สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 528 รับลูกศิษย์
บทที่ 528 รับลูกศิษย์
บทที่ 528 รับลูกศิษย์
นางเพิ่งกลับมาจากอาบน้ำและให้จื่อซูและจื่อเยวี่ยนกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเองแล้ว ฮูหยินลู่ตั้งใจว่าจะเข้านอนทันที
“ต้องดับเทียนอย่างไรนะ…”
นางเพิ่งเปิดประตูเข้ามา ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทับอย่างรวดเร็ว
กลิ่นสุราโชยหึ่ง
ร่างของนางแข็งขืนขึ้นมากะทันหัน ขณะที่นางกำลังจะถีบเขาให้ออกไปก็พลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย
ความสูงที่คุ้นเคย อุณหภูมิที่คุ้นเคย …ที่คุ้นเคย
ลู่อี้กักตัวนางไว้กับประตู มือหนึ่งรั้งศรีษะให้เข้าไปหา ส่วนอีกมือกอดเอวนางเอาไว้ เขาโน้มลงมาแนบริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนริมฝีปากของนาง
“อื้อ…”
มู่ซืออวี่รู้สึกว่าร่างกายของนางร้อนราวกับอยู่ในกองเพลิง เพลิงกองนี้ลุกโชติช่วงขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะเผาเจ้าของร่างให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
อุณหภูมิร่างกายของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
ข้างนอกอากาศหนาวเย็นอย่างเห็นได้ชัด แต่ภายในห้องกลับร้อนระอุ
ลู่อี้ดื่มสุรามา ทว่าหลังอาบน้ำ นอกจากกลิ่นสุราจาง ๆ แล้วก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ที่ทำจากสมุนไพรเจ้าเจี่ยวด้วย
เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่ใช้การกระทำพิสูจน์ว่าตนเองคิดถึงภรรยาเพียงไหน
“สามี ทำตรงนี้ไม่ได้…” มู่ซืออวี่กอดก่ายอยู่บนร่างเขา “พวกเราไปตรงนั้นเถอะ…”
ลู่อี้ไม่กล่าวสิ่งใด ไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือไม่ แต่ถึงแม้จะได้ยิน ก็เกรงว่าจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินนี่สิ
คืนนี้เขาดุดันเป็นพิเศษ
บางทีนี่อาจเป็นการพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า ‘ยิ่งห่างไกลยิ่งทำให้รักกัน’
ลู่อี้ทำตัวราวกับเป็นเด็กหนุ่ม เขากอดนางเอาไว้แน่นหนา ปกป้องร่างนางไม่ให้นางชนเข้ากับโต๊ะเก้าอี้เหล่านั้น
ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องใช้โต๊ะเก้าอี้เหล่านั้นร่วมกิจกรรมนี้ด้วย ทว่ารู้ตัวอีกทีก็ใช้มันไปแล้ว
“ที่นั่นสุขสบายจนลืมกลับจวนแล้วหรือ?” ในที่สุดลู่อี้ก็เปิดปาก “หากไม่ใช่ใต้เท้าทุกท่านส่งคนไปเร่งให้กลับ เกรงว่าฮูหยินจะลืมไปแล้วว่ายังมีสามีที่อยู่ตามลังพังในห้องอันว่างเปล่านี้”
“ใต้เท้าทุกท่านส่งคนไปเร่ง แต่ท่านไม่ได้ส่งคนไปเร่งนี่ เห็นได้ชัดว่าใช้ชีวิตสุขสบายดี” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ข้าไม่ได้เร่งรัด เพราะอยากเห็นว่าคนใจดำอย่างเจ้าจะคิดถึงข้าเมื่อใด ท้ายที่สุดเจ้าก็ไม่ได้คิดถึงข้าอยู่ดี”
“ผู้ใดกล่าวกัน? ทุกวันข้าเอาแต่คิดถึงท่าน…”
“ฮูหยินคิดจะพิสูจน์อย่างไรหรือ?” ลู่อี้ขบเม้มคอนางเบา ๆ “สามีจะตั้งตารอ”
บางทีอาจเป็นเพราะอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ความเร่าร้อนภายในห้องจึงจางหายไปเป็นเวลานาน
หรือบางทีอาจเป็นเพราะวสันตฤดูใกล้มาเยือน เสียงร้องครวญครางราวกับแมวจึงดังอยู่แทบทั้งคืน แม้กระทั่งพระจันทร์ยังหลบอยู่ในม่านเมฆ ไม่ยอมโผล่ออกมา
มู่ซืออวี่ซบอยู่บนอกของลู่อี้ นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นที่แสนนุ่มสบาย
นางเล่าเรื่องที่ไปพักผ่อนกับฮูหยินหรงให้ฟัง ทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องที่แม่นางสกุลหานขอซื้อเรือนพักร้อนด้วย
ลู่อี้รู้เรื่องฮูหยินหรงตั้งแต่แรกแล้ว เขาบอกให้มู่ซื่ออวี่สบายใจได้ ฮูหยินหรงผู้นั้นไม่มีอันใดให้ต้องเกรงกลัว ส่วนฝ่ายหลัง…
“สกุลหานเป็นพ่อค้าประจำราชสำนัก นำผ้าแพรไหม เครื่องเคลือบลายคราม จากพวกเราไปขายที่นอกด่าน แล้วซื้อปศุสัตว์จากนอกด่านมายังภาคกลาง” ลู่อี้เอ่ย “สกุลหานค่อนข้างมั่งคั่งจริง ๆ”
“ดูเหมือนข้าต้องขยันหาเงินเสียแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าไม่อาจทนให้คนนำเงินมาฟาดหัวได้”
ลู่อี้ลูบผมของภรรยา ค้อมศีรษะลงจูบหน้าผากนางอย่างรักใคร่ “ได้ ฮูหยินเพียงแค่หาเงินก็พอ ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการ”
วันต่อมา ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปในหอซือเป่า
สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่นาง
“จื่ออวิ๋น” คนผู้หนึ่งเข้ามาทักทายลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มให้นางแล้วเอ่ยว่า “พี่หญิงฟาง”
ฟางเหยาเดินเข้ามาแล้วลดเสียงลง “เจ้าได้ยินหรือไม่? ท่านเจ้าหอและผู้ดูแลสองท่านจะเลือกลูกศิษย์ในหมู่พวกเรา”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“ข้าเพียงแต่ได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น ทว่าเหล่าผู้ดูแลไม่ได้ออกมาอธิบายอะไร แต่จากที่ฟังพวกเขากล่าวแล้ว คนที่เอ่ยเรื่องนี้เป็นคนแรกคือพี่หญิงฮวาหรง”
ลู่จื่ออวิ๋นมองไปทางฮวาหรง
วันนี้นางเปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูเหมือนจะไปพบเจอเหตุการณ์น่ายินดีบางอย่างมา
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ พวกเราเพียงทำงานในมือเถิด” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หยางเจิงเล่า? เหตุใดจึงไม่เห็นนางเจ้าคะ?”
“ได้ยินว่านางป่วย จึงลาหยุดสองวันน่ะ” ฟางเหยาเอ่ย “จื่ออวิ๋น ฝีมือของเจ้าดี ครานี้จะต้องมีที่ของเจ้าเป็นแน่”
“นั่นคงไม่มีทาง”
ฮวาหรงมองมาทางลู่จื่ออวิ๋น สายตาของนางเต็มไปด้วยความดูถูก
ฮวาหรงเป็นญาติของท่านเจ้าหอสวี ไม่แปลกใจที่นางเย่อหยิ่งเพียงนั้น นั่นเป็นเพราะนางแน่ใจว่าตนจะต้องได้รับการคัดเลือกอย่างแน่นอน
“ฮวาหรง ฟางเหยา ลู่จื่ออวิ๋น ท่านเจ้าหอสวีเรียกพวกเจ้าไปพบ”
“เจ้าค่ะ” เสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อม ๆ กัน
คนอื่นล้วนมองพวกนางสามคนด้วยความอิจฉา
“หึ!” ฮวาหรงแค่นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา นางเดินกระแทกไหล่ลู่จื่ออวิ๋น แล้วก้าวนำหน้าไปก่อน
ฟางเหยาเข้าไปประคองลู่จื่ออวิ๋น “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นไม่ถือสาหาความ “ไปกันเถอะ!”
นอกจากท่านเจ้าหอสวีแล้วยังมีซ่งกูกูและผู้ดูแลเมิ่งอยู่ในห้องด้วย
เมื่อเห็นพวกนางปรากฏตัวขึ้น หลายคนก็เหลือบมองหลายครั้งหลายครา
ต้องยอมรับว่า รูปโฉมและบรรยากาศรอบกายของลู่จื่ออวิ๋นโดดเด่นจริง ๆ
เมื่อหันกลับไปมองฟางเหยาและฮวาหรงอีกครั้ง รูปโฉมของฟางเหยาราวกับดอกบัวเขียว ดูไปแล้วเรียบง่ายไม่สะดุดตา ยิ่งมองยิ่งทำให้คนรู้สึกสงสาร
ขณะที่ฮวาหรงดูเย่อหยิ่งเล็กน้อย รูปโฉมของนางไม่จัดว่าดีนัก แต่สายตาของนางกลับดูทะนงตน
“วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะอยากจะบอกเรื่องหนึ่ง” ท่านเจ้าหอสวีเอ่ยด้วยท่าทีเมตตา “พวกเราสามคนจะรับลูกศิษย์ พวกเจ้าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของที่นี่ เคยคิดไว้หรือไม่ว่าอยากเรียนรู้จากผู้ใด?”
“ข้า…” ฮวาหรงเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “แน่นอนว่า ข้าอยากเรียนรู้จากท่านเจ้าหอ”
ท่านเจ้าหอมองมาด้วยท่าทีฉุนเฉียว “เจ้าเอาแต่ก่อความวุ่นวาย”
ฮวาหรงเอ่ยด้วยความอับอาย “ข้าเข้าหอซือเป่าเพราะนับถือท่านเจ้าหอ”
“ทั้งซ่งกูกูและผู้ดูแลเมิ่งล้วนเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดของที่นี่ เจ้าติดตามพวกนางก็สามารถเรียนรู้ได้” สิ้นคำนั้น ท่านเจ้าหอสวีก็หันไปมองลู่จื่ออวิ๋น “เจ้าหนูลู่ เจ้ายินดีเรียนรู้จากข้าหรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาปริบ ๆ “ข้าหรือ?”
“ใช่ ข้าเห็นว่าเจ้ามีพรสวรรค์ไม่เลว ทั้งยังดูมีนิสัยที่เข้ากันกับข้าได้เป็นอย่างดี” ท่านเจ้าหอเอ่ย “เป็นอย่างไร?”
“ข้ายินดีเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้ไตร่ตรองนานนัก
ทักษะฝีมือของท่านเจ้าหอล้ำเลิศ คนในวังเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนที่นางอบรมมา แน่นอนว่าโอกาสเช่นนี้ไม่อาจพลาดไปได้
“ท่านเจ้าหอ…” ฮวาหรงไม่พอใจขึ้นมา
ท่านเจ้าหอสวีชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง
ฮวาหรงไร้ทางเลือก ได้แต่เงียบปากไป
“ฟางเหยา เจ้ายินดีเรียนรู้จากข้าหรือไม่?” ซ่งกูกูเอ่ยอย่างอ่อนโยน
ฟางเหยาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฟางเหยายินดีเจ้าค่ะ ขอบคุณซ่งกูกู”
“เจ้ายังเรียกข้าว่ากูกูอีกหรือ?” ซ่งกูกูหัวเราะออกมาน้อย ๆ
“อาจารย์” ฟางเหยาคุกเข่าลงโขกศีรษะ
สำหรับฮวาหรง ตอนนี้เหลือเพียงผู้ดูแลเมิ่งเท่านั้น
ผู้ดูแลเมิ่งเอ่ยอย่างสงบ “ติดตามเรียนจากข้าได้ แต่ห้ามบ่นว่าลำบาก ห้ามบ่นว่าเหนื่อย ห้ามขอล้มเลิก…หากทำไม่ได้ เจ้าออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีกว่า”
ฮวาหรงยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
หากนางออกไปตอนนี้ เช่นนั้นจะไม่ทำให้ผู้อื่นขบขันเอาหรือ?
อย่างน้อยนางก็ยังได้รับเลือก
“ท่านเจ้าหอ ไม่ถูกสิ ท่านอาจารย์…” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับท่านเจ้าหอสวี “ในหอซือเป่าเรามีศิษย์ใหม่ ๆ ที่โดดเด่นมากมาย ท่านอาจารย์และผู้ดูแลทั้งสองท่าน แต่ละคนล้วนมีที่ให้ศิษย์เพียงหนึ่งคน เช่นนั้น ที่ว่างสามารถผ่อนปรนได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าหมายความว่า…” ซ่งกูกูเอ่ยถาม
“ศิษย์หมายถึงพวกเราแต่ละคนจะเลือกผู้ช่วยสามคน เช่นนี้หากเจอรายการสั่งซื้อใหญ่ พวกเราจะได้ทำทันเจ้าค่ะ”