สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 541 เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม
บทที่ 541 เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม
บทที่ 541 เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม
ในตอนนั้นหร่วนฉีเป็นนักออกแบบมากพรสวรรค์ กับมู่ซืออวี่ก็นับได้ว่าเขาเป็น ‘วีรบุรุษร่วมทาง’ บัดนี้ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ เปลี่ยนเจ้าของร้านคนใหม่ มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านคนใหม่นี้เป็นมือสมัครเล่นหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญ หลังจากลอบสังเกตได้ระยะหนึ่งแล้ว พบว่าเจ้าของร้านคนใหม่รับผิดชอบเพียงแค่การขายเท่านั้น ไม่เห็นเขาคิดอะไรแปลกใหม่ออกมา
อย่างไรก็ตาม การออกแบบของช่างฝีมือที่อยู่เบื้องหลัง ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน นับตั้งแต่พวกเขาปรากฏตัว ‘เรือนกรุ่นฝัน’ ก็ได้สูญเสียลูกค้าบางส่วนไป
“อาจารย์…” เฟิงเจิงเดินเข้ามาหา “วันนี้มีสองคำสั่งซื้อถูกยกเลิกขอรับ ข้าส่งคนไปสอบถามได้ความว่าลูกค้าสองรายนั้นถูก ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ แย่งชิงไปแล้วขอรับ”
“ไม่เป็นไร พวกเราไม่อาจเป็นเพียงรายใหญ่รายเดียวได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “มีคู่แข่งก็ดีเช่นกัน พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องยกหางชี้ฟ้า ไม่รู้สึกถึงความกดดันแม้แต่น้อย”
เฟิงเจิงรู้สึกว่าที่เจ้านายกล่าวนั้นมีเหตุผล ทว่าเขายังคงรู้สึกหดหู่ใจ อย่างไรเสีย ผู้ใดบ้างไม่ชมขอบเงินมาก ๆ เล่า?
“อาจารย์ เรือนพักร้อนนอกเมืองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ได้ยินว่าท่านตั้งใจจะออกแบบที่นั่นให้เป็นรีสอร์ต”
แม้เฟิงเจิงจะไม่รู้ว่า ‘รีสอร์ต’ คือสิ่งใด ทว่าเขาก็เข้าใจว่ามันเป็นกิจการใหญ่โต
“เสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลืออีกครึ่งยังอยู่ระหว่างดำเนินการ” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากเจ้าสนใจ ข้าจะให้ต้าชุนกลับมาสักระยะ แล้วให้เจ้าไปทำงานแทนเขา?”
“ช่างเถิด ข้าคุ้นชินกับการจัดการร้านแล้ว เดิมทีรีสอร์ตก็เป็นความรับผิดชอบของพี่ต้าชุน เหตุใดข้าต้องไปทำงานเขาให้เสร็จด้วยเล่า?”
“คิดอะไรน่ะ? หมู่นี้ต้าชุนเหนื่อยล้าเล็กน้อย ข้าเพียงแค่อยากให้เขากลับมาพักไม่กี่วัน เจ้าไปทำแทนเขาสองสามวัน ให้เขาได้พักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมาเถิด”
ขณะมู่ซืออวี่พูดคุยกับเฟิงเจิงเสร็จก็เดินออกมาข้างนอกเตรียมตัวจะออกจากร้าน นางเหลียวไปเห็นแม่นางน้อยคนหนึ่งกำลังเลือกเก้าอี้
นางหยุดฝีเท้า มองดูแม่นางน้อยผู้นั้น
“อาจารย์ รู้จักหรือขอรับ?” เฟิงเจิงลดเสียงลง
มู่ซืออวี่โบกมือแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด”
แม่นางน้อยยืนอยู่ตรงหน้าเก้าอี้สองสามตัวด้วยความลังเล
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปหา แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “แม่นางต้องการซื้อเก้าอี้หรือ?”
เจียงอีเมิ่งเงยหน้าขึ้นก็เห็นสตรีรอยยิ้มงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้านาง
“ท่านเป็นผู้ดูแลที่นี่หรือ?” เจียงอีเมิ่งเอ่ย “ได้ยินว่าร้านพวกท่านมีเก้าอี้ที่ช่วยให้คนเอวไม่ดีลุกขึ้นได้ เป็นเก้าอี้แบบใดหรือ?”
มู่ซืออวี่ชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งในกอง
ทุกอย่างที่นี่มีป้ายราคากำกับ เจียงอีเมิ่งเห็นราคาของเก้าอี้ตัวนั้นได้ในแวบเดียว
“ข้าขอพบเถ้าแก่เนี้ยของพวกท่านได้หรือไม่?” เจียงอีเมิ่งหันกลับมาถามมู่ซืออวี่
“ต้องการต่อรองราคาหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
เจียงอีเมิ่งสั่นศีรษะ “ข้าอยากจะพูดคุยกับนางสักหน่อย ตอนนี้ในมือข้าไม่มีเงินมากมายเพียงนั้น จะขอใช้แรงงานของข้าแลกเปลี่ยนกับเก้าอี้ตัวนั้นได้หรือไม่?”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันราคามากน้อยเพียงใด?”
“เขียนไว้บนนั้นแล้ว สิบตำลึงเงิน”
“คนงานที่นี่ได้รับค่าแรงรายเดือนเพียงสองตำลึง”
“ข้ารู้จักเรือนกรุ่นฝัน สองตำลึงเงินที่ท่านเอ่ยถึงเป็นเพียงค่าแรงเบื้องต้น ที่นี่ยังมีระบบแบ่งรายได้เป็นสัดส่วนจากยอดขายอีกดัวย หากข้าขายได้มากก็จะยิ่งได้เงินมาก ข้ามั่นใจว่าข้าจะหาเงินจำนวนนี้ได้”
“น้ำเสียงของแม่นางน้อยค่อนข้างจริงจังทีเดียว” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “ข้ารู้สึกสงสัยเล็กน้อยแล้ว อยากรู้แล้วสิว่าเจ้าจะทำได้จริง ๆ หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็รั้งอยู่ลองดูเถอะ!”
เจียงอีเมิ่งประหลาดใจระคนยินดี “จริงหรือ? แต่ ท่านคือ…”
“อืม ข้าเป็นเจ้าของที่นี่ ที่นี่ข้าพูดคำไหนเป็นคำนั้น” มู่ซืออวี่มองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
“ข้าน้อยแซ่เจียง นามว่าอีเมิ่งเจ้าค่ะ” เจียงอีเมิ่งเอ่ย “เจ้านายมอบโอกาสนี้ให้ข้า ข้าจะทำให้ท่านรู้ว่าท่านมองไม่ผิดเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่ปล่อยเจียงอีเมิ่งให้เฟิงเจิงจัดการ
เฟิงเจิงคุ้นเคยกับเรื่องภายในร้านเป็นอย่างดี จึงจัดการมอบหมายงานให้เจียงอีเมิ่งทันที
“อาจารย์ ตอนนี้นับวันข้ายิ่งมองท่านไม่ออกแล้ว เหตุใดจึงรับแม่นางน้อยไม่รู้ที่มานี้ไว้เสียเล่า?” เฟิงเจิงบ่น
“วันนั้นข้าเห็นนางพูดคุยกับน้องหาน พวกเขาสองคนเข้ากันได้ดีทีเดียว คงเป็นสหายกระมัง! ยิ่งไปกว่านั้น เก้าอี้นั้นเห็นได้ชัดว่าออกแบบไว้เพื่อผู้เฒ่า นางจ้องมองมันเสียนาน สายตาเต็มไปด้วยความปรารถนาแต่กลับไม่มีกำลังซื้อ ข้าเพียงใช้อีกวิธีขายให้กับนางเพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น ดวงตาของนางใสกระจ่าง กิริยาท่าทีสุภาพ เห็นได้ชัดว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี”
เฟิงเจิงไม่มีอันใดจะกล่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาจารย์ของเขาเป็นคนดี หลายปีมานี้นางช่วยคนมานักต่อนัก รวมถึงคนผู้นี้ด้วย
หลังจากอธิบายเรื่องนี้แล้ว มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้ถือเป็นจริงจังอีก
สำหรับนางแล้ว นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ เหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น
นางอยู่ที่เรือนพักร้อนนอกเมืองเป็นเวลาหลายชั่วยาม ก่อนจะรุดกลับมาที่ร้านก่อนฟ้ามืด
นางคิดว่ายังมีของอยู่ที่ร้าน ตั้งใจจะกลับมาเอาพวกมัน ทว่านางเห็นแม่นางน้อยผู้นั้นยังคงเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่
มู่ซืออวี่หยุดฝีเท้าลง
“อีเมิ่ง”
เจียงอีเมิ่งหยุดมือ หมุนตัวกลับไปมองมู่ซืออวี่ จากนั้นจึงวิ่งเข้ามาทักทาย “เจ้านาย มีคำสั่งอันใดหรือเจ้าคะ?”
“เย็นเพียงนี้แล้ว เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “คนอื่น ๆ ในร้านเล่า?”
“ผู้จัดการยังอยู่ข้างในตรวจบัญชีกับผู้ทำบัญชีอยู่เจ้าค่ะ คนงานคนอื่น ๆ ทำงานเสร็จแล้ว ผู้จัดการให้ข้ากลับ แต่ข้าเห็นฝุ่นอยู่ตรงนี้จึงอยากเช็ดทำความสะอาดก่อนกลับเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ใสซื่อจริง ๆ ข้าให้เจ้าทำงานให้ข้า แต่กลับไม่ได้เขียนสัญญาใด ๆ ไม่มีสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยซ้ำ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะให้ทำงานเปล่า ๆ หรือ?”
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของเรือนกรุ่นฝันมาบ้าง ฮูหยิน ท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น” เจียงอีเมิ่งมองมู่ซืออวี่ตาเป็นประกายระยิบระยับ
มู่ซืออวี่ “…”
คุยมานานสองนาน สุดท้ายอีกฝ่ายเป็นแฟนคลับนางหรือนี่?
“ข้าเห็นว่าเจ้าคงไม่ใช่แม่นางจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้ามาทำงานให้ข้า ไม่จำเป็นต้องบอกครอบครัวก่อนหรือ?”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าเป็นหัวหน้าครอบครัว” เสียงของเจียงอีเมิ่งแหบแห้ง “ที่บ้านข้ามีเพียงแม่ชราและพี่สะใภ้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง และหลานชายที่คลอดก่อนกำหนดเท่านั้นเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
ใบหน้าของแม่นางน้อยผู้นี้ประดับรอยยิ้ม ไม่ได้ตั้งใจที่จะพร่ำบ่นต่อโชคชะตากับนางสักนิด เพียงแค่กล่าวตามความเป็นจริงเท่านั้น ทว่าอย่างไรก็ยังคงทำให้มู่ซืออวี่รู้สึกสงสาร
“รีบกลับบ้านเถิด อย่าทำให้พวกเขาเป็นห่วง” มู่ซืออวี่เอ่ย จากนั้นจึงขึ้นไปบนชั้นสอง
เมื่อเข้ามาในห้องตำราแล้ว ฉานอีจึงยื่นประวัติของเจียงอีเมิ่งให้มู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย
ฉานอีมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เผื่อเอาไว้เจ้าค่ะ ทุกคนที่เข้าใกล้ฮูหยินควรได้รับการตรวจสอบให้กระจ่างชัด”
“ทำได้ไม่เลว เดือนนี้เพิ่มเงินให้” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉานอีเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ เพิ่มอีกหน่อย”
มู่ซืออวี่ “…”
จื่อซูระเบิดหัวเราะออกมา “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นฮูหยินพ่ายแพ้”
มู่ซืออวี่อ่านประวัติของเจียงอีเมิ่ง
เป็นอย่างที่นางคิด เจียงอีเมิ่งไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดาสามัญทั่วไป เดิมทีนางเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนาง ท่านพ่อของนางเป็นขุนนางกรมโยธาธิการ ทว่าเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะจัดการงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ ไม่นานหลังจากกลับมาที่บ้านก็ป่วยตาย ต่อมาบุตรชายของเขาก็ถูกต่อยตีจนตายระหว่างทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ภายหลังครอบครัวจึงเหลือเพียงสตรีและเด็กไม่กี่คน
“ใต้เท้าเจียงผู้นี้เป็นญาติของเจียงเก๋อเหล่า เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ดเล็ก ๆ ในกรมโยธาธิการ ไม่มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ กลับกันบุตรชายของเจียงเก๋อเหล่าเป็นถึงรองเจ้ากรมโยธาธิการ”
“เรื่องในราชสำนักข้าไม่อาจยุ่ง ไม่ว่าบิดาของนางจะผิดจริงหรือไม่ นั่นก็ไม่เกี่ยวกับนาง ดูจากหลายปีมานี้ที่นางใช้ชีวิต เดิมทีนางเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง แต่ต้องมาทำงานคนเดียวเพื่อเลี้ยงดูแม่ที่แก่เฒ่า พี่สะใภ้ที่ป่วยอิดออด ทั้งยังมีหลานชายอีก” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากนางมีความสามารถจริง ๆ ก็ให้นางทำงานที่นี่ เช่นนี้จะได้รับเงินค่าจ้างมากกว่าที่อื่น”
อย่างไรเสีย มู่ซืออวี่ก็เป็นเจ้านายที่ใจกว้างผู้หนึ่ง
ยากนักที่จะหาเจ้านายที่มอบของขวัญให้ลูกจ้างในวันหยุด มีเงินพิเศษสิ้นปี และมีวันลาหยุดประจำปี
ด้วยสวัสดิการที่เรือนกรุ่นฝันมอบให้ คนมากมายจึงพยายามเข้ามา ทว่าเงื่อนไขการรับสมัครคนของเรือนกรุ่นฝันเข้มงวดเป็นอย่างมาก ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ต้องได้รับการตรวจสอบไปถึงสามชั่วอายุคน