลี่ไปตรวจอาการเขาแล้ว แน่นอนว่ามีมือปราบจากศาลาว่าการตามไปด้วย หากเขาป่วยจริง ๆ ในฐานะเจ้านาย ข้าไม่อาจะละเลยได้ ต้องให้เขาได้ตรวจอาการเจ็บป่วย แต่หากเป็นความเท็จ เช่นนั้นก็มีเพียงทางเดียวคือให้เขาไปอยู่ในคุก ค่อย ๆ รื้อฟื้นความทรงจำ ดูซิว่าเขาจะจำสิ่งใดได้หรือไม่”
“เจ้านายชาญฉลาดยิ่ง”
“จี้เฉี่ยวเหยียน ในเมื่ออาจารย์ของเจ้าเชื่อในตัวเจ้ามากถึงเพียงนี้ เจ้าไม่อาจทำให้เขาผิดหวัง!”
“แน่นอน ผู้น้อยซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย ซื่อสัตย์ภักดีต่ออาจารย์”
จี้เฉี่ยวเหยียนออกไปจากห้องตำรา จากนั้นก็กลับเข้าไปในร้าน เหล่าคนงานจึงกรูเข้ามาหาเขา
“พี่จี้ เจ้านายมาตรวจสมุดบัญชีแล้ว ตอนนี้จะทำอย่างไร?”
“ตระหนกไปไย?” จี้เฉี่ยวเหยียนเปลี่ยนท่าทีว่านอนสอนง่ายเมื่อครู่นี้ ยามนี้สายตาเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว นางจะพบสิ่งใดได้? หากพบ นางคงไม่สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญคนเช่นนี้”
“พี่จี้ ท่านอย่าได้ดูแคลนสตรีผู้นี้ นางเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ย อีกทั้งยังเป็นฮูหยินขุนนาง นางมีทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เพียงเพราะสามี”
“แน่นอนว่าข้ารู้ นี่ยังต้องให้เจ้าเตือนข้าอีกหรือ? อีกอย่างระยะนี้อย่าเพิ่งทำอะไรมาก พวกเจ้าทั้งหมดควรซื่อสัตย์กับข้า หากพวกเขาตรวจเจอสิ่งใด ลองดูว่าข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร”
“ทางนักบัญชีฉีจะทำอย่างไร?”
“ไม่ต้องกังวล เขาเป็นลมล้มพับไปแล้วจริง ๆ” จี้เฉี่ยวเหยียนเอ่ยอย่างหยิ่งผยอง “นอกเสียจากพวกเขาจะรักษาอาการหมดสติของเขาได้ ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่มีทางพบ”
มู่ซืออวี่ได้รับคำเชิญจากฉินเหวินหาน ความหมายคือเชิญนางและเจิ้งซูอวี้ไปทานข้าว
ทั้งสองคนได้รับคำเชิญให้ไปพบ
“หอจรดจันทร์นี้ไม่เลว” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่างไรก็ตาม ครั้งก่อนที่ข้ามาที่นี่ มันยังเป็นที่ที่ถูกทิ้งร้าง ได้ยินว่าไม่เคยได้รับการซ่อมแซม และไม่อนุญาตให้ผู้ใดขึ้นมา”
“ใช่ ข้าซื้อเอาไว้แล้ว” ฉินเหวินหานเอ่ย
“นี่ไม่ใช่ที่ของทางการหรือ? หากท่านซื้อจะต้องใช้เงินมากน้อยเพียงใดกัน?”
“หอจรดจันทร์นี้เดิมทีไม่ได้มีศาลาว่าการเป็นเจ้าของ เป็นคหบดีผู้หนึ่งที่สร้างขึ้นมาให้บุตรสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของเขาได้ชื่นชมพระจันทร์ ต่อมาครอบครัวนั้นถูกสังหารทั้งตระกูลภายในคืนเดียว ทรัพย์สินของตระกูลจึงตกเป็นของทางการ”
มู่ซืออวี่ “…”
เหตุใดถึงเป็นการฆ่าคนเพราะเงินอีกแล้ว?
เห็นได้ชัดว่ามีเงินมากไปก็ไม่ปลอดภัย มันดึงดูดสิงสาราสัตว์มาได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องที่เกิดเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว” ฉินเหวินหานกล่าว “หลังจากถูกปล่อยทิ้งไว้ห้าสิบปีโดยไม่ได้รับการซ่อมแซม สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นหอคอยที่อันตราย หากซ่อมแซมมันจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทางการย่อมไม่อาจตัดใจใช้เงินฟื้นฟูของไร้ประโยชน์เช่นนี้ ข้าจึงช่วยจัดการปัญหาให้พวกเขาด้วยการรับมันเอาไว้ และใช้เงินจำนวนหนึ่งซ่อมแซมปรับปรุง”
“นายน้อยฉินใช้เงินจำนวนมากเพียงนี้ซ่อมแซมของไร้ประโยชน์ คงไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ท่านดูไม่เหมือนผู้ที่ชอบทำการค้าขาดทุนนะ!”
“เสียเงินบ้างเป็นบางโอกาสย่อมอยู่รอดได้ดีกว่า ผู้ทำการค้าเหล่านั้นไม่เข้าใจความจริงข้อนี้ พวกเขาจึงประสบเหตุโศกนาฏกรรมในท้ายที่สุด” ฉินเหวินหานเอ่ย “ข้ารู้ตั้งแต่ยังเล็กว่าการเสียเปรียบคือวาสนา”
“ท่านเสียเปรียบใหญ่หลวงเช่นนี้ ดูเหมือนจะนำพาผลประโยชน์มากมายมามาให้สกุลฉินในอนาคต” เจิ้งซูอวี้เอ่ยจากด้านข้าง
“โชคยังดี ไม่นับว่าเสียเปรียบโดยเปล่าประโยชน์” ฉินเหวินหานทำท่าเชื้อเชิญให้นั่งลง “ข้าพบเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านต้องการตรวจสอบ ทว่าทิวทัศน์ราตรีนี้งดงาม ข้าได้รับสุราชั้นเลิศมาหนึ่งไห พวกเราค่อย ๆ สนทนากินดื่มกันเถิด อย่าให้ภาพที่งดงามเช่นนี้ต้องเสียเปล่า”