สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 486 ความกังวลของน้องสามี
บทที่ 486 ความกังวลของน้องสามี
บทที่ 486 ความกังวลของน้องสามี
หลังออกมาจากหอซือเป่าแล้ว มู่ซืออวี่ซื้อข้าวของจำนวนมากเพื่อกลับไปตกแต่งจวนตระกูลลู่
ถึงแม้เรือนพักอาศัยนี้นางจะเป็นคนเลือก ทั้งยังตกแต่งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่นางไม่ได้อยู่ที่นั่นมาเกือบสองปี ย่อมไม่มีผู้ใดคอยดูแล
อย่างเช่นสวนพฤกษศาสตร์ที่นางออกแบบไว้เป็นอย่างดี ก็มีพืชพันธ์ุหลายชนิดที่ตายไปแล้ว หรือถูกพืชพันธุ์ชนิดอื่นขึ้นมาแทนที่ มองดูแล้วสวยงาม ทว่าไม่ตรงกับใจ
“ฮูหยิน คุณหนูฉู่มาเยี่ยมเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน
“จื่อเยวี่ยน เจ้าออกไปต้อนรับนาง” มู่ซืออวี่เอ่ยขณะที่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้
ฉู่หนิงจูเดินนำมู่จิ่นสาวใช้ของนางเข้ามา พบว่ามู่ซืออวี่กำลังตัดแต่งกิ่งพืชใบเขียวอยู่กับบ่าวรับใช้หลายคน
“พี่หญิงมู่ ข้าเคยเห็นคนปลูกดอกไม้ในสวนมากมายหลายชนิด แต่พืชพันธุ์ที่ท่านนำมาปลูกไว้ที่นี่ หลายต้นกลับไม่บาน”
“ถูกต้อง พืชใบเขียวก็มีความงามของพืชใบเขียว มีดอกไม้หลายชนิดที่ทำให้คนรู้สึกตกตะลึง แต่เมื่อนำพวกมันมาจัดวางไว้ด้วยกัน กลับดูธรรมดาดาษดื่นเกินไป มีใบสีเขียวมาขับเน้นย่อมดีกว่า ดอกไม้ทุกชนิดมีความงามในแบบของมันเอง” มู่ซืออวี่ส่งกรรไกรตัดกิ่งให้สาวใช้ข้าง ๆ “เจ้าค่อย ๆ ตัดไปอย่างที่ข้าสอน หากตัดเสร็จแล้วก็วางไว้ตรงนี้ ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าต้องจัดวางอย่างไร”
หลังจากสั่งบ่าวรับใช้แล้ว นางจึงเอ่ยกับฉู่หนิงจู “ทางนั้นมีศาลา พวกเราไปนั่งที่นั่นกันเถิด จื่อซู จื่อเยวี่ยน ไปบอกให้บ่าวนำชาและขนมมา”
ฉู่หนิงจูเอ่ยกับมู่จิ่น “เจ้าไปช่วยจื่อซู จื่อเยวี่ยน”
มู่จิ่นย่อมไปทำตามคำสั่ง
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ของคุณหนูฉู่
“เดิมที ข้าคิดจะจัดการอะไร ๆ ให้เรียบร้อยก่อนค่อยส่งคำเชิญไปหาเจ้า นึกไม่ถึงว่าหูตาเจ้าจะดีเพียงนี้” มู่ซืออวี่เอ่ย “หมู่นี้เป็นอย่างไร?”
“ไม่รู้สิ มันไม่เหมือนเดิม” ฉู่หนิงจูกล่าว “พี่หญิงมู่ ลู่เซวียนเขา… เขารู้ว่าข้าเป็นสตรีแล้ว”
“เจ้าบอกเขาหรือ?” มู่ซืออวี่ไม่ได้แปลกใจนัก
เมื่อคืนลู่เซวียนทำตัวแปลก ๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังกลัดกลุ้ม เห็นทีจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“มิใช่” สีหน้าของฉู่หนิงจูเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “ท่านก็รู้ ครั้งก่อนตอนท่านจะกลับไป ข้าคิดจะบอกเขา ทว่าทางเขามีเรื่องเกิดขึ้นเสียก่อน ข้าจึงไม่มีโอกาสได้บอกกล่าวให้ชัดเจน หลังจากท่านไปแล้ว ข้าไม่มีความกล้าที่จะพบเขาเพียงลำพัง หลายครั้งเขาเขียนจดหมายถึง ‘ฉู่หลิง’ เชิญให้ออกไปดื่ม ข้าไม่มีทางเลือกเลยได้แต่ยอมตามน้ำ”
“หลังจากนั้นเรื่องก็ถูกเปิดโปงหรือ?” มู่ซืออวี่คาดเดา “ที่นี่เป็นเมืองหลวง คนที่รู้จักเจ้ามีมากมาย ไม่ใช่ว่าเจ้าแปลงโฉมเพียงเล็กน้อยแล้วจะปกปิดได้เสียหน่อย เจ้าแปลงโฉมเป็นบุรุษเพื่อลอบไปพบกับบุรุษอีกคน หากเรื่องนี้เล่าลือออกไป ตระกูลฉู่และคู่หมั้นคู่หมายของเจ้าจะต้องเสื่อมเสียเป็นแน่”
“คนที่เปิดโปงตัวตนของข้าคือเกิ่งเชียนจวิน” ฉู่หนิงจูกล่าว “ลู่เซวียนโกรธมาก เขาไม่สนใจข้านานแล้ว พี่หญิง ข้าควรขอโทษอย่างไรดี เขาจึงจะให้อภัย”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“สามเดือนก่อน”
“พวกเจ้าไม่ได้ติดต่อกันสามเดือนแล้วหรือ?”
“ข้าเขียนจดหมายไป ทว่าจดหมายนั้นถูกส่งกลับมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน เขายังให้บ่าวรับใช้มาบอกข้าอีกว่า ‘สถานะแตกต่างกัน บุรุษสตรีมิควรใกล้ชิด”
“ข้าคิดว่าเขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่อยากหลีกเลี่ยงข้อครหาที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้า หากเจ้าถูกคู่หมั้นจับได้ว่าอยู่กับชายอื่น ถึงตอนนั้นเขาคงเอ่ยอะไรไม่น่าฟังออกมาแน่ ๆ”
“อื้ม เกิ่งเชียนจวินเป็นหลานชายของท่านอ๋องเฝินหยาง ลูกหลานรุ่นราวคราวเดียวกับเขาในจวนอ๋องเฝินหยาง นอกจากกินดื่มเที่ยวเล่น ความรู้ก็ไม่ศึกษา วรยุทธ์ก็ไม่ฝึกฝน ข้าจะไม่แต่งงานกับบุรุษเช่นนั้นเป็นอันขาด”
“ฉู่ฉู่ ถ้อยคำเหล่านี้บิดามารดาเจ้ารู้หรือไม่?” มู่ซืออวี่มองฉู่หนิงจู “พวกเขาจะต้องรู้แน่ ถึงกระนั้นตระกูลฉู่ก็ยังตัดสินใจให้บุตรสาวแต่งงานกับเขา นี่หมายความว่าเจ้าควบคุมงานแต่งครั้งนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย น้องสามีของข้าไม่ใช่คนใจแคบ บางทีเขาอาจตระหนักได้ว่าเจ้าเป็นสตรี จึงหลีกเลี่ยงข้อครหาที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่อยากทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียง เจ้าก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว”
สาวใช้หลายคนนำชุดชาและขนมเข้ามา
มู่ซืออวี่เปลี่ยนเรื่อง ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของฉู่หนิงจูแทน
ฉู่หนิงจูมีเรื่องกลุ้มอยู่ในใจจึงไม่ได้ฟังมากมายนัก จากนั้นจึงกลับไปเงียบ ๆ
“วันนี้คุณหนูฉู่แปลกไปเล็กน้อย!” จื่อเยวี่ยนเอ่ย “นางมีความลำบากใจอันใดหรือไม่?”
“ไม่ว่านางจะมีเรื่องใดให้ลำบากใจ นั่นก็อยู่เหนือการควบคุมของเรา” จื่อซูเอ่ย “นางเป็นถึงบุตรสาวภรรยาเอกของจวนกั๋วกง ขอเพียงเอ่ยออกมาคำเดียว ไม่รู้ว่าจะมีคนมากน้อยเพียงใดยื่นมือมาปลดเปลื้องความกังวลให้”
“จื่อซู หมู่นี้เจ้านับว่ามีพัฒนาการ เจ้ารู้จักใช้สำนวนสี่อักษรเสียด้วย” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น
จื่อซูลูบหัวตัวเองอย่างเขินอาย
“ฮูหยินไม่รู้ บัดนี้จื่อซูมีอาจารย์สอนนางแล้ว”
“ผู้ใดหรือ?”
“ลูกชายของนักบัญชีจางเจ้าค่ะ ครั้งก่อนพวกเราพบเขาในเมืองหลวง ครั้งนี้มาจากเมืองฮู่เป่ย จื่อซูยังซื้อของขวัญมาให้เขาอีกด้วย ช่างใส่ใจจริง ๆ”
มู่ซืออวี่มองสาวใช้ทั้งสองตรงหน้า
นางละเลยทั้งคู่เสียแล้ว อันที่จริงตามอายุของจื่อซูและจื่อเยวี่ยน ควรต้องเตรียมการเรื่องแต่งงานไว้บ้าง
“หากพวกเจ้ามีคนในใจแล้ว ขอเพียงแค่บอกข้า ข้าจะตรวจสอบให้ หากเป็นบุรุษที่ดี ข้าก็จะจัดงานแต่ง ไม่ให้พวกเจ้าต้องเป็นข้ารับใช้อีก”
“พวกเราไม่จากฮูหยินไปเป็นอันขาดนะเจ้าคะ” จื่อซูเอ่ยอย่างรวดเร็ว “หากฮูหยินไม่ชอบให้ข้าข้องแวะกับเขา ข้าจะเมินเขานับแต่นี้เป็นต้นไป”
“จื่อซู จื่อเยวี่ยน ข้าจริงจัง พวกเจ้าอายุอานามไม่น้อยแล้ว ระยะนี้เป็นข้าเองที่ละเลย หากพวกเจ้าพบบุรุษที่ดี เช่นนั้นก็อย่าได้พลาดโอกาส ข้าจะช่วยพวกเจ้าตัดสินใจ แต่งพวกเจ้าออกไปอย่างมีหน้ามีตา และถึงแม้จะแต่งงานแล้ว หากไม่อยากแยกจากข้า เจ้าก็ยังติดตามข้าต่อไปได้”
จือซูและจื่อเยวี่ยนได้ยินมู่ซืออวี่เอ่ยดังนั้นพลันรู้สึกโล่งใจ
“แต่ว่า…” มู่ซืออวี่ขบคิด “เจ้าไปถามคนเฝ้าประตูดูว่าวันนี้นายท่านจะกลับมาเมื่อไหร่ หากเขากลับมาเร็ว เช่นนั้น ก็ไปเชิญนายท่านรองมาทานอาหารด้วยกัน”
แน่นอนว่าลู่อี้กลับมาเร็ว ถึงแม้จะมีเรื่องเกิดขึ้น เขาย่อมหาวิธีส่งต่อให้ผู้อื่นและกลับมาเพื่อใช้เวลากับภรรยาและลูก ๆ
มู่ซืออวี่ไปรับลู่จื่ออวิ๋นมาด้วยตนเอง
“ท่านแม่…”
มู่ซืออวี่เห็นนางยิ้มแย้มอย่างมีความสุขก็โล่งใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เยี่ยมยอดเลยเจ้าค่ะ!” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มบาง ๆ
อันอวี้เหลือบมองลู่จื่ออวิ๋นจากด้านข้าง
เยี่ยมยอดจริง ๆ นั่นแหละ…
สองคนนั้นถึงกับลืมตาไม่ขึ้น! คนหนึ่งโดนเข็มทิ่มมือ ไม่สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าได้อย่างน้อยสองเดือน ส่วนอีกคนได้รับบาดเจ็บที่ซี่โครง ไม่รู้ว่าร้ายแรงมากหรือไม่
แต่ไม่มีผู้ใดเห็นว่าลู่จื่ออวิ๋นทำเรื่องทั้งหมดนี้ อีกอย่างสองคนนั้นก็เป็นฝ่ายก่อเรื่อง ทั้งคู่จึงไม่กล้ากล่าวโทษ ได้แต่กลืนยาขมนี้ลงไป
ในที่สุดอันอวี้ก็มองออก เด็กสกุลลู่ไม่มีคนใจอ่อนแม้เพียงคนเดียว พวกเขาลงมือเอาคืนเดี๋ยวนั้น อีกทั้งยังทำให้คนที่มาหาเรื่องเข็ดหลาบจนถึงขั้นร้องไม่ออก
“ท่านแม่ ในหอซือเป่ามีเนื้อผ้าชั้นเลิศมากมาย ตอนที่ข้าอยู่กับอาจารย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน” ลู่จื่ออวิ๋นเล่าเรื่องที่เก็บเกี่ยวมาในวันนี้ได้อย่างไม่รู้จบ
บนนิ้วมือของนางยังมีสีแดงติดอยู่ ผู้ไม่รู้คงจะคิดว่าเป็นสีย้อมผ้า มีเพียงอันอวี้ที่รู้ว่าเป็นเลือดของผู้อื่น
แม่นางน้อยที่รอยยิ้มแย้มบานงดงามราวกับดอกไม้ แท้จริงแล้วเป็นคนโหดเหี้ยมผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่านางไปเรียนทักษะเหล่านั้นมาจากที่ใด จึงแสดงได้แยบยลเพียงนี้