สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 530 ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว
บทที่ 530 ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว
บทที่ 530 ลู่อี้ได้เลื่อนขั้นแล้ว
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นกลับมาถึงบ้าน แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ก็หายลับไปแล้ว ทั่วทั้งโลกปกคลุมด้วยความมืดมิด
เสียงอึกทึกรวมไปถึงเสียงบุรุษพูดคุยสรวลเสเฮฮาดังมาจากข้างใน เสียงของเหล่าบุรุษดังเสียจนได้ยินมาแต่ไกลแล้ว
“ที่บ้านมีแขกหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามพ่อบ้าน
พ่อบ้านกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “สหายร่วมงานมาร่วมแสดงความยินดีกับนายท่านขอรับ”
“แสดงความยินดีหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นยังไม่เข้าใจนัก
“นายท่านมีเรื่องน่ายินดีขอรับ คุณหนูเข้าไปก็จะทราบเอง” พ่อบ้านทำท่าทีมีเลศนัย
ลู่จื่ออวิ๋นไปหามู่ซืออวี่ก่อน บ่าวรับใช้กล่าวว่าท่านแม่กำลังรับรองแขก ฮูหยินหลายท่านก็มาที่นี่เช่นกัน
นางกำลังจะถามว่ามู่ซืออวี่อยู่ที่ใด มู่ซืออวี่ก็รู้ว่าลูกสาวกลับมาแล้วจึงสั่งให้ลู่จื่ออวิ๋นไปหาแล้วพาไปพบแขก
“จื่ออวิ๋น มานี่เร็วเข้า” ฮูหยินถานกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้ม “นั่งตรงนี้…”
ลู่จื่ออวิ๋นทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ค้อมคำนับฮูหยินทุกท่านก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ฮูหยินถานเอ่ย
“ไม่พบเพียงไม่กี่วัน แม่นางน้อยขาวกว่าเดิมแล้วใช่หรือไม่?” ฮูหยินถานเอ่ยถาม
“มินับเป็นอันใด” มู่ซืออวี่เอ่ย “อาจเป็นเพราะหิมะละลายแล้ว อากาศหนาวขึ้นมากกว่าสองสามวันที่ผ่านมามาก อย่าว่าแต่ผิวที่ขาวซีดเลย ตอนนี้ตัวก็แข็งแล้ว”
“เหลวไหล ท่านเป็นแม่ประสาอะไรกัน?” ฮูหยินถานเอ่ย “ข้าเห็นอยู่ว่านางขาวขึ้นกว่าเดิม”
ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มแย้มออกมา บางครั้งเปี่ยมเสน่ห์ บางครั้งสง่างาม บางครั้งก็ดูไร้เดียงสา
กระทั่งงานเลี้ยงจบลง มู่ซืออวี่ส่งฮูหยินทุกท่านกลับ ลู่อี้เองก็ส่งสหายร่วมงานเหล่านั้นกลับไปเช่นกัน ทว่าลู่จื่ออวิ๋นก็ยังไม่แม้แต่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตลอดทั้งงานเลี้ยง ฮูหยินถานแสดงท่าทีกระตือรือร้นยิ่งกว่าเมื่อก่อน ขณะที่ฮูหยินเจี่ยและเจี่ยหลิงหลงกลับไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายนัก ทว่าในแววตาของพวกนางล้วนมีความยินดี คงจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น
“ท่านพี่…” ลู่จื่ออวิ๋นดึงชายเสื้อลู่ฉาวอวี่ “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่ลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการแล้ว”
“เป็นขุนนางขั้นใดหรือ?”
“ขั้นสี่”
ลู่อี้ได้รับการเลื่อนขั้น สหายร่วมงานจึงมาแสดงความยินดี นับว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีแต่เนิ่น ๆ
ลู่เซวียนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
“ท่านพี่ ข้ากลับก่อนแล้ว” ลู่เซวียนเอ่ยกับลู่อี้ “มีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ แต่ข้ากลับไม่รู้อะไรเลย ท่านเรียกข้ามาทานมื้อเย็น คราแรกข้าคิดว่าเป็นการรวมตัวในครอบครัวเสียอีก พรุ่งนี้น้องชายจะแสดงความยินดีชดเชยให้ ตอนนี้ท่านพี่เป็นรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่แล้ว นี่เป็นเรื่องมงคลใหญ่ จำต้องชดเชยให้ได้”
“เจ้าวางใจ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอย่างแน่นอน” ลู่อี้เอ่ย “กลับดี ๆ ล่ะ”
“ท่านพ่อ…” ลู่จื่ออวิ๋นเดินมาหาพร้อมรอยยิ้ม “ท่านร้ายกาจยิ่งนัก!”
ลู่อี้ลูบลงบนศีรษะลู่จื่ออวิ๋นเบา ๆ “พ่อจะพยายามให้มากขึ้น สักวันหนึ่ง จะได้ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของพวกเรา”
แขกเหรื่อจากไปแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาของทุกคนในสกุลลู่ ลู่อี้และมู่ซืออวี่กับคนในบ้านไม่กี่คนมารวมตัวกัน พวกเขาดื่มสุราเล็กน้อย หลังจากดื่มพอสมควรจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
วันต่อมา ณ หอซือเป่า ลู่จื่ออวิ๋นและผู้ช่วยสองคนเรียนทักษะการเย็บปักใหม่ ๆ จากท่านเจ้าหอสวี
หลังจากท่านเจ้าหอสวีไปแล้ว สวีมู่เวยเข้ามากอดแขนลู่จื่ออวิ๋น นางไม่ถือสาที่ลู่จื่ออวิ๋นอ่อนกว่าตนแม้แต่น้อย ทั้งยังมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารราวกับคนที่ถูกกดขี่
“เมื่อครู่สิ่งที่ท่านเจ้าหอเอ่ย เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
สีหน้าของลู่จื่ออวิ๋นดูเหมือนพอจะเข้าใจ นางจึงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
“อ๊ะ เหตุใดข้าจึงไม่เข้าใจ?” สวีมู่เวยมองสหายข้าง ๆ นาง อู๋ชุนหลาน ผู้โชคดีที่ลู่จื่ออวิ๋นเลือกมาอีกคน “เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
อู๋ชุนหลานพยักหน้าด้วยแก้มแดงปลั่ง “เข้าใจแล้ว แต่เข้าใจไม่มากนัก เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง”
“จื่ออวิ๋น ท่านน้าของพี่หยางเจิงมาที่นี่แล้ว” สาวใช้คนหนึ่งเข้ามาบอกกับลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นมอบเงินให้หนึ่งก้อน “ทำได้ดีมาก รู้หรือไม่ว่าเขามาทำอันใด?”
“ข้าได้ยินแว่ว ๆ ว่า น้าของพี่หยางเจิงบอกท่านผู้ดูแลว่าพี่หยางเจิงจะไม่กลับมาอีกแล้ว นางต้องกลับไปแต่งงาน”
“ขอบคุณเจ้ามาก”
สวีมู่เวยเอ่ยว่า “ดูเหมือนครั้งนี้หยางเจิงต้องออกไปจริง ๆ แล้ว”
“หากกล่าวกันตามเหตุผล ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทว่ายามที่หยางเจิงเอ่ยถึงงานเย็บปัก สายตาของนางเป็นประกายยิ่งนัก อีกทั้งนางยังเคยเอ่ยถึงเรื่องที่ตนอยากจะทำในอนาคตให้ข้าฟัง หากนางถูกบังคับให้แต่งงาน เช่นนั้น ชีวิตของนางนับจากนี้คงจะไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“พวกเราหยุดเรื่องนี้ไม่ได้หรอก!”
“ผู้ใดบอกเล่า?” ลู่จื่ออวิ๋นโน้มตัวเข้าไปหาสวีมู่เวย แล้วเอ่ยสองสามคำกับอีกฝ่าย
สวีมู่เวยมองมาด้วยสีหน้าขมขื่น “หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ คนเบื้องบนจะตำหนิเอาได้…”
“ข้าจะรับผิดชอบเอง” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
วันนี้ผู้ดูแลเมิ่งมีเรื่องราวมากมายที่ต้องจัดการ หนึ่งในนั้นเป็นฮูหยินจากจวนอู่อันโหวที่รับมือได้ยากที่สุด บางทีอาจเป็นเพราะเดิมทีฮูหยินท่านนั้นเป็นองค์หญิง นางจึงจู้จี้จุกจิกเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ทำเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้นาง นางสามารถเอ่ยตำหนิออกมาได้สิบถึงยี่สิบข้อ ตราบใดที่เป็นเสื้อผ้าและรองเท้าของฮูหยินท่านนี้ ชาวหอซือเป่าจะต้องพยายามทำอย่างสุดความสามารถ บางครั้งบางครายังต้องขอให้ท่านเจ้าหอสวีเป็นผู้จัดการ
ในช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายเช่นนี้ จู่ ๆ ชายวัยกลางคนที่เนื้อตัวมอมแมมก็โผล่มาขวางทางผู้ดูแลเเมิ่งเอาไว้ นอกจากนี้ ยังพล่ามเรื่องราวมากมายที่ทั้งเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับนางออกมา อารมณ์ของผู้ดูแลเมิ่งจึงขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิม
“พูดจบแล้วหรือยัง?” นางเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “พูดจบแล้วก็หลบไปให้พ้น”
“ท่านผู้ดูแล สิ่งที่ข้าต้องอธิบายก็ได้อธิบายแล้ว ในเมื่อท่านไม่มีข้อโต้แย้ง เช่นนั้น ข้าก็จะไปเก็บข้าวของของหลานสาว” น้าของหยางเจิงกล่าว
“ที่นี่เป็นที่ที่ท่านควรมาหรือ?” ผู้ดูแลเมิ่งยิ้มเยาะ “แม้กระทั่งฮูหยินขุนนางที่มีทั้งเงินทองและอำนาจล้วนรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน นอกเสียจากคนของหอซือเป่า หากหยางเจิงไม่ต้องการทำงานอีกต่อไป เช่นนั้นก็อย่าได้ทำให้พวกเราเสื่อมเสีย ทุกอย่างที่นางมีที่นี่ นอกจากของส่วนตัว อย่างอื่นล้วนไม่สามารถเอาไปได้”
“หลานสาวข้าเย็บปักถักร้อยมามากเพียงนั้น…” น้าของหยางเจิงยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และต้องการแก้ต่างให้ตนเอง
ในความเป็นจริง สกุลหยางยากจนเพียงนั้น หยางเจิงยังจะมีสิ่งใดหลงเหลือในหอซือเป่าได้อีก? น้าของหยางเจิงคิดจะฉกฉวยงานปักที่หยางเจิงปักค้างไว้ตั้งแต่แรก
“หยางเจิงยังออกไปไม่ได้” ลู่จื่ออวิ๋นและสวีมู่เว่ยเดินออกมาจากข้างใน
น้าของหยางเจิงหัวเราะเจื่อน ๆ “ผู้ดูแลเมิ่งเห็นด้วยแล้ว”
“ผู้ดูแลเมิ่งเห็นด้วย แต่เราไม่เห็นด้วย” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ท่านคิดว่านี่คืออะไร นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินที่หยางเจิงยืมมาจากท่านเจ้าหอสวี อาจารย์ของนาง กำหนดคืนที่เขียนไว้คือสองเดือน นี่ก็เลยสองเดือนมาสามวันแล้ว หากท่านยินดีจ่ายคืนก็สามารถพาหยางเจิงไปได้เลย แต่หากไม่จ่าย นางก็ยังไปกับท่านไม่ได้”
“หนึ่งร้อยตำลึงเงิน?” น้าของหยางเจิงตกใจเป็นอย่างยิ่ง นางถึงขั้นร้องเสียงหลง “เป็นไปไม่ได้! นังเด็กตัวเหม็นนั่นไม่มีความกล้าถึงเพียงนี้ นางจะไปยืมเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินไปทำอันใดกัน?”
“นางรีบร้อนตอนที่แม่ของนางป่วย นางยุ่งกับการหาท่านหมอให้มารดา ทั้งยังต้องดูแลน้องชายน้องสาวของนาง คนผู้หนึ่งจำต้องแบ่งร่างออกเป็นสามส่วน ต่อมานางทนไม่ไหวจึงไปขอยืมเงินจากท่านเจ้าหอหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ท่านน้า นี่เป็นลายนามและลายนิ้วมือที่นางประทับไว้ หากท่านไม่เชื่อก็ดูได้”