สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 489 สองคนเผชิญหน้ากัน
บทที่ 489 สองคนเผชิญหน้ากัน
บทที่ 489 สองคนเผชิญหน้ากัน
มู่ซืออวี่พบว่าวันนี้เหมียวเสียนจิ้งกระตือรือร้นขึ้น
ท่าทีที่นางแสดงออกมาเมื่อวานค่อนข้างเป็นไปตามมารยาท ทว่าวันนี้กลับดูจงใจโอ้อวดตนอยู่บ้าง
อย่างเช่น เมื่อเข้าไปในร้านผ้า นางจะอธิบายความแตกต่างของเนื้อผ้าหลากหลายชนิดพลางแนะนำว่าเนื้อผ้าชนิดใดคุ้มค่าและสวยงามให้มู่ซืออวี่ หากเข้าไปในร้านเครื่องประดับ นางก็จะแสดงความสามารถในการแยกแยะชนิดหยกออกมา และถ้าเข้าไปในร้านขายชาด นางก็จะนำชาดและแป้งที่ทำเองออกมาให้ดู อีกทั้งยังบอกว่าประสิทธิภาพดีกว่าของที่ขายข้างนอกเป็นไหน ๆ
วันนี้เหมียวเสียนจิ้งอยาก ‘โอ้อวด’ ทว่าการ ‘โอ้อวด’ ในวันนี้ ยากนักที่จะไม่สังเกตเห็น!
“พี่หญิงมู่” ฉู่หนิงจูเดินลงมาจากชั้นสอง เมื่อเห็นมู่ซืออวี่ นางก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ท่านก็มาซื้อชาดด้วยหรือ? ให้ข้าแนะนำสินค้าใหม่ของพวกเขาให้ท่าน…”
มู่จิ่นกระตุกเสื้อของฉู่หนิงจูจากด้านหลัง
ฉู่หนิงจูมองสาวใช้ของตนอย่างงุนงง
มู่จิ่นจึงเหลือบมองไปทางเหมียวเสียนจิ้ง
เท่านั้นเอง ฉู่หนิงจูจึงตระหนักได้ว่ามีสตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่งอยู่ข้างกายมู่ซืออวี่ด้วย
เหมียวเสียนจิ้งรูปโฉมจิ้มลิ้ม หากไม่ใช่เพราะท่าทางน่าสงสารของนาง สตรีที่อยู่ในตระกูลมั่งมีผู้นี้คงไม่เป็นที่สังเกตแต่อย่างใด ขนาดมู่จิ่นที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่หนิงจู และจื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ มู่ซืออวี่ยังงามกว่า
“พี่หญิงกำลังจับจ่ายซื้อของกับผู้อื่นอยู่ ข้ามารบกวนพวกท่านหรือไม่?” ฉู่หนิงจูเอ่ยถาม
มู่ซืออวี่กล่าวว่า “คุณหนูเหมียวกับข้าเพียงเดินเล่นเท่านั้น คุณหนูเหมียวเอ่ยว่านางทำชาดและแป้งเอง มิได้ซื้อหาจากข้างนอก ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ”
“อ้อ” ฉู่หนิงจูยิ้มบาง ๆ “คุณหนูเหมียวช่างมีความสามารถ”
ขั้นขุนนางของพี่ชายเหมียวเสียนจิ้งไม่สูงนัก ปกติจึงมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวของผู้ที่อยู่ในขั้นเดียวกัน นางจึงไม่รู้จักผู้สูงศักดิ์เช่นฉู่หนิงจู ทว่าถึงแม้จะไม่รู้จัก แต่เพียงแค่มองเสื้อผ้าที่หรูหราของคุณหนูตระกูลฉู่ก็ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ขนาดสาวใช้ที่อยู่ข้างกายยังแต่งตัวดีกว่าเหมียวเสียนจิ้งเสียอีก
ฉู่หนิงจูคิดเรื่องนั้นทั้งคืน เดิมทีนางอยากไปพูดคุยกับมู่ซืออวี่ ทว่าเมื่อเห็นเหมียวเสียนจิ้ง จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรพูดคุยกัน ดังนั้นฉู่หนิงจูจึงเอ่ยลามู่ซืออวี่
“ฮูหยินลู่ นางคือใครหรือ?” เหมียวเสียนจิ้งเอ่ยถาม
“คุณหนูใหญ่ภรรยาเอกจวนฉู่กั๋วกง” มู่ซืออวี่ตอบ
“อ้อ!” เหมียวเสียนจิ้งมองตามแผ่นหลังของฉู่หนิงจู แววตานางฉายความอิจฉาออกมา
พวกนางล้วนเป็นสตรี ทว่าเพราะพื้นเพ ชีวิตจึงแตกต่างกันเป็นอย่างมาก คุณหนูฉู่ผู้นั้นดูเหมือนจะมีชีวิตรุ่งโรจน์ยิ่งนัก!
ฉู่หนิงจูนั่งอยู่ในรถม้า ยิ่งนางคิดมากเพียงใดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น นางไม่อยากที่จะยอมรับการตัดสินใจของลู่เซวียนเลยจริง ๆ
มู่จิ่นที่อยู่ข้าง ๆ หันมามอง “คุณหนู ท่านอย่าโกรธไปเลยนะเจ้าคะ”
“มู่จิน เจ้าก็รู้จักข้า ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนี้เด็ดขาด” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ที่ข้าหนีออกจากบ้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้าไม่ยินดีแต่งงาน อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้าชอบลู่เซวียนจริง ๆ ข้าตามหาเขาจนพบ แปลงโฉมเป็นบุรุษไปรู้จักกับเขา แม้รู้ว่าไม่ควรหลอกลวง แต่สิ่งที่ข้ามอบให้เขาล้วนมีแต่ความจริงใจ ข้าไม่เชื่อว่าลู่เซวียนจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อข้าเลย”
“คุณหนู บ่าวขอเอ่ยบางอย่างที่ผิดครรลองคลองธรรมหน่อยเถิดเจ้าคะ ถึงแม้นายท่านรองลู่จะมีคุณหนูในใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็คงไม่กล้าแสดงออก พวกท่านทั้งสองสถานะแตกต่างกันมาก ต่อให้ท่านจะไม่ได้หมั้นหมายกับท่านอ๋องน้อยจวิน เขาก็ไม่อาจแต่งงานกับท่าน คุณหนู ไม่อย่างนั้น… พวกเราปล่อยวางเถอะนะเจ้าคะ! หากถูกนายท่านกั๋วกงกับฮูหยินรู้เข้า ท่านจะตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่านี้ นายท่านรองลู่ก็จะพลอยลำบากตามไปด้วยนะเจ้าคะ”
เดิมทีมู่จิ่นต้องการพูดเตือนสติฉู่หนิงจูเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าถ้อยคำของนางจะเป็นจริงอย่างรวดเร็ว
ลู่เซวียนได้รับบาดเจ็บแล้ว
เมื่อมู่ซืออวี่ได้รับข่าวนี้ก็รีบรุดไปที่บ้านของเขาทันที
เมื่อนางมาถึง พ่อบ้านก็เชิญท่านหมอมาแล้ว ท่านหมอกำลังรักษาลู่เซวียนอยู่
“นายท่านรองได้รับบาดเจ็บที่ใด?”
อย่างไรเสีย นางก็เป็นพี่สะใภ้ของเขา ไม่อาจเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของลู่เซวียนด้วยตนเองได้ ทำได้เพียงถามพ่อบ้านก่อน
พ่อบ้านกล่าวตอบ “ขาของนายท่านรองได้รับบาดเจ็บขอรับ เลือดไหลนอง ดูร้ายแรงยิ่งนัก”
“เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บ?” มู่ซืออวี่รู้สึกโมโหขึ้นมา “เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ไม่ใช่หรือ?”
“ได้ยินว่าเขาเข้าวังไปตรวจดูตำราเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมาป่าในวังถึงรุดมากัดนายท่านรองได้ นายท่านรองไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ เขาจึงถูกมันเล่นงานขอรับ”
ลู่อี้รีบร้อนเข้ามา
เขาได้ยินคำพูดของพ่อบ้านเข้าพอดี
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะเข้าไปดูเขาเอง” ลู่อี้เอ่ยกับมู่ซืออวี่แล้วก็สาวเท้าเข้าไปในห้อง
มู่ซืออวี่ทำได้เพียงรอฟังข่าวอยู่ด้านนอก
ถูกหมาป่ากัด เรื่องนี้เป็นได้ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ หากหมาตัวนั้นมีโรค เกรงว่าชีวิตของลู่เซวียน…
“ต้องไม่เป็นไร ๆ” มู่ซืออวี่ประกบมือเข้าด้วยกัน
นับตั้งแต่นางท่องเวลามา ความคิดอย่างการไม่นับถือศาสนาก็เปลี่ยนไป ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ สิ่งที่นางอ้อนวอนไม่ใช่ท่านหมอข้างใน หากแต่เป็น ‘เทพ’ ที่มองไม่เห็น ทั้งยังจับต้องไม่ได้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ในที่สุดคนข้างในก็ออกมา
ท่านหมอออกมาก่อนเป็นคนแรก ตามมาด้วยลู่อี้
“วานท่านหมอเขียนเทียบยาให้เขาก่อน เอาแขนงที่ดีที่สุด” ลู่อี้เอ่ย
“ใต้เท้าลู่วางใจ บาดแผลน้องชายของท่านดูเผิน ๆ อาจจะน่ากลัว ทว่ามิใช่บาดแผลร้ายแรง หลังผ่านการพักฟื้นไปชั่วระยะหนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว ข้าจะใช้ยาลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษช่วยให้เขาหายเร็วขึ้น”
“ดียิ่ง”
มู่ซืออวี่ได้ยินสิ่งที่ท่านหมอเอ่ย จึงเอ่ยถามลู่อี้ “น้องสามีประสบเหตุร้ายแต่ไม่ร้ายแรงหรือ?”
“ถูก” ลู่อี้คว้ามือของนางมากุม “มือของเจ้าเย็นนัก เจ้ากลัวหรือ?”
“ตอนที่ได้ยินข่าว ข้ากำลังดูร้าน พอรู้ว่าน้องสามีได้รับบาดเจ็บก็แทบตกใจตาย แต่ผู้ใดเลี้ยงหมาป่าตัวนั้นกัน? เหตุใดถึงปล่อยให้ออกมากัดคน?”
“คนในวังหลวง เจ้าคิดว่าพวกเขาสนใจความเป็นความตายขุนนางที่ใหญ่เท่าเมล็ดงาคนหนึ่งหรือ?” ลู่อี้เอ่ยอย่างสงบ “หมาป่าตัวนั้นพระสนมวังหลังเป็นผู้เลี้ยงมัน เรื่องนี้ขอคำอธิบายจากใครไม่ได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็จะจบอย่างนี้หรือ?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
“ฉากหน้านับว่าจบแล้ว ทว่าลับ ๆ นั้น…”
คิดจะจัดการพระสนมคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายดายหรือ?
ขีดจำกัดความอดทนของลู่อี้คือญาติมิตร หากผู้ใดกล้าทำร้ายญาติมิตรเขา ไม่ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร เขาจะไม่ปล่อยไปง่าย ๆ
“ลู่เซวียนไม่เป็นอะไรจริง ๆ หรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร” ลู่อี้ให้จื่อซูและจื่อเยวี่ยนพามู่ซืออวี่กลับไปพักก่อน ขณะที่เขารั้งอยู่ที่นี่รอให้น้องชายฟื้นขึ้นมา
มู่ซืออวี่กลับไปแล้ว นางทำน้ำแกงอยู่ที่บ้านอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็จัดการให้บ่าวรับใช้ที่ไว้ใจได้ไปส่งน้ำแกงให้ลู่เซวียน
อีกด้านหนึ่ง ฉู่หนิงจูเพิ่งกลับมาจากไปเยี่ยมท่านย่าของนาง ก้นนางยังไม่ทันได้แตะเก้าอี้ บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็เข้ามา “คุณหนู ท่านอ๋องน้อยจวินส่งของขวัญมาให้เจ้าค่ะ”
“โยนทิ้งไป” ฉู่หนิงจูขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ
“คนที่ท่านอ๋องน้อยส่งมากล่าวว่า… หากคุณหนูไม่อ่านก่อนจะเสียใจในภายหลัง ดังนั้นให้ท่านอ่านก่อนจะดีกว่าเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ถ่ายทอดคำพูด
ฉู่หนิงจูมองกล่องที่อยู่ตรงข้าม
“นำเข้ามาดู”
มู่จิ่นนำกล่องเข้ามา จากนั้นเปิดมันออก ทันใดนั้นนางก็หวีดร้องขึ้นมาเสียงดัง
“มีอะไร?” ฉู่หนิงจูยืนขึ้น “ข้างในคืออะไร?”
มู่จิ่นตกใจกลัวจึงเผลอปัดกล่องใบนั้นตกลงพื้น
เห็นเพียงผ้าชุ่มเลือดชิ้นหนึ่งวางอยู่
“นี่มันอะไร?” มู่จิ่นเอ่ย “ท่านอ๋องน้อยนับวันจะเกินไปแล้ว ของขวัญที่ส่งมาเมื่อก่อนยังปกติ บัดนี้เขากลับส่งของเช่นนี้มาทำให้คุณหนูหวาดกลัว”
“เจ้าไปเรียกคนที่มาส่งของมา!” ฉู่หนิงจูรู้สึกไม่สบายใจ
เหตุใดลายผ้าชุ่มเลือดเหล่านี้จึงดูคุ้นตานัก?