สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 505 เล่ห์กลมากมาย
บทที่ 505 เล่ห์กลมากมาย
บทที่ 505 เล่ห์กลมากมาย
เมื่อฉู่หนิงจูออกมาจากวังหลวง นางรู้สึกราวกับตนแก้ปัญหาใหญ่ไปได้จึงดูผ่อนคลายลงไปมาก
“ข้าไม่อยากกลับไปจวนกั๋วกงแล้ว” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ข้าอยากไปหาพี่หญิงมู่”
“เรื่องนี้ไม่นานจะต้องถูกรายงานไปยังจวนกั๋วกงเป็นแน่ หากท่านกั๋วกงรู้เข้าไม่รู้ว่าจะโกรธเพียงใด หากตอนนี้ท่านยังไม่รีบกลับไปจวนอีก เขาจะมิโกรธหนักกว่าเดิมหรือเจ้าคะ?” มู่จิ่นกล่าว
“อย่างไรเสียก็ต้องโกรธอยู่แล้ว ไม่สู้ไปหลบซ่อนเสียดีกว่า” ฉู่หนิงจูเอ่ย “ไปเถอะ ข้าอยากบอกข่าวดีกับพี่หญิงมู่”
มู่จิ่นมองท่าทางดีอกดีใจของฉู่หนิงจูแล้วจึงพึมพำ “ข้าว่า… อยากจะบอกใต้เท้าลู่เซวียนมากกว่ากระมัง!”
มู่ซืออวี่ยังคงยุ่งอยู่กับการจัดการร้าน เมื่อได้ยินว่าฉู่หนิงจูมา นางจึงเก็บภาพแบบที่วาดลงแล้วเอ่ยกับเฟิงเจิง “ทุกคนเพิ่งมาถึงเมืองหลวง มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือไม่?”
เฟิงเจิงตอบกลับ “อาหารและที่พักอาศัยของทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ที่จัดการ ไม่ได้ลำบากอันใดเลยขอรับ ป้ายสัญลักษณ์เรือนกรุ่นฝันของพวกเราโด่งดังมาก กิจการกำลังไปได้ดี ทุกคนจึงมีแรงฮึดมากเลยขอรับ”
มู่ซืออวี่ถามเรื่องอื่น ๆ อีกเล็กน้อย เฟิงเจิงจึงตอบทีละข้อไป
เมื่อฉู่หนิงจูเข้ามา เฟิงเจิงก็ออกจากห้องไปแล้ว
“พี่หญิงมู่” ฉู่หนิงจูวิ่งเข้ามากอดแขนนาง “ข้าจะบอกอะไรบางอย่างกับท่าน…”
นางบอกเรื่องที่ตนไปขอความช่วยเหลือจากท่านป้าเรื่องถอนหมั้น
“สำเร็จแล้วหรือ?”
“อื้ม!”
ฉู่หนิงจูหัวเราะ แววตาเปี่ยมไปด้วยความยินดี
“หากยังไม่มีพระราชโองการลงมา เรื่องนี้ก็ยังไม่ถือว่าสำเร็จ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ทว่าในเมื่อรับปากแล้ว เอ่ยคำไหนย่อมเป็นคำไหนคำนั้น ความเป็นไปได้คงอยู่ที่แปดเก้าหรือไม่ก็สิบ วันนี้มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่? หากไม่มี เช่นนั้นไปบ้านข้าเถอะ ข้าจะทำอาหารสักสองสามอย่างฉลองให้เจ้า!”
“ไม่มี ข้าไม่มีเรื่องต้องทำแล้ว” ฉู่หนิงจูเอ่ยด้วยความดีใจ
มู่ซืออวี่มอบเรื่องที่ร้านให้เฟิงเจิงดูแล จากนั้นนางจึงพาฉู่หนิงจูกลับไปที่บ้าน
ลู่อี้ให้บ่าวรับใช้ของเขากลับมารายงานว่าวันนี้ต้องออกไปทานอาหารข้างนอก ไม่จำเป็นต้องรอ
มู่ซืออวี่ให้คนไปซื้อกุ้งหอยปูปลามาเป็นจำนวนมาก พวกเขาทำอาหารทะเลกินกัน
“เผ็ดยิ่ง” ฉู่หนิงจูสูดปากขณะที่แกะเปลือกกุ้ง “แต่ถึงแม้จะเผ็ดเพียงใดก็รู้สึกว่าไม่อยากหยุดทาน หอมยิ่งนัก!”
“ทานน้อย ๆ ระวังพรุ่งนี้หน้าจะมีสิวขึ้น” มู่ซืออวี่เตือนนาง
“ข้าไม่กลัวหรอก!” ฉู่หนิงจูเอ่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจ
พ่อบ้านเดินเข้ามาแจ้งมู่ซืออวี่ “เมื่อครู่นี้ฮูหยินสั่งให้คนส่งกุ้งไปให้นายท่านรอง ทางนั้นส่งข่าวกลับมาว่านายท่านรองไม่อยู่บ้านขอรับ”
“บุรุษเหล่านี้ แต่ละคนล้วนไปเข้าสังคม” มู่ซืออวี่บ่นกระอิดกระออด “ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว กุ้งนั่นก็เอาไว้ให้เขานั่นแหละ หากกลับมาแล้วอยากกิน เขาจะได้กิน แต่หากไม่อยากกินก็เอาให้บ่าวรับใช้”
สายตาของฉู่หนิงจูเต็มไปด้วยความผิดหวัง
คิดว่าจะได้พบลู่เซวียนเสียอีก!
ณ จวนสกุลเหมียว ฮูหยินมองกำไลข้อมือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ด้วยความพึงพอใจ แม่นมคนสนิทของนางเดินเข้ามาเอ่ย ‘นายท่านรองสกุลลู่ก็ไปฉลองวันเกิดให้นายน้อยเช่นกัน’
“นายท่านรองสกุลลู่?” ฮูหยินเหมียวคิดใคร่ครวญ
นางมองแม่นางน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วเอ่ยว่า “ลูกสาว เจ้ารู้จักสกุลลู่หรือไม่?”
“ก่อนหน้านี้ ท่านเคยเอ่ยถึงแล้วมิใช่หรือ?” คุณหูรองเหมียวเอ่ยอย่างไร้ความอดทน “ขุนนางขั้นหกเพียงคนเดียว มีอะไรดีนัก เหตุใดท่านแม่ต้องสนใจมากเพียงนั้น?”
“เจ้าเด็กโง่คนนี้ ถึงแม้ลู่เซวียนจะเป็นเพียงขุนนางขั้นหก แต่พี่ชายของเขาเป็นขุนนางขั้นห้าเชียวนะ! ตำแหน่งขุนนางไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสกุลลู่มีเงินมากมายมหาศาล ทั้งยังเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองฮู่เป่ย!” ฮูหยินเหมียวกล่าว “เงินจากครอบครัวของเขาเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอให้ครอบครัวของเราทานอาหารรสเลิศมากมายได้แล้ว กำไลข้อมือเหล่านี้ เจ้าซื้อวันละสิบวงก็มิเหนือบ่ากว่าแรง”
หากไม่ใช่เพราะสกุลลู่ร่ำรวย เหตุใดนางต้องกระตือรือร้นอยากจะเกี่ยวดองกับพวกเขา? แม้สองพี่น้องสกุลลู่จะมีขั้นขุนนางต่ำ ทว่านางก็ยังไม่อาจดูแคลน!
คุณหนูรองเหมียวเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงแม้จะมีขุนนางสองคนในสกุลเหมียวแต่ก็เป็นขุนนางตำแหน่งเล็ก ๆ เท่านั้น บ้านสกุลเหมียวไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ในสายตาชาวบ้านธรรมดาทั่วไปอาจคิดว่ามันน่าอยู่อาศัย ทว่าในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่าเท่านั้น
งานวันเกิดของเหมียวหมิงเหลย เขาเชิญสหายที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวนักมาร่วมงาน
คนเหล่านี้ล้วนมีตำแหน่งขุนนางไม่ต่างกันมาก ดังนั้นจึงไม่ค่อยเกิดการเปรียบเทียบเมื่ออยู่ด้วยกัน พวกเขาเคยกลมเกลียวกัน ทว่าบัดนี้ ‘เหตุการณ์ไม่คาดคิด’ ได้เกิดขึ้นกับลู่เซวียน บรรยากาศจึงไม่เหมือนเดิม
“สหายลู่ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี หากเขาไม่ถูกสุนัขของลี่เฟยกัด คงไม่มีตำแหน่งขุนนางกรมคลังในวันนี้ มา ๆๆ พวกเรามาแสดงความยินดีกับสหายลู่” มีคนเอ่ยขึ้นมาด้วยความอิจฉา
ลู่เซวียนเอ่ยอย่างสงบ “โชคดีเช่นนี้ท่านอยากได้หรือ?”
“อยากสิ เหตุใดจะไม่อยากเล่า? ขอแค่เพียงได้เลื่อนตำแหน่ง ถึงแม้ข้าจะถูกหมาป่ากัดก็คงมีความสุข” คนผู้นั้นเอ่ย “แต่ว่านะสหายลู่ ขาท่านที่ถูกกัด… ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่? อย่าให้เกิดความผิดพลาดใด ๆ เชียว ฮ่า ๆๆ”
ลู่เซวียนผลักแขนคนผู้นั้นออกจากบ่า
“สหายหวังช่างขี้สงสัยอะไรเช่นนี้ ข้าจำลองสถานการณ์หมาป่ากัดให้ท่านได้นะ ท่านจะได้รู้ว่าเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงอะไรกับร่างกายข้าหรือไม่”
“สหายลู่คงมิใจแคบเพียงนั้นกระมัง? ทุกคนเพียงล้อเล่นขบขัน”
“ข้าขอตัว” ลู่เซวียนลุกขึ้น
เหมียวหมิงเหลยเห็นเช่นนี้จึงตามไป
“สหายลู่ คงไม่ได้โกรธแล้วกระมัง?” เหมียวหมิงเหลยเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรสหายหวังเงียบปากมาโดยตลอด อันที่จริงคงไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ”
“ข้าไม่ได้โกรธ” ลู่เซวียนกล่าวเสียงเรียบ “เพียงแต่ดื่มมากเกินไป จึงอยากออกมาสูดอากาศให้สร่างเมาเสียหน่อย”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น จู่ ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเดินมาวางแขนของตนลงบนบ่าลู่เซวียน
“สหายลู่ พวกเราไปดื่มกันต่อเถอะ…”
เป็นคนแซ่หวังเมื่อครู่
ลู่เซวียนขมวดคิ้ว ขณะที่เขากำลังจะเปิดปากเอ่ย จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ทำท่าจะอาเจียนมาทางเขา
ลู่เซวียนถอยหลบได้ทัน ทว่าคนผู้นั้นอาเจียนออกมามากมาย ของเหลวที่น่ารังเกียจยังคงกระเด็นมาโดนเขาเล็กน้อย
“บ่าว! ช่วยพาใต้เท้าหวังไปห้องรับรองแขกหน่อย” เมื่อเห็นเช่นนี้ เหมียวหมิงเหลยจึงจัดการให้บ่าวสองคนพาใต้เท้าหวังไปทันที
เขาหันกลับไปมองลู่เซวียน “เสื้อผ้าของท่านเปื้อนแล้ว กลิ่น… ช่างฉุนจมูกยิ่ง”
เขาปิดจมูกตนเอง แสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมา
“เอาอย่างนี้ รูปร่างท่านพอ ๆ กันกับข้า ข้ามีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใช้ ท่านไปเปลี่ยนก่อนเถอะ”
“ได้” ลู่เซวียนขมวดคิ้วน้อย ๆ
เหมียวหมิงเหลยพาเขาไปยังห้องรับรองแขก สั่งให้บ่าวรับใช้นำเสื้อผ้าใหม่ที่ยังไม่เคยใส่มาให้ เดิมทีเจ้าของบ้านเฝ้าอยู่ข้างนอก ทว่าบ่าวรับใช้มาบอกว่าคนแซ่หวังผู้นั้นอาเจียนอย่างหนัก เขาจึงต้องผละไปดูแลก่อน
“ใต้เท้า” กู้อีเตาเปิดประตูเข้ามา
ลู่เซวียนถอดเสื้อคลุมของเขาออก แล้วเอ่ยกับกู้อีเตา “เตรียมรถม้าพร้อมแล้วหรือยัง?”
“เตรียมพร้อมแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นพวกเราไปเถอะ!”
ลู่เซวียนเหลือบมองกระถางกำยานที่จุดไว้
ลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ตื้นเขินจนเกินไป
ลู่เซวียนนึกถึงตอนที่เขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ตอนนั้นเหมียวหมิงเหลยช่วยเหลือเขาหลายอย่าง แววตาของนายท่านรองลู่จึงเต็มไปด้วยความเสียใจและผิดหวัง
ท้ายที่สุด อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน
เขาหยิบพู่กันและหมึกมาเขียนข้อความ ‘สหายเหมียว จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกไม่สบาย ต้องไปก่อนแล้ว ลาก่อน’
เหมียวหมิงเหลยดื่มสุราไปไม่น้อย สมองของเขามึนงง ทว่าเพื่อน้องสาวของตนแล้ว เขาใช้เล่ห์กลมากมาย ไม่ว่าจะเหนื่อยเพียงใดย่อมจำใจต้องทำ
เดิมทีเขาไม่อยากเชิญสหายร่วมงานคนอื่นมา ทว่านั่นจะดูเป็นการจงใจเกินไป ดังนั้นเพื่อไม่ให้ลู่เซวียนเกิดความสงสัยจึงเชิญเพียงคนที่สนิทมาด้วย ทว่าสุดท้ายแล้วกลับทำก้อนหินหล่นทับเท้าตนเอง
“เสียนจิ้งไปแล้วหรือ?” เหมียวหมิงเหลยเห็นหนิงซื่อเดินมาจึงเอ่ยถาม
“ไปแล้ว” หนิงซื่อเอ่ยเสียงเบา “เพียงแต่ วิธีการนี้ไม่ค่อยดีกระมัง หากใต้เท้าลู่ไม่ยอมรับจะทำอย่างไร?”
“เขาไม่มีทางปฏิเสธ” เหมียวหมิงเหลยเอ่ย “ขอเพียงเราไม่ทิ้งหลักฐาน เขาก็จะคิดว่าตนเมามากเกินไปจึงไปหลับอยู่ในห้องเสียนจิ้ง เสียนจิ้งเองก็เมาเช่นกัน ทั้งสองคนจึงนอนอยู่ในทั้งคืน อย่างไรเสีย เขาย่อมต้องรับผิดชอบที่ทำลายชื่อเสียงของนาง”
“ท่านพี่…” เหมียวเสียนจิ้งเดินสับเท้าเข้ามา “ในห้องไม่มีคน เขาไปแล้ว”
นางส่งข้อความแผ่นนั้นให้เหมียวหมิงเหลย