สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 532 นางเป็นบุตรสาวรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 532 นางเป็นบุตรสาวรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่
บทที่ 532 นางเป็นบุตรสาวรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่
บทที่ 532 นางเป็นบุตรสาวรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่
“องค์หญิง ผู้ดูแลเมิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมเฒ่าเอ่ยกับสตรีหน้าตางดงามที่เอนกายพักผ่อนอยู่มุมหนึ่ง
ฮูหยินอู่อันโหวลืมตาขึ้น แล้วอ้าปากหาวด้วยท่าทีเกียจคร้าน “เจ้ามาแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
แม่นมเฒ่าเป็นคนที่ติดตามฮูหยินอู่อันโหวมาจากสกุลเดิม จึงเรียกนางว่า ‘องค์หญิง’ เสมอ ขณะที่ผู้อื่นล้วนเรียกนางว่าฮูหยิน
“แม่นม เอาของให้ผู้ดูแลเมิ่งดู” ฮูหยินอู่อันโหวกล่าว
แม่นมเฒ่านำกล่องใบหนึ่งออกมาจากห้องด้านใน นางเปิดกล่องใบนั้นออกแล้วนำกระโปรงฤดูหนาวออกมา บนกระโปรงฤดูหนาวมีขนสุนัขจิ้งจอกประดับอยู่ ทั้งสีและรูปแบบค่อนข้างเหมาะสมกับผู้สวมใส่วัยเยาว์
“นี่เป็นชุดที่ข้าซื้อมาตอนออกเรือน คนของข้าโง่เขลาเสียจนไม่แม้กระทั่งเห็นว่ามันถูกแมลงแทะ หากหมู่นี้ข้าไม่คิดถึงบ้านและหยิบมันขึ้นมาดู ข้าคงไม่รู้” ฮูหยินอู่อันโหวเอ่ย “ข้าค่อนข้างชมชอบฝีมือของเจ้า ข้าอยากให้เจ้าลองหาวิธีแก้ดู ชุดนี้ของข้ามีเพียงหนึ่งเดียวในโลก น่าเสียดายที่มันชำรุดเสียแล้ว”
“ผ้าชนิดนี้พิเศษยิ่งนัก”
“ไม่ผิด ผ้าชนิดนี้มีเพียงในอาณาจักรบ้านเกิดข้า ที่นี่ไม่มี”
“เช่นนั้น…”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะหาวิธีได้” ฮูหยินอู่อันโหวเหลือบมองผู้ดูแลเมิ่ง “อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า”
ผู้ดูแลเมิ่งยังคงมองผ้าผืนนั้นอย่างลังเล เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หากรับมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องกดหาวิธีซ่อมแซมให้ได้ ทว่าผ้าชนิดนี้พิเศษยิ่งนัก มันไม่ได้หาได้ง่ายดายเพียงนั้น
ขณะที่ผู้ดูแลเมิ่งไม่มั่นใจอยู่นั้น ฮูหยินอู่อันโหวก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา ถึงได้สังเกตเห็นแม่นางน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“แม่นางน้อย เจ้าก็มาจากหอซือเป่าเช่นกันหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นได้ยินเสียงฮูหยินอู่อันโหวจึงเงยหน้าขึ้น
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
“ผู้ดูแลเมิ่งช่างเลือกศิษย์ได้ดีจริง”
“ฮูหยินเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ สาวน้อยคนนี้ท่านเจ้าหอเลือกเป็นศิษย์ ศิษย์ของข้ามีงานอื่นติดพันไม่อาจมาได้ ข้าจึงพานางมาด้วยกันเจ้าค่ะ”
“แม่นางน้อย เจ้านั่งลงทานขนมเถอะ” ฮูหยินอู่อันโหวกล่าว “ผู้ดูแลของพวกเจ้าคิดช้านัก ปล่อยให้นางได้ค่อย ๆ ไตร่ตรองไป”
ผู้ดูแลเมิ่งค้อมคำนับ “ฮูหยินล้อเล่นแล้ว ในเมื่อฮูหยินไม่รังเกียจฝีมือต่ำต้อยของข้า แน่นอนว่าข้าย่อมยินดีรับใช้ฮูหยิน”
“ท่านน้า…” หานหว่านเอ๋อร์เหยียบลงบนผ้าเล็ก ๆ แล้ววิ่งเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธ์ที่ประดับอยู่บนใบหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเข้ามาในห้องแล้วเห็นลู่จื่ออวิ๋น สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป นางเขม่นมองลู่จื่ออวิ๋นแล้วเอ่ยเสียงแหลม “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“พวกเจ้ารู้จักกันหรือ?” ฮูหยินอู่อันโหวเอ่ยถาม
“ท่านน้า นางคือนังเด็กเหม็นโฉ่ที่ไม่เห็นจวนอู่อันโหวของเราอยู่ในสายตาที่ข้าเอ่ยถึง” หานหว่านเอ๋อร์เดินไปข้าง ๆ ฮูหยินอู่อันโหว นั่งลงแล้วเอื้อมมือไปกอดแขนนาง
ผู้ดูแลเมิ่งขมวดคิ้ว
นางไม่นึกว่าลู่จื่ออวิ๋นจะมีปัญหากับคุณหนูหาน ไม่เช่นนั้นคงไม่พาอีกฝ่ายมาที่นี่
นิสัยใจคอของคุณหนูหานท่านนี้ห่างจากคำว่าดีไปไกลโข
ฮูหยินอู่อันโหวมองลู่จื่ออวิ๋น “ที่แท้เจ้าเป็นเจ้าของเรือนพักร้อนเหมยแดงหรือ?”
“ฮูหยินคำนี้กล่าวได้ไม่ถูกต้อง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “เรือนพักร้อนเหมยแดงเป็นท่านพ่อที่มอบให้ท่านแม่ข้า ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าของ”
“สาวน้อย เจ้าไม่กลัวหรือ?” ฮูหยินอู่อันโหวเอ่ย “หากข้าระบายโทสะกับเจ้า วันนี้เจ้าคงได้รับความลำบากแล้ว”
“ฮูหยินงดงามเพียงนี้ ราวกับเทพธิดาลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน จะรังแกแม่นางน้อยคนหนึ่งได้อย่างไร? ท่านแม่ข้ากล่าวไว้ว่าความเมตตาออกมาจากจิตใจ ผู้คนที่จิตใจดีหน้าตาจะยิ่งงดงาม” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
“น่าสนใจ สาวน้อยอย่างเจ้าช่างปากหวานยิ่งนัก”
“ท่านน้า…” หานหว่านเอ๋อร์เห็นฮูหยินอู่อันโหวไม่ได้โกรธ อีกทั้งยังยิ้มให้นังเด็กเหม็นโฉ่คนนั้น ภายในใจยิ่งรู้สึกคับข้อง “เห็นได้ชัดว่านางดูถูกจวนอู่อันโหวเรา…”
“พอได้แล้ว” ฮูหยินอู่อันโหวเอ่ยขัดหานหว่านเอ๋อร์ “ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าให้คนมาส่งจดหมาย กล่าวว่าพวกเขาคิดถึงเจ้า ท่านแม่เจ้าเป็นห่วงเจ้าจนล้มป่วยแล้ว เก็บข้าวของแล้วกลับไปเถอะ!”
หานหว่านเอ๋อร์ “…”
ท่านพ่อท่านแม่ของนางต้องการให้นางรั้งอยู่ที่จวนอู่อันโหว และจะดีที่สุดหากจัดการเรื่องการแต่งงานระหว่างนางและญาติผู้พี่ได้โดยเร็วที่สุด พวกเขาจะส่งคนมาตามนางได้อย่างไร?
“ท่านน้า ท่านพ่อท่านแม่ข้าจะต้องล้อเล่น…” หานหว่านเอ๋อร์เงียบปากลงทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของฮูหยินอู่อันโหว
ผู้ดูแลเมิ่งถือโอกาสนี้กล่าวลา จากนั้นจึงพาลู่จื่ออวิ๋นกลับไป
หลังออกมาจากลานแห่งนั้นแล้ว ชายหนุ่มรูปโฉมสง่างามผึ่งผายผู้หนึ่งก็เดินผ่านมา
“ลู่จื่ออวิ๋น”
ขณะที่ผู้ดูแลเมิ่งและลู่จื่ออวิ๋นค้อมคำนับเตรียมที่จะจากไปนั้น ชายหนุ่มผู้นั้นพลันรั้งลู่จื่ออวิ๋นไว้
“ท่านซื่อจื่อ” ลู่จื่ออวิ๋นคำนับอีกครั้ง “มีอันใดรับสั่งหรือเจ้าคะ?”
“ตรงที่เจ้าปะชุนครั้งก่อนขาดอีกแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนเอาไปส่งให้เจ้าที่หอซือเป่า เจ้าปะมันให้ข้าอีกครั้งเถิด”
“จื่ออวิ๋นยังเป็นคนใหม่ ความสามารถยังไม่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นหากท่านซื่อจื่อไม่ถือสา…”
ผู้ดูแลเมิ่งไม่ทันได้กล่าวจบ เซี่ยเฉิงจิ่นก็เอ่ยขัดขึ้น
“ข้าต้องการให้นางทำด้วยตนเอง” สิ้นคำ เซี่ยเฉิงจิ่นพลันขยับเข้าไปใกล้ลู่จื่ออวิ๋น “สาวน้อย เจ้าคงไม่ไร้ความรับผิดชอบใช่หรือไม่”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
เพียงแค่เสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องจริงจังเพียงนี้กระมัง?
“หมู่นี้คนงามกินไม่ค่อยลง เจ้าได้ไปเยี่ยมมันบ้างหรือไม่?”
“อ๊ะ?” ลู่จื่ออวิ๋นนึกไม่ถึงว่า ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ที่เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยถึงจะหมายถึงเรื่องนี้
“ที่แท้ความชอบของเจ้าก็คงอยู่เพียงไม่กี่วัน” เซี่ยเฉิงจิ่นแค่นเสียงหึ จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ผู้ดูแลเมิ่งมองลู่จื่ออวิ๋นด้วยสายตาจับพิรุธ “เจ้าคุ้นเคยกับซื่อจื่อน้อยหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นส่ายศีรษะ “เพียงแค่เคยพบไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะไปส่งสินค้าเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้โน้มตัวเข้าไปหาฮูหยินอู่อันโหว แล้วเอ่ยกระซิบข้างหูสองสามคำ
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยกับแม่นางน้อยคนหนึ่งก่อน” ฮูหยินอู่อันโหวแย้มยิ้มออกมาบาง ๆ “แต่รูปโฉมของสาวน้อยคนนั้นก็โดดเด่นอยู่บ้างจริง ๆ”
“ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนางเจ้าค่ะ”
“หืม? หอซือเป่ามีบุตรสาวตระกูลขุนนางด้วยหรือ?”
“บิดาของนางเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เจ้าค่ะ ได้ยินว่าเขาได้รับความสำคัญเป็นอย่างมาก อีกทั้งมารดาของนางยังเป็นผู้มีชื่อเสียง หรือก็คือเถ้าแก่เนี้ยมู่แห่งเรือนกรุ่นฝัน อีกทั้งยังรู้จักกันในนามสตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งเจ้าค่ะ”
“ที่แท้ภูมิหลังของนางไม่ใช่ย่อยเลย” ฮูหยินอู่อันโหวพลันหงุดหงิด “หากเจ้าบอกเสียแต่เนิ่น ๆ และข้ารู้ว่านางเป็นบุตรสาวของเถ้าแก่เนี้ยมู่เร็วกว่านี้ ข้าจะได้ถามเรื่องมารดาของนางเสียหน่อย”
หลังจากผู้ดูแลเมิ่งและลู่จื่ออวิ๋นกลับไปยังหอซือเป่าแล้ว ผู้ดูแลเมิ่งรีบลงมือจัดการเสื้อผ้าของฮูหยินจวนอู่อันโหวโดยไม่ทักทายผู้ใด ลู่จื่ออวิ๋นยังไม่มีเวลาทำสิ่งใด ชุดขี่ม้าของเซี่ยเฉิงจิ่นก็มาส่งตามที่บอก
“ชุดขี่ม้านี้งามยิ่งนัก อีกทั้งผ้าชนิดนี้ยังดีเป็นพิเศษด้วย” หยางเจิงเดินเข้ามาหา “มันขาดจนเป็นเช่นนี้แล้ว ยังซ่อมแซมได้อีกหรือ?”
“ได้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “แต่ข้าอยากลองวิธีหนึ่ง”
ลู่จื่ออวิ๋นไปหาท่านเจ้าหอเพื่อขออนุญาตเข้าห้องตำรา หลังจากอยู่ในนั้นเป็นเวลาสองชั่วยาม นางก็ออกมาพร้อมกับตำราในมือเล่มหนึ่ง
“เจ้าหมายความว่าพวกเราสามารถทอผ้าชนิดนี้ด้วยตัวเองได้งั้นหรือ?” เมื่อได้ยินสิ่งที่ลู่จื่ออวิ๋นบอกแล้ว ผู้ดูแลเมิ่งที่เคร่งเครียดมาโดยตลอดก็แสดงสีหน้าขบขันออกมา “แม่นางน้อย เจ้าช่างเป็นลูกวัวไม่กลัวเสือจริง ๆ”
“ผู้ดูแลเมิ่ง ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าทำไม่ได้เจ้าคะ? ข้าคิดว่าวิธีการนี้ค่อนข้างบอกไว้ละเอียดทีเดียว”