สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 543 ลู่อี้ถูกตั้งคำถาม
บทที่ 543 ลู่อี้ถูกตั้งคำถาม
บทที่ 543 ลู่อี้ถูกตั้งคำถาม
มู่เจิ้งหานมาที่นี่เพื่อสอบถามข่าวคราวของถงซื่อ เขาอ่านจดหมายที่ถงซื่อเขียนมาให้จึงรู้สึกวางใจบ้างแล้ว
“ท่านแม่มอบของสิ่งนี้ให้เจ้า” มู่ซืออวี่นำห่อผ้าเล็ก ๆ ห่อหนึ่งออกมาจากตู้ “ข้าไม่ได้เปิดดู เจ้าเปิดดูเอาเองเถิดว่าเป็นอะไร
มู่เจิ้งหานเปิดห่อผ้านั้นออกอย่างว่าง่าย ข้างในเป็นเสื้อผ้าที่ถงซื่อทำให้เขา รวมไปถึงของอย่างเนื้อแห้งที่นางทำเพื่อให้เก็บรักษาได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังมีตั๋วเงินอีกหลายฉบับ
ถงซื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ในจดหมายว่า นางรู้ว่ามู่เจิ้งหานติดตามพี่สาวและพี่เขยมาย่อมไม่ขาดเงินอย่างแน่นอน ทว่านี่เป็นสิ่งที่นางเก็บไว้เพื่อลูกชาย เป็นความตั้งใจของนางและอยากให้มู่เจิ้งหานเก็บเอาไว้
“ท่านแม่นี่จริง ๆ เลย ข้าโตเพียงนี้แล้วยังเป็นห่วงข้าอีก” ดวงตาของมู่เจิ้งหานค่อย ๆ แดงเรื่อขึ้น “ตอนนี้นางมีจูเฉินแล้ว ดูแลเขาให้ดีก็ใช้ได้แล้ว”
“หากท่านแม่ไม่คิดถึงเจ้าจริง ๆ เจ้าจะไม่แอบร้องไห้เอาหรือ?” มู่ซืออวี่หยอกเขา “เมื่อครู่ใครกันที่มองข้าหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ หากข้าบอกว่าไม่มีข่าวคราวจากท่านแม่ เกรงว่าเจ้าคงเศร้าใจไปนานแล้ว”
“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นเสียหน่อย”
“จริงรึ?”
“เอาเถอะ ข้าเพียงเป็นห่วงท่านแม่” มู่เจิ้งหานเอ่ย “ท่านอาจูดีจริง ๆ ทว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อข้าจากมาแล้ว เขาจะยังดีต่อท่านแม่อยู่หรือไม่?”
“เจ้าวางใจเถอะ ถึงแม้ท่านแม่จะเขียนจดหมายมาไม่บ่อยนัก ทว่าข้ากับซูอวี้โต้ตอบจดหมายกันอยู่เสมอ นางรู้ว่าพวกเราเป็นห่วงท่านแม่จึงคอยดูสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ห่าง ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ย “นางบอกว่าโรงหมอของท่านอาจูเป็นโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮู่เป่ย นอกจากเขาจะตรวจคนไข้เองแล้ว ยังเชิญท่านหมออีกห้าคนมาตรวจอาการคนไข้ด้วย ทุกวันล้วนมีคนไข้มาต่อแถวซื้อยาจากพวกเขามากมาย”
มู่เจิ้งหานได้ยินมู่ซืออวี่เอ่ยเช่นนั้นก็พลอยรู้สึกโล่งใจ
อันที่จริงเขารู้ว่าท่านหมอจูเป็นคนเชื่อถือได้ ทว่าในฐานะลูกชายคนหนึ่งที่ห่างบ้านมาไกลแล้ว ย่อมอดกังวลที่แม่ของเขาไม่ได้อยู่ข้างกายไม่ได้ ทว่าเขาเชื่อใจพี่สาว นางกล่าวเช่นไรย่อมต้องเป็นเช่นนั้น
มู่ซืออวี่ถามเรื่องเซวียนอ๋องเล็กน้อย
“เซวียนอ๋องเริ่มเข้าว่าราชการในราชสำนักแล้ว เจ้าและฉาวอวี่เป็นสหายร่วมเรียนของเขา ยังดีที่เจ้าและฉาวอวี่ยังเล็กไม่มีชื่อเสียงอันใด คงไม่มีผู้ใดมาจับจ้องพวกเจ้านัก ทว่าหากพวกเจ้าได้รับเกียรติคุณมีตำแหน่งขุนนาง เกรงว่าพวกเจ้าอาจไม่ได้ใช้ชีวิตเช่นนี้อีก”
“ข้ารู้ พี่เขยและลู่เซวียนล้วนยุ่งมาก เมื่อข้าและลู่ฉาวอวี่ติดตามเซวียนอ๋องบ่อยครั้งเข้า พวกเราก็รู้เรื่องในราชสำนักมาไม่น้อย แม้พวกเราจะยังไม่ได้รับเกียรติคุณใด ๆ แต่กลับก้าวเข้าไปในราชสำนักแล้ว” มู่เจิ้งหานเอ่ย “ข้าและฉาวอวี่จะระมัดระวัง”
เมื่อมู่เจิ้งหานออกไปจากเรือนกรุ่นฝันก็เห็นเจียงอีเมิ่งกำลังรับรองลูกค้าอยู่ที่นั่น อีกทั้งลูกค้าคนนั้นยังซื้อของที่เห็นว่าคุ้มค่าจากการแนะนำของนางด้วย
“นางร้ายกาจยิ่งนัก” เขาเอ่ยชม
“นางมาที่นี่ได้ไม่นาน แต่กลับได้ทำใบจองสินค้าวันละหลายคำสั่งซื้อ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่เพียงเท่านั้น หลาย ๆ คำสั่งซื้อที่คู่แข่งชิงไป นางก็ชิงกลับมาได้แล้ว”
ถึงแม้มู่ซืออวี่จะไม่ได้สนใจคำสั่งซื้อที่ถูกแย่งไปเหล่านั้น แต่อย่างไรก็รู้สึกโล่งใจที่ได้กลับมา นอกจากนั้น นางชื่นชมเด็กที่โดดเด่นเช่นนี้ ตั้งใจว่าจะสังเกตอีกฝ่ายไปสักระยะ หากเจียงอีเมิ่งยินดีอยู่ที่นี่ระยาว เช่นนั้นนางก็จะเลื่อนตำแหน่งให้ ชีวิตสตรีกตัญญูผู้นี้จะได้สะดวกสบายขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย
หลังจากมู่เจิ้งหานไปแล้ว เจียงอีเมิ่งเห็นมู่ซืออวี่จึงเดินเข้ามาหา
“เจ้านาย เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่าคุณชายมู่เป็นน้องชายของท่าน พวกเราพบกันโดยบังเอิญ”
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา “ถึงแม้เขาจะเป็นน้องชายของข้าแล้วอย่างไร เขาไม่ได้มีตาเพิ่มขึ้นมาสักหน่อย มีอันใดให้หวาดกลัวกัน?”
เจียงอีเมิ่งรู้สึกอับอายเล็กน้อย
เป็นนางที่ใช้จิตใจของผู้ร้ายตัดสินจิตใจคนดี
หลังออกมาจาก ‘เรือนกรุ่นฝัน’ มู่ซืออวี่ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำแล้ว นางจึงให้คนขับรถม้าไปจอดอยู่หน้าประตูศาลต้าหลี่ ตั้งใจว่าจะรอลู่อี้ออกมา
ระยะนี้ลู่อี้กลับบ้านเร็วเสมอ น้อยครั้งที่เขาจะทำงานล่วงเวลาอยู่ข้างนอก นางจึงเกิดความคิดที่จะรอคอย หากเป็นเทพมังกรมิเห็นหัวมิเห็นหางอย่างเมื่อก่อน นางคงไม่คิดมารอเขา ‘เลิกงาน’
“ฮูหยิน ออกมาแล้วเจ้าค่ะ” จื่อซูร้องขึ้น
มู่ซืออวี่เลิกม่านขึ้น เห็นใต้เท้าหลายคนออกมาคนแล้วคนเล่า ลู่อี้เองก็ออกมาแล้วเช่นกัน ในขณะที่มู่ซืออวี่กำลังจะลงจากรถม้า นางก็เห็นใต้เท้าคนหนึ่งเหวี่ยงหมัดไปที่ลู่อี้
ลู่อี้เบี่ยงกายหลบอย่างปราดเปรียว คว้าแขนของคนผู้นั้นไว้
จากนั้นก็บิดมือ และทุ่มคนผู้นั้นลงกับพื้นทันที
“อ๊าก…” คนผู้นั้นล้มลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังตุ้บ
ลู่อี้เช็ดมือของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า มองคนผู้นั้นที่จู่ ๆ ก็เข้ามาโจมตีด้วยสายตาเยือกเย็น
“ลู่อี้ เจ้าคนชั่วไร้ความสามารถ! ใต้เท้าหลินเมตตาเจ้าเพียงนั้นแต่เจ้ากลับทรยศเขา” คนที่นอนอยู่บนพื้นผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเขาถูกคนข้าง ๆ ช่วยพยุงขึ้นมา สีหน้าก็ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
คนอื่น ๆ ล้วนมองลู่อี้ด้วยสายตาแปลกประหลาด
ลู่อี้เดินจากมาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ไม่มีความสั่นไหวแม้แต่น้อย
มู่ซืออวี่ลงจากรถม้า นางเดินไปทางลู่อี้
เมื่อลู่อี้สังเกตเห็นนาง เขาพลันขมวดคิ้วมุ่น ไม่นานก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ข้าเพียงแค่ผ่านมา จึงอยากกลับพร้อมท่าน” มู่ซืออวี่เหลือบไปมองคนข้างหลังแวบหนึ่ง
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
หลังจากขึ้นมาบนรถม้าแล้ว มู่ซืออวี่พิงหัวเข้ากับไหล่ของลู่อี้ กอดแขนเขาเอาไว้
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนนั่งอยู่ในรถม้าด้านหลัง
มู่ซืออวี่กระชับแขนของนางให้แน่นขึ้น มิได้เอ่ยสิ่งใด นางหลับตาลงแล้วผล็อยหลับ
ลู่อี้ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก่อนจะค่อย ๆ ผลักหัวของนางออกให้นอนพักบนตักเขา
เขามองใบหน้านิ่งสงบของภรรยา ใช้นิ้วมือทัดปอยผมที่ปรกลงมาไปข้างหู
ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พวกเขาหลงลืมมันไปพร้อมกับความเงียบ ราวกับว่าไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นมาก่อน
เมื่อรถม้ากลับมาถึงบ้าน ลู่อี้จึงอุ้มมู่ซืออวี่ลงมา
มู่ซืออวี่สะดุ้งตื่นขึ้นจึงแตะไหล่เขาเบา ๆ ให้ปล่อยนางลง
“วันนี้กลับมาเร็วเช่นนี้ ท่านไปทำอาหารกับข้าดีหรือไม่” มู่ซืออวี่เอ่ย “เหมือนอย่างเมื่อก่อนตอนที่เราอยู่ชนบท ข้าทำอาหาร ท่านจุดไฟ”
“ได้” ลู่อี้บีบแก้มนางเบา ๆ “เจ้าว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
ชั่วขณะนี้ พวกเขารู้สึกราวกับได้ถอดเสื้อคลุมหรูหราออก กลับไปอยู่ในบ้านจน ๆ กลายเป็นสามีภรรยายากจนคู่หนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น
ณ หอซือเป่า ลู่จื่ออวิ๋นส่งผ้าที่ย้อมแล้วให้ผู้ดูแลเมิ่งดู
ผู้ดูแลเมิ่งสัมผัสเนื้อผ้านั้น รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่ปกติแล้วปราศจากอารมณ์
“เจ้าทำได้แล้วจริง ๆ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ทำได้แล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทว่ากว่าจะทำมันออกมาได้ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย ท่านแม่รวบรวมตำราย้อมผ้าและทอผ้าของอาณาจักรเฟิงหลิงจากทุกหนทุกแห่งมาให้ข้า”
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ทำออกมาแล้ว นี่เป็นความสามารถของเจ้า” ผู้ดูแลเมิ่งเอ่ย “ข้ากล่าวไว้แล้วว่า ขอเพียงเจ้าทำได้ ชุดกระโปรงของฮูหยินจวนอู่อันโหวจะมอบให้เจ้ารับผิดชอบ”
“ขอบคุณผู้ดูแลเมิ่ง”
“ข้าไม่มีลูกศิษย์ และเกียจคร้านเกินกว่าจะรับ หากเจ้าชาญฉลาดรู้จักเหตุและผล ข้าจะสอนสิ่งที่รู้ให้เจ้า” ผู้ดูแลเมิ่งเอ่ยปาก
“ขอบคุณผู้ดูแลเมิ่ง ข้าจะพยายามเรียนรู้ให้มากเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นอดรู้สึกดีใจขึ้นมาไม่ได้