สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 498 เจียงอีเมิ่งสกุลเจียง
บทที่ 498 เจียงอีเมิ่งสกุลเจียง
บทที่ 498 เจียงอีเมิ่งสกุลเจียง
ชายผู้นั้นเห็นว่ากู้อีเตาจัดการไม่ได้ง่าย ๆ จึงทิ้งของแล้ววิ่งหนีไป
“ขอบคุณ…” สตรีนางนั้นเอ่ยขอบคุณกู้อีเตา
กู้อีเตากล่าวบางอย่างกับสตรีนางนั้น นางจึงหันกลับไปทางลู่เซวียน
สตรีผู้นั้นหน้าซีดเผือดอยู่ครู่หนึ่ง นางถูกทำให้ตื่นตระหนก ท่าทางของนางราวกับว่าจะหมดลมหายใจได้ทุกขณะ
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?” กู้อีเตาเอ่ยถาม
ลู่เซวียนเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติจึงเดินเข้ามา “เป็นอะไรหรือ?”
“ข้า… ข้า… รู้สึกแน่นหน้าอก” สิ้นคำนั้น สตรีผู้นั้นพลันแขนขาไร้เรี่ยวแรงไปทันที
กู้อีเตารับไว้อย่างรวดเร็ว เขาหันไปมองลู่เซวียนอย่างจนปัญญา “จะทำอย่างไรขอรับ?”
“ส่งไปโรงหมอ” ลู่เซวียนกล่าว
ลู่เซวียนและบ่าวรับใช้ส่งหญิงสาวผู้นั้นไปโรงหมอ เมื่อท่านหมอเห็นนาง เขาก็จำได้ทันที ทั้งยังบอกอีกว่านางเป็นคนไข้ของเขา
“วันนี้เป็นวันที่นางจะมารับยาจากข้า” ท่านหมอเอ่ย “นางมีโรคที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด ประเดี๋ยวทานยาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“พี่สะใภ้” สตรีหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาทางประตู เมื่อเห็นร่างของสตรีที่ลู่เซวียนช่วยชีวิต นางก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างกระวนกระวายใจ
“ท่านหมอ พี่สะใภ้ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”
ท่านหมอกล่าวว่า “โรคเดิมของนางกำเริบ เมื่อครู่นางทานยาไปแล้ว อีกเดี๋ยวตื่นขึ้นมาก็ดีขึ้น”
“พี่สะใภ้ของข้าไม่ได้ป่วยเช่นนี้นานแล้ว” สตรีผู้นั้นตระหนักได้ว่ายังมีคนแปลกหน้าอยู่ที่นี่ อีกทั้งคนแปลกหน้าสองคนนี้กำลังเฝ้าพี่สะใภ้ของนางอยู่จึงพลันหวาดระแวงขึ้นมา “พวกท่านคือ…”
“เจ้าต้องขอบคุณคุณชายสองท่านนี้ให้ดี…” ท่านหมออธิบายที่มาที่ไปให้นางฟัง
สตรีผู้นั้นจึงรู้ว่าตนเข้าใจผิด ที่แท้สองคนนี้ไม่ใช่คนเลว แต่เป็นคนดีที่ช่วยพี่สะใภ้นางไว้
ในตอนนี้เอง หญิงสาวที่หมดสติผู้นั้นก็ฟื้นขึ้น เมื่อเห็นหญิงที่คุ้นเคยอยู่ที่นี่ นางจึงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
“พี่สะใภ้ ท่านหมดสติไปอีกแล้ว ข้ากลัวแทบตาย” เจียงอีเมิ่งเอ่ยอย่างเป็นกังวล
“ข้าพบกับท่านน้าเจ้าแล้ว เขาจะฉวยกำไลของข้าไป ข้าทะเลาะกับเขาได้เพียงไม่กี่คำก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ถึงได้ล้มป่วย จริงสิ คุณชายสองท่านนี้ช่วยข้าเอาไว้”
“ข้าได้ยินท่านหมอบอกแล้ว” เจียงอีเมิ่งกล่าวจบ ก็หันไปค้อมคำนับลู่เซวียนและกู้อีเตาอีกครั้งอย่างเป็นทางการ “ขอบคุณคุณชายทั้งสองท่านที่ช่วยพี่สะใภ้เอาไว้ เมื่อครู่นี้ข้าเสียมารยาทไป โปรดอภัยด้วย”
ลู่เซวียนไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
หาก จู่ ๆ มีคนแปลกหน้าสองคนมาปรากฏตัวข้างกายญาติ เป็นเขาก็ต้องหวาดระแวงและป้องกันตนเองเช่นกัน อย่างไรเสียในโลกนี้ก็ไม่ได้มีคนดีมากมายถึงเพียงนั้น
“ในเมื่อพี่สะใภ้เจ้าไม่เป็นอะไรและเจ้าก็มาดูแลนางแล้ว เช่นนั้นพวกเราต้องขอตัวก่อน” ลู่เซวียนเอ่ยกับเจียงอีเมิ่ง “ขอตัว”
เจียงอีเมิ่งเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง
ลู่เซวียนไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ หากเขาหาผู้ร่วมลงทุนได้สำเร็จ อีกไม่นานบทละครพื้นบ้านเรื่องใหม่ก็จะออกวางขายแล้ว
ผ่านมาแล้วสามวันนับตั้งแต่จวนเฝินหยางมาส่งของหมั้น ตลอดสามวันมานี้ ฉู่หนิงจูถูกขังอยู่ภายในห้อง แม้แต่ตอนนางปลดทุกข์ยังต้องมีบ่าวรับใช้ร่างกายกำยำมาคอยเฝ้า ในขณะที่นางกำลังสิ้นหวังนั้นเอง ทุกอย่างกลับกลายเป็นดีขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านแม่ยินดีให้ข้าออกไปแล้วหรือ?” ฉู่หนิงจูมองเหล่ามามาตรงหน้านางด้วยความแปลกใจ
สีหน้าของเหล่ามามาซับซ้อนยิ่ง เมื่อได้ยินคำถามของฉู่หนิงจู นางจึงพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าค่ะ คุณหนู”
ฉู่หนิงจูลุกขึ้นจากเตียง แล้วเอ่ยกับมู่จิ่นที่อยู่ข้าง ๆ “พวกเราออกไปซื้อของกันเถอะ”
บนท้องถนน ชาวบ้านล้วนเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนเฝินหยางอ๋อง
ฉู่หนิงจูและมู่จิ่นมองหน้ากัน
“พวกเราไปโรงน้ำชาเถอะ”
ไม่แปลกใจว่าเหตุใดท่านพ่อท่านแม่ถึงปล่อยให้นางออกมา ที่แท้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นนี่เอง
ในโรงน้ำชา ลูกค้าที่กำลังดื่มน้ำชากระซิบกระซาบกันเรื่องความรักระหว่างท่านอ๋องน้อยที่ไม่เป็นโล้เป็นพายแห่งจวนเฝินหยางอ๋องกับสนมที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุดอย่างลี่เฟย
ฮ่องเต้เฒ่าเดิมทีกำลังจะไปพระตำหนักพระสนมคนอื่น ทว่าทันใดนั้นเขาก็นึกอยากไปหาลี่เฟยสนมรักคนใหม่ แต่กลับเห็นลี่เฟยกำลังพัวพันอยู่กับปีศาจชายตนหนึ่ง
“พวกเจ้าไม่รู้อะไร สีหน้าฝ่าบาทเขียวคล้ำเชียว ถึงกับคว้าเอาแจกันข้าง ๆ มาหมายจะทุบ ทว่าอายุมากแล้วจึงตีไม่ถูก แต่นั่นก็เพียงพอให้ท่านอ๋องน้อยจวินกลัวจนจะฉี่ราดแล้ว”
“อ๋องเฝินหยางนั่งคุกเข่าอยู่ในวังมาหลายวันแล้ว”
“น่าสงสารคุณหนูจวนฉู่กั๋วกงผู้นั้น นางหมั้นหมายกับท่านอ๋องน้อย ครั้งนี้ต้องอับอายขายหน้าแล้ว”
ฉู่หนิงจูลุกขึ้นมา “พวกเราไปหาลู่เซวียนกันเถอะ”
ลู่เซวียนทำงานในกรมคลัง แน่นอนว่าฉู่หนิงจูย่อมหาเขาไม่พบ ดังนั้นนางจึงมาเสียเที่ยว
เมื่อออกมาจากสกุลลู่แล้ว มู่จิ่นจึงเอ่ยถาม “คุณหนู เหตุใดท่านจึงไปหานายท่านรองลู่หรือเจ้าคะ?”
“ข้าเพียงแต่อยากพบเขา” ฉู่หนิงจูเอ่ย “เกิ่งเชียนจวินรนหาที่ตายเอง ตอนนี้การหมั้นหมายของเราต้องถูกยกเลิกไปแล้วเป็นแน่ ข้าเป็นอิสระแล้ว”
“ถึงแม้การหมั้นหมายของท่านจะถูกยกเลิก อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่ท่านกั๋วกงจะให้ท่านแต่งกับ…” มู่จิ่นเห็นสีหน้าของฉู่หนิงจูไม่สู้ดีนัก นางจึงเงียบปาก
“ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็เป็นอิสระแล้ว” ฉู่หนิงจูเอ่ย “เรื่องภายหน้า… เอาไว้ว่ากันภายหน้าเถอะ!”
ลู่เซวียนออกมาจากกรมคลังและเพิ่งขึ้นรถม้า ก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งรอเขาอยู่ในรถม้าเช่นกัน
“จูกงกง” ลู่เซวียนนั่งตัวตรง “ท่านออกจากวังแล้วหรือ?”
คนผู้นั้นคือขันทีในวังหลวงผู้หนึ่ง
“ใต้เท้า เรื่องที่ท่านมอบหมาย ข้าโชคดีนักที่ได้ทำให้สำเร็จลุล่วง” ขันทีผู้นั้นเอ่ย “วันนี้ข้ามาบอกลาท่านโดยเฉพาะ”
“บอกลา?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม “ท่านชราถึงขนาดต้องออกจากวังแล้วหรือ?”
“นั่นสิ ข้า…” จูกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลาเกษียณกลับบ้านแล้ว!”
ลู่เซวียนนำตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าน้อยหวังว่าจูกงกงจะอายุมั่นขวัญยืน หากท่านต้องการความช่วยเหลือ เพียงแค่มาหาข้า”
“ขอบคุณใต้เท้า” จูกงกงไม่ได้รับตั๋วเงินนั้นไป “ทว่าข้าน้อยอยู่ในวังหลวงมาหลายสิบปีพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง เท่านั้นก็ใช้พอแล้ว ท่านเก็บเงินนี้ไว้เถอะ หากข้าขาดแคลนขึ้นมา จะมาขอแบ่งปันจากท่านเล็กน้อย”
ลู่เซวียนฟังอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นก็ไม่บังคับอีก
หลังจากส่งจูกงกงกลับไปแล้ว ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน ลู่เซวียนก็ถูกลู่อี้ที่รออยู่เรียกตัว ลู่เซวียนเข้าใจได้ว่าพี่ชายคงมีเรื่องพูดคุย จึงไปถอดเครื่องแต่งกายขุนนางออกแล้วไปพบเขา
“เรื่องนี้เจ้าเป็นคนทำหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
ลู่เซวียนไม่ปฏิเสธ
“เหตุใดจูกงกงจึงช่วยเจ้า?” ลู่อี้ถามอีกครั้ง
“ข้าช่วยชีวิตเขาไว้โดยบังเอิญจึงขอให้เขาช่วยเรื่องนี้ ข้าให้เขาเลือก ไม่ได้บังคับแต่อย่างใด” ลู่เซวียนอธิบายตามความจริง
“จัดการเกิ่งเชียนจวินและลี่เฟยได้ในคราวเดียวกัน ชาญฉลาดยิ่ง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังทิ้งช่องโหว่ไว้มาก ขอเพียงมีคนคิดตรวจสอบก็จะสืบมาถึงตัวเจ้า เพราะคนผู้เดียวที่เกิ่งเชียนจวินและลี่เฟยล่วงเกินในขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้มีเจ้าเพียงคนเดียว”
“พี่ใหญ่มาหาข้า คิดว่าคงช่วยข้าเก็บกวาดไปแล้วกระมัง?” ลู่เซวียนเอ่ยอย่างสงบ
“หากข้าไม่เก็บกวาดให้เจ้า เจ้าจะยังมานั่งพูดอยู่ตรงนี้ได้อีกหรือ?” ลู่อี้กล่าว
“เฉินกงกงเป็นคนของท่าน เขาจะต้องช่วยข้าเก็บกวาดแน่นอน ข้าไม่มีอะไรให้ต้องกังวล” ลู่เซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้น “เจ้ารู้ว่าเฉินกงกงเป็นคนของข้าหรือ?”
“ข้าบอกจูกงกงตอนที่ให้เขาจัดการการเรื่องนี้ว่าหากมีสิ่งใดที่เขารับมือไม่ไหว เช่นนั้นก็ให้ไปหาเฉินกงกง เขาจะต้องช่วยอย่างแน่นอน” ลู่เซวียนเอ่ย