สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 539 ลาก่อนอันอี้หาง
บทที่ 539 ลาก่อนอันอี้หาง
บทที่ 539 ลาก่อนอันอี้หาง
ณ เรือนกรุ่นฝัน
ฮูหยินนางหนึ่งยืนอยู่หน้าแบบจำลองลานเรือนขนาดเล็ก นางเอ่ยถามคนงานที่อยู่ข้าง ๆ “นี่คือของอันใดกัน? มีไว้เล่นหรือ ทำเช่นนี้เล็กน่ารักยิ่ง”
“เรียนฮูหยิน เจ้านายของเรากล่าวว่านี่เป็นตัวอย่างขอรับ” คนงานเอ่ย “ลูกค้าหลายคนไม่เข้าใจว่าบริการออกแบบบ้านของเราเป็นอย่างไร หากเห็นตัวอย่างนี้แล้ว ก็จะพอนึกภาพในสมองออกไม่มากก็น้อย เช่นนี้จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นขอรับ”
“ชิงช้าเล็ก ๆ นี่ไม่เลวเลย ที่บ้านข้ามีบุตรสาวหลายคน จะต้องชอบของสิ่งนี้มากเป็นแน่ แต่หากข้าต้องการเพียงชิงช้านี้ พวกเจ้าคงไม่รับทำใช่หรือไม่?”
“ไม่หรอกขอรับ ไม่ว่างานจะเล็กน้อยเพียงใด เรือนกรุ่นฝันเรายินดีรับทำเสมอ” คนงานพาฮูหยินผู้นั้นไปทำสัญญาซื้อขาย
แบบจำลองย่อส่วนมากมายจัดวางไว้ภายในโถงหลักของร้าน ดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก ยอดคำสั่งซื้อเดือนนี้จึงพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์
“เจ้านายเรามีสมองใหญ่โตเพียงนี้ได้อย่างไร? นี่เรียกว่ามนุษย์มิได้แล้ว เห็นได้ชัดว่านางเป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง ดูสิ กิจการร้านของพวกเราดีวันดีคืน ผู้ใดไม่รู้จักสัญลักษณ์เรือนกรุ่นฝันของเราบ้าง?” เหล่าคนงานกระซิบกระซาบกัน “ทว่าเหตุใดหมู่นี้เจ้านายไม่มาที่ร้านเลยเล่า? ไม่ใช่ว่านางมีวิธีหาเงินใหม่แล้วกระมัง?”
“ได้ยินว่านางกำลังจัดการเรือนพักร้อนที่อยู่นอกเมืองน่ะ”
“เรือนพักร้อนหลังนั้นมีอันใดให้จัดการกัน? ปล่อยให้ผู้เช่าถิ่นนั้นจัดการเอาเองก็ได้แล้ว”
“ไม่ใช่การจัดการเช่นนั้น ได้ยินว่านางจะเปลี่ยนเรือนพักร้อนแห่งนั้นให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจน่ะ ข้าได้ยินจากแม่นางซูที่อยู่ข้างกายเจ้านายเล่ามา ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นช่องทางทำเงิน”
เฟิงเจิงเดินออกมาจากด้านใน สั่งคนงานหลายคนว่า “พวกเจ้าขึ้นรถม้าเสีย รถม้าจะพาพวกเจ้าไปเรือนพักร้อนนอกเมือง เจ้านายต้องการคนช่วยงานที่นั่น พวกเจ้าไปช่วยอีกแรงเถอะ”
“ได้เลยขอรับ!” เหล่าคนงานล้วนดีอกดีใจ
ติดตามเจ้านาย ไม่ใช่แค่จะได้กินหมูเห็ดเป็ดไก่ ได้ดื่มสุราชั้นเยี่ยม แต่เจ้านายยังใจกว้าง มอบเงินพิเศษให้พวกเขาไม่น้อย ทุกครั้งที่พวกเขาได้ไปทำงานด้านนอกกับเจ้านายก็ล้วนหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
“ผู้จัดการ แล้วพวกเราเล่า? พวกเราก็อยากช่วยเช่นกัน” คนงานคนอื่น ๆ ล้วนอิจฉาตาร้อน รีบเอ่ยประท้วงกับเฟิงเจิง
“พรุ่งนี้ถึงเป็นเวรของพวกเจ้า งานนี้ไม่อาจเสร็จได้เพียงชั่วข้ามคืน พวกเจ้าจะได้มีโอกาสแสดงความสามารถต่อหน้าเจ้านายแน่นอน” เฟิงเจิงเอ่ย “เอาละ รีบไปเถอะ!”
เด็กส่งของเดินเข้ามาข้างใน เขาตรงมาหาเฟิงเจิงแล้วเอ่ยว่า “ผู้จัดการ ฝั่งตรงข้ามเรามีร้านเปิดใหม่ ข้าเห็นว่าขายเครื่องเรือนเช่นกัน
เฟิงเจิงเงียบงันไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“ใช่ร้านที่เรียกว่า ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ หรือไม่?”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“เหตุใดข้าจะไม่รู้? นั่นเป็นเพื่อนบ้านเก่าก่อนน่ะสิ”
เฟิงเจิงเดินออกมานอกร้าน มองไปที่ฝั่งตรงข้าม มีคนเดินเข้าเดินออกร้านนั้น ดูเหมือนการต่อสู้ครั้งนี้จะใหญ่โตทีเดียว
ยามบ่าย มู่ซืออวี่กลับมาที่ร้าน เฟิงเจิงพานางเดินออกมาข้างนอก ชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยว่า “นั่นใช่ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ที่เรารู้จักเมื่อก่อนหรือไม่?”
“มาตั้งแต่เมื่อใดกัน?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ
“วันนี้คนงานมาบอกว่าฝั่งตรงข้ามมีร้านเพิ่มขึ้นมาร้านหนึ่ง ข้าถึงได้รู้ขอรับ”
“ฝั่งตรงข้ามเดิมทีถูกปล่อยว่างมานานแล้วจริง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ข้าจะไปดูหน่อย หากเป็นหร่วนฉีจริง ๆ จะได้ทักทาย”
เฟิงเจิงยืนจ้องอยู่ที่ประตูเป็นนานสองนาน มองมู่ซืออวี่เข้าไปในร้านฝั่งตรงข้าม
ตอนนี้ไม่มีลูกค้า ดังนั้นคนงานสองสามคนจึงตามมาดูแล้วเอ่ยถาม “ผู้จัดการ หากเป็นคู่แข่ง เช่นนั้นไม่ควรเป็นศัตรูกันหรือ? เหตุใดเถ้าแก่เนี้ยจึงดูดีใจเช่นนี้?”
“หากเป็นคนผู้นั้นที่เถ้าแก่เนี้ยรู้จัก ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เลวจริง ๆ” เมื่อเห็นมู่ซืออวี่กลับมาแล้ว เฟิงเจิงจึงเอ่ยถาม “อาจารย์ ใช่เถ้าแก่ฉีหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่เห็นคน” มู่ซืออวี่เอ่ย “ดูเหมือนร้านนั้นต้องใช้เวลาจัดการไปอีกระยะหนึ่ง รอให้เปิดแล้วค่อยว่ากัน! พวกเราไปรวมตัวหารือกัน ข้ามีเรื่องต้องชี้แจง”
กิจการของมู่ซืออวี่กำลังไปได้ดี ทางลู่จื่ออวิ๋นเองก็ราบรื่น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลู่ฉาวอวี่กับมู่เจิ้งหาน พวกเขาเตรียมตัวเข้าสอบขุนนางในปีนี้แล้ว
ทุกคนล้วนแต่ยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก
อันอวี้เดินอุ้มท้องกลมโตของนางไปตามถนน นางหยุดฝีเท้าแล้วหยิบกลองป๋องแป๋งบนแผงลอยขึ้นมาดู
“ฮูหยินเจ้าคะ ทางนั้นมีคนมองท่าน ท่านรู้จักหรือไม่เจ้าคะ?” บ่าวรับใช้เอ่ยกับอันอวี้
อันอวี้หันหน้ากลับไป มองไปยังทิศทางที่บ่าวรับใช้ชี้ เมื่อเห็นร่างที่คุ้นตา นางพลันตะลึงงัน
“ท่านพี่…”
อันอี้หางยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน เดิมทีเขาไม่ต้องการรบกวนอันอวี้ ทว่าเมื่อนางเห็นเขาแล้ว ครั้งนี้เขากลับไม่หลบเลี่ยง ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาน้องสาวช้า ๆ
“เสี่ยวอวี้”
“ท่านพี่” อันอวี้คว้าแขนของอันอี้หาง “เหตุใดท่านต้องหลบหน้าข้า? ข้าส่งคนไปตามหาท่าน แต่กลับหาไม่เจอ สามีบอกว่าท่านอาจอยากเตรียมสอบเงียบ ๆ เพียงลำพัง ข้าจึงไม่ได้รบกวนท่านอีก ตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ที่ใดหรือ?”
“ตอนนี้ข้าสบายดี” อันอี้หางเอ่ย “อีกไม่กี่วันข้าจะแต่งงานแล้ว เจ้าจะมาร่วมงานหรือไม่?”
“หา?” อันอวี้ตกตะลึง
“ข้าจะแต่งงานแล้ว เจ้ากำลังจะมีพี่สะใภ้ นี่มีอันใดแปลกกัน? อายุข้าคงไม่น้อยแล้วกระมัง?” อันอี้หางลูบหัวนางเบา ๆ “เจ้าเป็นแม่คนแล้ว พี่ชายจะแต่งงานมิได้หรือ?”
“ท่านพี่ พี่สะใภ้ข้าเป็นคนที่ใดหรือ? ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อย” อันอวี้จับแขนของอันอี้หางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “หากวันนี้ท่านไม่เล่าความจริงให้ข้าฟัง อย่าได้คิดว่าข้าจะปล่อยท่านไป”
เซี่ยคุนกลับมาถึงบ้าน ทว่ากลับไม่พบร่างคุ้นตาออกมาต้อนรับ อันอวี้จะมาต้อนรับยามเขากลับมาถึงบ้านเสมอ ทว่าวันนี้เขาไม่เห็นนาง ทำให้รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป
“พี่ชายฮูหยินกลับมาแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้แจ้งเขา
“พี่…” เซี่ยคุนนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงสะบัดมือส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ออกไป
เขาเดินเข้าไปในเรือนหลัก
บทสนทนาระหว่างอันอวี้และอันอี้หางดังออกมา
เป็นอันอี้หางดังคาด
“วันนี้มีแขกแล้ว” เซี่ยคุนเดินเข้าไป
“ท่านพี่” อันอวี้ค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ
อันอี้หางยืนขึ้นกล่าวทักทายเซี่ยคุน “น้องเขย”
“พี่ภรรยารีบนั่งลงเถอะ” เซี่ยคุนไม่ใช่คนกระตือรือร้นนัก ไม่ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใดสีหน้าหน้าล้วนไม่แสดงอารมณ์ออกมา “ยากนักที่พี่ภรรยาจะมาหา วันนี้พวกเรามาดื่มสักสองสามจอกเถอะ”
“ข้าสั่งให้ห้องครัวทำอาหารหลายอย่าง ตอนนี้ให้พวกเขายกออกมาเถอะ” อันอวี้เอ่ยกับทั้งสองคน “พวกท่านพูดคุยกันไปก่อน ข้าจะไปดูอาหารว่าพร้อมหรือยัง”
เซี่ยคุนพูดไม่เก่งนักและอันอี้หางก็ไม่คุ้นเคยกับเขา ดังนั้นจึงไม่มีอันใดให้สนทนา ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันยังคงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ทว่าโชคยังดีที่ไม่นานนักอันอวี้ก็ออกมาแล้ว
หลังจากยกอาหารออกมาก็นั่งลงบนโต๊ะ พร้อมด้วยสุราสองสามจอก คนที่พูดจาพาทีไม่เก่งก็สามารถมีบทสนทนาที่ดีต่อกันได้ อันอี้หางไม่ใช่คนไม่พูดไม่จา เพียงแค่ไม่รู้ว่าต้องพูดจากับเซี่ยคุนอย่างไรเท่านั้น
“อันที่จริงข้าคอยเฝ้ามองการใช้ชีวิตของพวกท่านอยู่เสมอ” อันอี้หางเอ่ยกับเซี่ยคุน “ท่านดีต่อน้องสาวของข้ามาก มา ๆ ข้าจะดื่มให้ท่าน ขอบคุณที่ดูแลน้องสาวของข้า”
หลังจากเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทออกมายกหนึ่ง อันอี้หางก็เอ่ยถึงการแต่งงานของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
“สตรีที่ข้าอยากแต่งงานด้วย… เป็นเพียงสตรีธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง ถึงตอนนั้นเชิญพวกท่านไปร่วมดื่มสุราสักสองสามจอก อย่าได้รังเกียจว่าซอมซ่อ” อันอี้หางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ได้ ถึงเวลานั้นพวกเราจะต้องไปอย่างแน่นอน” เซี่ยคุนกล่าว