สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 529 ความยากลำบากของหยางเจิง
บทที่ 529 ความยากลำบากของหยางเจิง
บทที่ 529 ความยากลำบากของหยางเจิง
ท่านเจ้าหอสวียอมรับข้อเสนอแนะของลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นเลือกศิษย์สองคนที่ปกติมีฝีมือไม่เลว และเหลือตำแห่งสุดท้ายไว้ให้หยางเจิง
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหยางเจิง นางไม่ได้มาทำงานเป็นเวลาสามวันติดต่อกันหลังจากลู่จื่ออวิ๋นกลับมา เมื่อฟังจากที่ศิษย์คนอื่น ๆ พูดกัน นางจึงได้รู้ว่าก่อนหน้าที่ตนจะกลับมา หยางเจิงไม่ได้มาทำงานเป็นเวลาสองวันแล้ว
“นี่คือที่ที่หยางเจิงอยู่หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นมองเรือนชำรุดทรุดโทรมตรงหน้า แล้วหันกลับไปถามสวีมู่เวยศิษย์อีกคนที่พานางมาที่นี่
“ที่น่ะแหละ” สวีมู่เวยเอ่ย “มีครั้งหนึ่งข้าพบหยางเจิงบนถนนเส้นนี้ ข้าเห็นว่านางถือข้าวของมามากมาย จึงช่วยนางถือกลับมา ข้าจำได้ว่าเป็นที่นี่”
ลู่จื่ออวิ๋นเคาะประตู
“มาแล้ว ๆ”
สตรีซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนผู้หนึ่งออกมาเปิดประตู
ใบหน้าของสตรีนางนั้นเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เปลือกตาของนางตกทำให้ดูเศร้าหมอง เมื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋นและสวีมู่เวย ร่างกายของนางพลันหดลงยิ่งกว่าเดิม เผยท่าทีราวกับผู้ต่ำต้อยที่ขลาดกลัวยามเห็นผู้มั่งมี
“พวกท่านมาหาใครหรือ?”
“พวกเรามาหาหยางเจิงเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นตอบ
“เจิงเอ๋อร์หรือ?…” สตรีนางนั้นเงยหน้าขึ้นมองลู่จื่ออวิ๋น “นางไม่สบาย ไม่อาจพบแขกได้”
“ป่วยหรือ? ท่านหมอว่าอย่างไรเจ้าคะ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามอีกครั้ง
สตรีนางนั้นหัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน “คนอย่างพวกเราจะมีปัญญาไปหาท่านหมอได้อย่างไร? อีกไม่กี่วันนางก็ดีขึ้นเอง”
“พวกข้าเป็นสหายหยางเจิง ข้าอยากพบนาง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านน้า ให้พวกเราเข้าไปดูนางหน่อยได้หรือไม่?”
“นี่…”
“โธ่เอ๊ย แม่หยางเจิง ไม่ง่ายเลยที่นางจะมีสหายมาหา เจ้าจะห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปได้อย่างไร?” เสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้น
จากนั้นก็มีเสียงคนอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
แม่หยางเจิงเปิดประตูอย่างกระอักกระอ่วน แล้วเชิญทั้งสองคนเข้าไป
เพียงเท่านั้นเอง ลู่จื่ออวิ๋นจึงได้รู้ว่าภายในไม่ได้มีเพียงครอบครัวเดียว แต่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่รวมกัน คนที่พูดขึ้นเมื่อครู่กำลังซักผ้า ภายในสวนมีบ่อขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สตรีนางนั้นกำลังง่วนอยู่กับการบิดผ้าปูเตียงเพื่อตาก
คนอื่น ๆ ล้วนยุ่งอยู่กับการงานของตน เสียงพูดคุยสนทนาดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า เมื่อลู่จื่ออวิ๋นและสวีมู่เวยเข้าไป สายตาคู่หนึ่งก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของนาง
“เด็กดีของข้า เทพธิดาน้อยมาจากที่ใด?…”
“แม่นางน้อยผู้นี้หน้าตางดงามจริง ๆ เลย…”
“บิดามารดาแบบไหนกันที่คลอดนังหนูหน้าตาเช่นนี้ออกมาได้ หากนังหนูบ้านข้าเติบโตมาหน้าตาอย่างนี้ แม้แต่ดวงดาวบนฟ้า ข้าก็จะไปเอามาให้นาง”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปในบ้านของหยางเจิงท่ามกลางสายตาชื่นชมของทุกคน
ทันทีที่เข้าไปในห้อง กลิ่นแปลก ๆ ก็ตีเข้ามาที่จมูกทันที
จากนั้นนางจึงเห็นสายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างกระตือรือร้น
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นน้องชายน้องสาวหยางเจิงกระมัง?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาชอบทานอะไร จึงซื้อขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ มา ท่านแบ่งกันกับพวกเขาเถิด!”
“ขอบคุณ” แม่หยางเจิงรับห่อกระดาษจากลู่จื่ออวิ๋นไป “หยางเจิงอยู่ในห้องนี้ เข้ามาเถอะ”
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นเพียงหยางเจิงนอนซมอยู่บนเตียง
“หยางเจิงตัวร้อนมาก” ลู่จื่ออวิ๋นสังเกตได้ว่ามีอย่างผิดปกติ จึงเอ่ยกับสวีมู่เวย “มู่เวย รบกวนเจ้าไปเชิญท่านหมอมาหน่อยได้หรือไม่?”
“ได้!” สวีมู่เวยวิ่งออกไปทันที
“นางไม่ได้บอบบางถึงเพียงนั้นหรอก” แม่หยางเจิงเอ่ย “คนอย่างพวกเราต้องจัดการกับโรคภัยไข้เจ็บด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หยางเจิงเป็นไข้เช่นนี้ เมื่อก่อนนางก็หายเอง”
“ที่บ้านมีน้ำร้อนหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม “ข้าต้องเช็ดตัวให้นาง”
“มี ๆ” แม่ยางเจิงรู้สึกว่าแม่นางน้อยตรงหน้ามีบรรยากาศรอบกายที่แตกต่างออกไป ราวกับมิใช่เพียงแม่นางจากครอบครัวธรรมดาสามัญ ยามพูดคุยกับอีกฝ่าย นางถึงได้ตัวสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลา
ลู่จื่ออวิ๋นเช็ดตัวให้หยางเจิง
หยางเจิงยื่นมือออกมาจับมือของลู่จื่ออวิ๋นเอาไว้แน่น นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างง่วงงุนแล้วเอ่ยถาม “จื่ออวิ๋น นั่นเจ้าหรือ?”
“ข้าเอง” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ไม่ต้องกลัว ข้าให้สวีมู่เวยไปเรียกท่านหมอมาแล้ว”
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว ข้าจึงถามสวีมู่เวย นางรู้ว่าบ้านเจ้าอยู่ที่ใด ข้าจึงมาโดยไม่ได้รับเชิญแล้ว”
“บ้านข้าไม่ดีพอ ทำให้เจ้าขบขันแล้ว”
“พูดอะไรกัน?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยปลอบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้ายังมีไข้”
สวีมู่เวยพาท่านหมอมาที่นี่อย่างรวดเร็ว
ท่านหมอเขียนเทียบยาให้ จากนั้นจึงแนะนำสองคำแล้วจากไป สวีมู่เวยตามท่านหมอไปจัดยา หลังจากได้ยาแล้วจึงกลับมา
“ท่านน้า ท่านไปต้มยาให้หยางเจิงเถิด” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นแม่หยางเจิงอยู่ตรงนั้นจึงเอ่ยเตือน
“ได้ ๆ ข้าจะไปต้มเดี๋ยวนี้”
หยางเจิงร่างกายร้อนผ่าว สับสนมึนงงไปหมด นางรู้เพียงว่าลู่จื่ออวิ๋นอยู่ตรงนี้ จับมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย
สวีมู่เวยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอก็เชิญมาแล้ว ยาก็ซื้อมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับกันเถอะ!”
แม้สวีมู่เวยจะเคยมาที่นี่มาก่อน ทว่านางเพียงแค่วางของไว้แล้วกลับไป ตอนนี้หลังจากอยู่ที่นี่เป็นเวลานานก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ลู่จื่ออวิ๋นมองท้องฟ้าด้านนอกจึงรู้สึกตัวว่าไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้นานกว่านี้แล้ว
“ท่านน้า พวกเราต้องกลับก่อนแล้ว ท่านดูแลหยางเจิงให้ดีขึ้นเถิด หากนางหายดีแล้ว ให้นางรีบกลับไปทำงานที่หอซือเป่าตั้งแต่เนิ่น ๆ ข้ามอบโอกาสดี ๆ ให้นางแล้ว ภายหน้าค่าจ้างของนางจะสูงขึ้น”
แม่หยางเจิงลังเลชั่วครู่ จากนั้นจึงเปิดปากขึ้น “หยางเจิงจะไม่กลับไปแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?” สวีมู่เวยเอ่ยถาม
“น้าของนางพูดคุยกับครอบครัวหนึ่งไว้แล้ว ครอบครัวนั้นพอมีเงิน พวกเขายินดีที่จะให้สินสอดห้าสิบตำลึงเงิน หยางเจิงก็ไม่ใช่เด็ก ถึงเวลาที่จะพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว”
“นางยินยอมหรือเจ้าคะ?”
“งานแต่งที่ดีเช่นนี้ แน่นอนว่านางยินยอม” แม่หยางเจิงตอบพลางหลบสายตา
ลู่จื่ออวิ๋นมองแวบเดียวก็เข้าใจเจตนาอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่ง
หยางเจิงย่อมไม่ยินยอมเป็นแน่ บางทีการที่นางป่วยอาจเป็นเพราะเรื่องนี้
“ท่านน้า เดิมทีเรื่องในบ้านพวกท่านข้าไม่ควรพูดมาก ทว่าหยางเจิงเป็นสหายข้า ข้าจึงอยากเอ่ยสักสองสามคำ หยางเจิงชอบหอซือเป่าเป็นอย่างยิ่ง นางต้องการแสดงความสามารถที่มีออกมาให้เต็มที่ อีกไม่นาน นางก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าหอแล้ว ภายหน้าแต่ละปีนางจะได้รับเงินเดือนมากกว่าห้าสิบตำลึงเงิน หากนางประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ งานเย็บปักถักร้อยชิ้นหนึ่งของนางจะมีค่ามากกว่าเดิมหลายเท่า พวกท่านจะสนใจผลประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราวจากการแต่งงานได้อย่างไร?”
ลู่จื่ออวิ๋นติดตามมู่ซืออวี่มาตั้งแต่ยังเล็ก นางพบเห็นเรื่องราวมากมายในร้านสาวทอผ้า ต่อมาเมื่อเข้าหอซือเป่าซึ่งไม่ใช่สถานที่สงบเงียบอะไรนัก ดังนั้นถึงแม้นางจะยังเยาว์ก็พูดจาได้สอดรับกันประโยคแล้วประโยคเล่า ดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
“พวกเรารับสินสอดมาแล้ว ตอนนี้จะเสียดายก็คงจะสายเกินไป” แม่หยางเจิงเอ่ยด้วยความลำบากใจ
“พวกท่านเพียงแค่คืนสินสอดกลับไปเท่านั้น มีอันใดไม่ทันกัน?”
“อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่พวกเราสามารถล่วงเกินได้”
“จื่ออวิ๋น…” หยางเจิงเรียกลู่จื่ออวิ๋น “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า รีบกลับไปเถอะ! ที่นี่วุ่นวายนัก นี่ก็เย็นย่ำแล้ว กลับช้าจะไม่ปลอดภัย”
“ข้า…”
สวีมู่เวยดึงลู่จื่ออวิ๋นแล้วเอ่ยขึ้น “หยางเจิงพูดถูก เรื่องนี้ไม่รีบร้อน หยางเจิงยังป่วยอยู่ พวกเขาหามนางไปแต่งงานไม่ได้ พวกเรากลับกันก่อน วันหลังค่อยว่ากัน”
ลู่จื่ออวิ๋นมองสวีมู่เวยแล้วพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย
หลังออกมาจากบ้านนั้นแล้ว สวีมู่เวยเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋นว่า “ก่อนที่เจ้าจะมา ข้ากับหยางเจิงสนิทกันที่สุด เรื่องของนางข้าพอได้ยินมาบ้าง”
“ข้ารู้ว่าครอบครัวนางยากลำบาก น้องสาวน้องชายก็มาก ทว่านึกไม่ถึงว่าครอบครัวจะปล่อยให้นางแต่งงานตั้งแต่ยังเล็กเช่นนี้” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“หยางเจิงอายุสิบห้าแล้ว ในครอบครัวคนทั่วไป อายุเท่านี้การแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดา” สวีมู่เวยเอ่ย “เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว ครอบครัวนางมีน้องสาวน้องชายมากมายจนพวกเขาแทบเลี้ยงไม่ไหวแล้ว”