สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 52 อย่าสะเออะมาทำลายความสงบสุขของข้า
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 52 อย่าสะเออะมาทำลายความสงบสุขของข้า
บทที่ 52 อย่าสะเออะมาทำลายความสงบสุขของข้า
บทที่ 52 อย่าสะเออะมาทำลายความสงบสุขของข้า
“ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าที่เขาทำการค้าขายน่ะรึ?”
ชุดที่มู่ชุนฮวาใส่มีรอยปะ ผมเผ้าของนางแห้งจนเป็นสีทอง ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยกระ ยามนี้นางก็เหมือนกับสาวน้อยส่วนใหญ่ในหมู่บ้านที่มองดูมู่ซือเจียวด้วยความอิจฉา
มู่ซือเจียวเงยหน้าขึ้นพลางชะเง้อคอตอบ “ใช่ พี่ต้ากุยนั่นแหละ”
“อิจฉาเจ้าจริง ๆ ลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามาเยี่ยมทีไรก็มีของขวัญมาฝากเจ้าทุกครั้ง”
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก! ข้ากับลูกพี่ลูกน้องของข้า ตั้งแต่เด็ก ๆ ก็รักใคร่กลมเกลียวกันดี” มู่ซื่อเจียวกล่าว “เจ้าไม่ไปเก็บผักหรือ? ถ้าไปสายจะเก็บได้ไม่พอ แม่ของเจ้าก็จะดุเอานะ ”
“จริงด้วย ข้าต้องไปแล้ว”
มู่ชุนฮวาเดินจากไปอย่างท้อแท้
แม่เฒ่าเจียงเดินออกมาจากข้างในพลางล้วงถุงผ้าที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเขย่า นางเขย่ามันอยู่นานแล้วก็ยื่นเหรียญสิบให้มู่ซือเจียว
“เอ้านี่ เจ้าไปที่ร้านขายเนื้อในหมู่บ้านถัดไป ไปซื้อเนื้อมาสักหน่อย แล้วก็ซื้อเต้าหู้มาสองชิ้น”
“ท่านย่า เงินน้อยแค่นี้ไม่พอหรอกเจ้าค่ะ” มู่ซือเจียวงอแงเป็นเด็กน้อย
“จะไม่พอได้อย่างไร? อย่ามัวแต่คิดที่จะกินตลอดทั้งวัน พี่ชายของเจ้านั้นอีกเดี๋ยวก็ต้องเก็บเกี่ยวนาแล้ว ยังจะไม่รู้จักหัดประหยัดเงินอีก?”
“ท่านย่า แต่ว่าที่เขามาครั้งนี้ก็เพราะจะพาข้าไปเป็นสาวใช้ที่บ้านตระกูลหลี่ พอข้าได้เป็นสาวใช้ที่นั่น ข้าก็จะได้เงินกลับมา หรือไม่ข้าก็ไปเป็นเมียน้อยของบ้านนั้นซะเลย…”
แววตาของแม่เฒ่าเจียงเป็นประกาย
มู่ซือเจียวผิวพรรณดี รูปร่างก็ดี และยังไม่ได้ถูกจับคู่แต่งงานมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่นางตามใจมู่ซือเจียว
บ้านตระกูลหลี่ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา ตระกูลนี้รับราชการอยู่ที่เมืองหลวง เพียงแต่ท่านหลี่ทำเรื่องย้ายกลับมาบ้านเกิดเพื่อพักฟื้นร่างกาย ว่ากันว่าหลานชายและหลานสาวก็อาศัยอยู่กับท่านด้วย
“เจ้าจะทำสำเร็จจริงหรือ?” แม่เฒ่าเจียงถาม
“สำเร็จแน่นอน” มู่ซือเจียวตอบ “ท่านแม่บอกว่า เมียคนที่สองของท่านหลี่เป็นเพื่อนของลุงข้าเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่เฒ่าเจียงก็เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าของหญิงชราตั้งแต่ที่ถงซื่อจากไปก็ได้กลับมาอีกครั้ง
นางเทเหรียญสิบออกมาอีกหนึ่งเหรียญ ครั้นนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางก็เทเหรียญออกมาอีกเหรียญ รวมกันแล้วก็เป็นสามสิบพอดี
“ซื้อเนื้อมาเพิ่มอีกนิด แล้วก็ซื้อเต้าหู้มาสี่ชิ้น”
“เยี่ยมเลยเจ้าค่ะ”
มีเงินเยอะ ๆ ไว้ในมือดีที่สุด
ขากลับมาจากแปลงผัก ระหว่างทางก็ได้พบกับมู่ซืออวี่ มู่ซือเจียวจึงตะโกนใส่ด้วยความหยิ่งยะโส แต่มู่ซืออวี่ก็หาได้ใส่ใจ เดินตรงกลับบ้านไปทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลลู่ มู่ซืออวี่ก็นำของที่อยู่ในตะกร้าวางลงบนพื้น
ค่อก ๆ แค่ก ๆ
ลู่เซวียนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูมู่ซืออวี่กำลังง่วนอยู่กับพืชผักหน้าตาแปลก ๆ พลางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
มู่ซืออวี่ตอบโดยไม่ได้หันไปมอง “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
“ใครอยากรู้กันล่ะ? ประหลาดชะมัด”
“ไม่อยากรู้แล้วถามเพื่ออะไร?”
“ฮึ่ม!”
ลู่ฉาวอวี่แบกฟืนกลับมาบ้าน เขาเอาฟืนไปไว้ในครัว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกและเดินผ่านหน้ามู่ซืออวี่ไป
มู่ซืออวี่ยุ่งเสียจนไม่ได้สนใจเขา
ลู่ฉาวอวี่เม้มริมฝีปากแล้วพูดออกมาด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ท่านพ่อขึ้นเขาไปได้สามวันแล้ว”
มู่ซืออวี่ได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมามอง นางกะพริบตาก่อนจะถามด้วยสีหน้าสงสัย “ใช่ สามวันแล้ว มีอะไรหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่จ้องมองนาง
มู่ซืออวี่งงหนักยิ่งกว่าเดิม
ช่วงนี้นางยังไม่ได้ทำอะไรงั้นหรือ?
นางทำอาหารมื้ออร่อยทุกวันครบสามมื้อ รอจนทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยถึงได้มีเวลาทำธุระของตัวนางเอง ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีให้เขาเลยนี่นา
ลู่ฉาวอวี่เดินตึงตังออกไปด้วยความโกรธ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย?” มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ลู่เซวียนกลอกตามองบน ใบหน้าขาวซีดของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “นี่เจ้าไม่มีสมองหรือไง? สามีเจ้าขึ้นเขาไปได้สามวันแล้ว เจ้าไม่เป็นห่วงรึ?”
“เขาแข็งแรงปานนั้น ทำไมข้าจะต้องเป็นห่วงเขาด้วย?” มู่ซืออวี่พูดไปตามความเป็นจริง “กังวลก็แต่ว่าพวกเหยื่อจะหลุดรอดมือเขาไปนี่แหละ”
ลู่เซวียน “…”
พี่ชายของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เรื่องอะไรที่จะต้องประจบเอาใจนาง?
เตือนภรรยาของพี่ชายไปก็ไม่มีผลอะไร เพราะพี่ชายเขาก็ไม่รับรู้อยู่ดี
จากนั้นมู่ซืออวี่ก็ง่วนอยู่กับงานในมือ
นางคิดเช่นนั้นจริง ๆ ว่าลู่อี้ไม่มีอะไรให้นางต้องเป็นห่วง เพราะถึงอย่างไรผู้ชายคนนั้นก็คือหัวหน้าวายร้ายที่อยู่รอดมาได้จนถึงตอนจบ
ในหนังสือต้นฉบับ ลู่อี้ หัวหน้าวายร้ายผู้นี้มีอายุยืนยาวกว่าลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นเสียอีก หลังจากที่วายร้ายตัวน้อยทั้งสองเสียชีวิตลง ลู่อี้ก็รู้สึกว่าไม่เหลืออะไรที่จะรั้งเขาให้อยู่ต่อบนโลกนี้อีกแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง
ลู่เซวียนมองมู่ซืออวี่เปลี่ยนพืชผักพวกนั้นให้เป็นสีต่าง ๆ หลังจากนั้นก็นำสีต่าง ๆ เหล่านั้นไปทาลงบนหีบที่นางทำเอง
หีบนี้ไม่เพียงทำอย่างประณีตเท่านั้น แต่ยังแกะสลักด้วยลวดลายที่งดงามมากอีกด้วย
นางทำมันออกมาทั้งหมดห้าใบ แต่ละใบมีลวดลายแตกต่างกันไป ดอกโบตั๋นขับให้ดูหรูหรา ดอกกุหลาบสวยงามอ่อนโยน ดอกเหมยเยือกเย็นเย่อหยิ่ง ดอกป่ายเหอดูสง่างาม ดอกบัวชูช่อพ้นน้ำไม่จมอยู่กับโคลนตม แต่ละหีบทาสีแตกต่างกันตามสีของดอกไม้
แม้ว่าลู่เซวียนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้นำมาใช้ แต่เมื่อเขาได้เห็นหีบเหล่านั้น เขาก็ต้องยอมชมว่าพวกมันประณีตและงดงามมาก
นางยุ่งมาหลายวัน ทำไม้เสียไปก็ไม่น้อย ที่แท้ก็เพียงเพื่อการสร้างหีบเหล่านี้ แม้แต่ช่างไม้ในเมืองก็ยังสู้ฝีมือนางไม่ได้
แอ๊ด…
ไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดออก
ลู่อี้เดินหิ้วแพะตัวใหญ่เข้ามา
มู่ซืออวี่ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ “สุดยอดไปเลย”
ลู่อี้ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ทำเป็นมองไปทางอื่น
สายตาของนางเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมจนแทบจะไม่ปิดบังการยกย่อง พร้อมกับอุทานคำชมออกมา เปรียบดั่งลูกไฟที่ถูกทำให้เย็นลงจนกลายเป็นน้ำแข็ง เขาไม่คุ้นเคยกับการแสดงออกเช่นนี้เลย ชายหนุ่มจึงวางแพะลงด้วยท่าทางเกร็งเล็กน้อย
“ท่านพี่ ในที่สุดก็กลับมา” ลู่เซวียนหัวเราะขึ้นมา
เมื่อลู่ฉาวอวี่ได้ยินเสียงดัง เขาก็โผล่เข้ามา
เดิมทีก่อนหน้านี้เขายังทะเลาะกันอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาเย็นลงแล้ว และใบหน้าน้อย ๆ ที่คล้ายคลึงกับลู่อี้ก็ดูน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง
ลู่จื่ออวิ๋นขยี้ตาแล้วเดินออกมา
ก่อนหน้านี้นางงีบตอนบ่ายอยู่ในห้อง เพิ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงดัง
“ท่านพ่อ” เสียงอบอุ่นนุ่มนวลช่างไพเราะนัก
“ลูกอวิ๋น เจ้ารีบมาดูเร็วเข้า ท่านพ่อของเจ้าจับตัวอะไรใหญ่ ๆ มาได้อีกแล้ว”
“โอ้โห….” ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งมาหาแต่โดยดี
แพะตัวนี้ยังมีชีวิต มันกำลังดิ้นทุรนทุรายพร้อมกับส่งเสียงร้องในเวลาเดียวกัน
“พรุ่งนี้ข้าจะเอามันไปขายในเมือง” คราวนี้ก็จะได้มีเงินไปซื้อยาให้ลู่เซวียนแล้ว
ยาของลู่เซวียนใกล้จะหมดแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันจนกว่าเขาจะสามารถจับเหยื่อได้
ห้ามหยุดให้ยาลู่เซวียน มิฉะนั้นร่างกายของเขาจะทนรับสภาพไม่ไหว และจะประคองต่อไปได้อีกไม่นานนัก
“ดีเลย ข้าก็ว่าจะเข้าเมืองอยู่พอดี ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไปด้วยกัน” มู่ซืออวี่กล่าว
ลู่อี้ได้แต่ส่งเสียงอ้ำอึ้ง
“เจียวเจียว เจ้าอยากไปเป็นสาวใช้บ้านตระกูลหลี่จริงรึ?” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างนอก
จากนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น “ก็จริงน่ะสิ ลูกพี่ลูกน้องของข้าบอกว่าข้าจะได้เป็นสาวใช้ชั้นสองของครอบครัวท่านหลี่ทันทีที่ข้าไปถึง และหลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็จะได้ขึ้นไปเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่ง”
เมื่อพูดถึงประโยคนี้ เจ้าของเสียงก็ตั้งใจเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น เพราะกลัวว่าคนข้างในจะไม่ได้ยิน
มู่ซืออวี่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก
มู่ซือเจียวคนนี้เสียสติไปแล้วหรือเปล่า? เป็นลูกผู้ดีมีตระกูลอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ แต่กลับอยากไปขายตัวเป็นทาสรับใช้ผู้อื่น
เมื่อรับรู้เรื่องราวเช่นนี้แล้ว การตัดสินใจเช่นนี้ยังควรค่าแก่การสรรเสริญอยู่อีกหรือ?
“ข้าอิจฉาเจ้าจริง ๆ ข้าเห็นสาวใช้ของพวกตระกูลที่ร่ำรวยเหล่านั้นได้สวมเสื้อผ้าสวย ๆ มีเครื่องประดับดี ๆ ใส่ แถมยังมีเงินใช้ทุกเดือน เจียวเจียว ต่อไปเจ้าจะได้อยู่อย่างสุขสบายแล้วล่ะ”
“ก็คงจะแบบนั้นแหละ” มู่ซือเจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ไม่เหมือนใครบางคนที่พยายามมาทั้งชีวิตก็เป็นได้แค่เมียบ้านนอกที่มีชีวิตแร้นแค้น”
“โอ้โห! เครื่องประดับผมผีเสื้อบนหัวเจ้าสวยจัง”
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าซื้อมาฝากน่ะ” มู่ซือเจียวโอ้อวด “ลูกพี่ลูกน้องข้าใจดีมาก ไม่เหมือนใครบางคนที่ชาตินี้คงไม่มีวันได้ใส่เครื่องประดับที่สวยงามเช่นนี้”
มู่ซืออวี่ยกถังใส่น้ำล้างผักที่อยู่มุมสนามขึ้นมา ก่อนจะเปิดประตูแล้วเทน้ำสาดออกไปข้างนอก
“ว้าย!” มู่ซือเจียวโวยวายเสียงดัง “มู่ซืออวี่! นังชั้นต่ำ…”
“นังชั้นต่ำนี่มันใครกันแน่?” มู่ซืออวี่มองมู่ซือเจียวด้วยสายตาเย็นชา “นี่มันบ้านข้า ข้าอยากจะทำอะไรก็ทำ ถ้าไม่อยากโดนสาดน้ำใส่ ก็อย่ามานั่งเกะกะแถวนี้ อย่าสะเออะมาทำลายความสงบสุขของข้า”
“มู่ซืออวี่! ข้ารู้นะว่าเจ้าน่ะริษยาข้า เจ้าคอยดูต่อไปเถอะ ถ้าข้าได้ไปเป็นสาวใช้เมื่อไหร่ เจ้าเจอดีแน่!”
“อุ๊ยตาย! แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพอเป็นทาสรับใช้แล้วจะมีสิทธิ์มาข่มเหงรังแกคนอื่นได้ เจ้าช่วยใช้สมองคิดให้ดี ๆ เถอะ ไปเป็นคนรับใช้ตระกูลเศรษฐี มันก็คือทาสรับใช้นั่นแหละ จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับเจ้านาย ถามจริงเถอะ ใครเป็นคนสอนเจ้าผิด ๆ ว่าเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลเศรษฐีแล้วจะมาอวดเบ่งได้?”
“ถึงข้าจะมีชีวิตที่แสนธรรมดาในหมู่บ้านนี้ แต่ข้าก็มีครอบครัวที่ดี ไม่ต้องตกไปเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าเป็นทาสรับใช้เหมือนเจ้า!”