สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 547 นิสัยที่แท้จริงของดอกบัวขาว
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 547 นิสัยที่แท้จริงของดอกบัวขาว
บทที่ 547 นิสัยที่แท้จริงของดอกบัวขาว
บทที่ 547 นิสัยที่แท้จริงของดอกบัวขาว
“อวี๋เสี่ยวหลาน เก็บข้าวของของเจ้าออกไปเสีย หอซือเป่านี้เล็กเกินไป ไม่สามารถรองรับพระองค์ใหญ่*[1] อย่างเจ้าได้” ผู้ดูแลเมิ่งเอ่ยอย่างเย็นชา
“ผู้ดูแล ข้าผิดไปแล้ว ภายหน้าข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว อย่าไล่ข้าไปเลยนะเจ้าคะ” อวี๋เสี่ยวหลานคุกเข่าลงกับพื้น ร้องขอความเมตตา
“ก่อนที่เจ้าจะไป จำไว้ว่าต้องชดเชยขนจิ้งจอกที่เจ้าดึงไปด้วย ข้าไม่หวังให้เจ้าเป็นคนซ่อมแซมมัน เจ้าเพียงแค่ต้องหาขนจิ้งจอกเช่นเดียวกันมาเท่านั้น” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ซ่งกูกูขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “เอาละ ในเมื่อเรื่องราวตรวจสอบออกมาชัดเจนแล้ว เช่นนั้นก็แยกย้ายกันเถอะ! อย่าได้มัวผสมโรงครึกครื้นอยู่ตรงนี้เลย”
เมื่อเห็นผู้ดูแลทั้งสองกำลังจะจากไป อวี๋เสี่ยวหลานก็วิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าพวกนาง
“ผู้ดูแลเมิ่ง ซ่งกูกู โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้งด้วยเถิด! ข้าขอร้องพวกท่าน” อวี๋เสี่ยวหลานร้องไห้คร่ำครวญ “ข้าหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ ข้าอิจฉาที่ลู่จื่ออวิ๋นเก่งกล้าไปเสียทุกอย่าง ข้าเพียงแต่ต้องการทำให้นางไม่มีความสุข ข้าไม่ได้ทำร้ายนาง!”
“เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้า ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะเจ้าไม่กล้า” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “หากข้าเป็นเพียงหญิงเย็บปักธรรมดา เจ้าคงไม่ทำแค่ดึงขนจิ้งจอกออกมาไม่กี่เส้นเป็นแน่ เจ้ารู้ว่าเสื้อผ้าชุดนี้ล้ำค่ามาก และหากมันเสียหายในมือข้า ข้าจะต้องถูกลงโทษอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เจ้าฉลาดมาก เจ้าเพียงดึงขนจิ้งจอกออกมาไม่กี่เส้นแทนที่จะทำลายชุดนี้ไปเสีย เจ้ากำลังเดิมพัน เดิมพันว่าข้าต้องจบสิ้น”
“แต่สิ่งที่เจ้าคาดไม่ถึงคือเพียงแค่ขนจิ้งจอกไม่กี่เส้นนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยวางง่าย ๆ ข้าทำให้เรื่องนี้ใหญ่โต และไม่ยินดีรับผลของการกระทำโง่ ๆ นี้ จากนั้นเจ้าจึงรู้ตัวว่าได้เตะแผ่นเหล็กเข้าแล้ว เจ้ายอมรับสารภาพด้วยความจริงใจงั้นหรือ? ไม่ใช่เลย เจ้าถูกบีบบังคับให้ยอมรับความผิดต่างหาก หากวันนี้พวกเราปล่อยเจ้าไป เจ้าก็ยังเกลียดข้าอยู่ดี ข้าพูดไม่ผิดกระมัง?”
“ไม่… ไม่ใช่เช่นนั้น…” สีหน้าของอวี๋เสี่ยวหลานเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
นางรู้ว่าสิ่งที่ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวมาเป็นเรื่องจริง
ดึงขนจิ้งจอกดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าจิ้งจอกนั้นหาได้ไม่ง่าย หากซ่อมแซมเสื้อผ้าชุดนั้นไม่ได้ จะต้องเป็นการล่วงเกินฮูหยินอู่อันโหวเป็นแน่ ถึงแม้ลู่จื่ออวิ๋นจะเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง ทว่าขั้นขุนนางของบิดานางกลับไม่สูงมากนัก หากไปล่วงเกินคนที่มีอำนาจ อาจถูกดึงเข้าไปพัวพันทั้งวงศ์ตระกูล
“ดังนั้น ทำความผิดก็คือทำความผิด เหตุใดต้องขอให้ผู้อื่นอภัยให้เจ้า? ยิ่งไปกว่านั้น การขอโทษขอโพยที่ไร้ความจริงใจเช่นนี้ไม่น่าสงสารเลยสักนิด” สิ้นคำ ลู่จื่ออวิ๋นก็หันไปหาผู้ดูแลเมิ่ง “ผู้ดูแลเมิ่งเจ้าคะ ข้าไม่มีทางให้อภัยนาง หากอวี๋เสี่ยวหลานยังอยู่ที่นี่ ข้าคงต้องสงสัยในความยุติธรรมของหอซือเป่า ข้าขอยินดีจากไปเสียดีกว่าอยู่ร่วมกับนางที่นี่”
“วางใจเถิด หอซือเป่าไม่มีทางยอมทนกับคนที่ทำความผิดเช่นนี้” ซ่งกูกูเอ่ย “อวี๋เสี่ยวหลานตั้งใจทำลายผู้อื่น หอซือเป่าของพวกเราไม่อาจรับนางไว้เช่นกัน”
อวี๋เสี่ยวหลานรู้ว่าตนจบสิ้นแล้ว
หญิงเย็บปักนางอื่นล้วนไม่กล่าวคำใด แม้กระทั่งถังซานซานที่ปกติเป็นสหายยังจงใจหลบสายตานาง
ในช่วงเวลานี้ ไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นมาแทรกแซงเรื่องนี้เพื่ออวี๋เสี่ยวหลาน
ขนจิ้งจอกหาได้ยากยิ่ง ทว่าลู่จื่ออวิ๋นไปสอบถามมาแล้ว นางรู้ว่าผู้ใดมีขนจิ้งจอกแบบเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ อวี๋เสี่ยวหลานจึงต้องชดใช้ด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงิน เรื่องวุ่นวายจึงสิ้นสุดลง
“จื่ออวิ๋น นี่เป็นขนมดอกกุ้ยฮวาที่ท่านแม่ของข้าทำ เจ้าอยากลองชิมดูหน่อยหรือไม่?” หญิงเย็บปักนางหนึ่งเปิดกระดาษไขออก เอ่ยถามลู่จื่ออวิ๋นอย่างระมัดระวัง
ลู่จื่ออวิ๋นวางสิ่งที่ทำอยู่ในมือลง เช็ดนิ้วมือกับผ้าเช็ดหน้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
หญิงเย็บปักนางนั้นนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมรับไปจริง ๆ สายตาจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ฝีมือทำอาหารของแม่เจ้าดีจริง ๆ อร่อยมาก ขอบคุณ”
“อ๊ะ? ไม่ ๆ เจ้าไม่ต้องขอบคุณ”
ถึงแม้หญิงเย็บปักนางนั้นตั้งใจจะประจบลู่จื่ออวิ๋น แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าลู่จื่ออวิ๋นจะรับไปกินจริง ๆ ตอนที่นางกลับไปยังที่ของตนเองจึงรู้สึกราวกับว่าลอยได้
ลู่จื่ออวิ๋นทำเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โตเพียงนี้ หลังจากนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกแม่นางที่อายุน้อยที่สุดของหอซือเป่าอีก
เรื่องทั้งหมดดูเหมือนเรียบง่าย ทว่ามันเผยตรรกะความคิดบางอย่างของนางออกมา ลู่จื่ออวิ๋นไม่ใช่เพียงแจกันงดงาม หากดูแคลนนางย่อมไม่มีผลดีอันใด
การออกไปของอวี๋เสี่ยวหลานดูเหมือนจะเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องนี้ ทว่าขณะที่ลู่จื่ออวิ๋นกำลังซ่อมแซมชุดกระโปรงของฮูหยินอู่อันโหว ฟางเหยาผู้ที่เพิ่งทราบเหตุการณ์ก็รุดมาหา
“จื่ออวิ๋น เสี่ยวหลานทำไม่ถูกจริง ๆ แต่การไล่นางออกไปไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ? ครอบครัวของนางยากจนมาก แม่ของนางเป็นคนขี้ขลาด พ่อเลี้ยงของนางมักจะทุบตีด่าว่านางเสมอ หากนางกลับไปใช้ชีวิตเช่นนั้นนางจะต้องตายเป็นแน่”
“แล้วอย่างไร?” ลู่จื่ออวิ๋นเงยหน้ามองฟางเหยา “เพราะนางน่าสงสารมาก แม้ฆ่าคนก็ควรได้รับการให้อภัยอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น!”
“หากข้าถูกผู้สูงศักดิ์ลงโทษเพราะชุดกระโปรงตัวนี้ ท่านก็จะบอกว่า ‘นี่ไม่ได้ร้ายแรง’ ใช่หรือไม่? พี่หญิงฟางเหยา ท่านใจดี ข้าหวังว่าต่อคนที่ทำร้ายท่าน ท่านก็จะใจดีเช่นนี้ แต่ข้าคงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว ข้าไม่ใช่คนใจดีเช่นนั้น ดังนั้นใครที่คิดจะทำอันใดกับข้าจะต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่าจะสามารถรับผลของการกระทำได้หรือไม่”
“พี่หญิงฟางเหยา…” ถังซานซานดึงฟางเหยาออกไป “ไม่ต้องพูดแล้ว”
“แต่ว่า…” ฟางเหยาขมวดคิ้วมุ่น “สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้งไม่ใช่หรือ? จริงอยู่ว่าเสี่ยวหลานทำเรื่องที่ผิด ทว่าก็ไม่อาจใช้ไม้ตีนางจนตาย อย่างน้อยก็ให้โอกาสนางสักครั้งเถิด”
หญิงเย็บปักคนอื่น ๆ ไม่กล่าวสิ่งใด ราวกับพวกนางไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
ฟางเหยามองทุกคน ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้น… พวกเรามาลงขันกัน รวบรวมเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เสี่ยวหลาน ได้ยินว่านางจ่ายค่าชดใช้ไปหนึ่งร้อยตำลึงเงิน นั่นคงเป็นเงินเก็บทั้งหมดของนาง”
“สถานการณ์ทางบ้านข้าก็ไม่ดีเช่นกัน” หนึ่งในหญิงเย็บปักเอ่ยขึ้น
“ใช่ ข้าก็นำเงินออกมาไม่ได้”
“หนึ่งร้อยอีแปะ สองร้อยอีแปะคงพอมีกระมัง?” ฟางเหยาเอ่ยอีกครั้ง “ข้ายินดีช่วยนางสิบตำลึงเงิน พวกเจ้าอย่างไรก็ได้ มีมากก็ให้มากมีน้อยให้น้อย หนึ่งหรือสองตำลึงเงินก็ได้”
เมื่อฟางเหยาเอ่ยเช่นนี้ หญิงเย็บปักคนอื่น ๆ จึงรู้สึกละอายใจที่จะปฏิเสธ พวกนางจึงมอบเงินช่วยอวี๋เสี่ยวหลานจริง ๆ
หยางเจิงขมวดคิ้ว “พวกเจ้าโง่หรือ? คนผู้หนึ่งทำตัวมีปัญหา อีกทั้งยังทำร้ายผู้คนรอบกายนาง แต่พวกเจ้ายังคิดจะรวบรวมเงินมอบให้นาง พี่หญิงฟางเหยามีความสัมพันธ์อันดีกับอวี๋เสี่ยวหลาน หากนางจะให้ก็เป็นเรื่องของนาง เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้ากัน?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หญิงเย็บปักคนอื่น ๆ จึงถอนมือกลับ
ท้ายที่สุดจึงเหลือเพียงห้าหกคนที่ยอมจ่ายเงิน อีกทั้งจำนวนเงินที่ได้ก็ไม่ได้มากมาย
ลู่จื่ออวิ๋นไม่สนใจเรื่องของพวกนางแม้แต่น้อย แสร้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น
ฟางเหยาถอนหายใจเบา ๆ “ช่างเถอะ ข้าจะเอาไปให้นาง! ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนก็รู้จักกัน”
อู๋ชุนหลานลูบหัวตนเองเบา ๆ “เหตุใดข้ารู้สึกว่าพี่หญิงฟางเหยาดูแปลก ๆ?”
ไม่ว่าจะใจดีเพียงใด แต่คงไม่ต้องสงสารคนที่ทำเรื่องไม่ดีกระมัง? ความใจดีของนางเอาไปใช้ที่อื่นไม่ได้หรือ?
“แม่นางลู่ มีคนส่งของห่อนี้มาเจ้าค่ะ” สาวใช้ถือห่อหนึ่งเข้ามา
“ขอบคุณ” ลู่จื่ออวิ๋นเปิดห่อนั้นออก พบว่ามีขนจิ้งจอกชั้นดีอยู่ภายใน
นางถอนหายใจอย่างโล่งอก “ดียิ่งนัก เช่นนี้ก็จะซ่อมแซมได้แล้ว”
“ขนจิ้งจอกนี้สวยงามจริง ๆ” หยางเจิงเอ่ย “คงแพงมากกระมัง?”
“หนึ่งร้อยตำลึงเงินก็ซื้อหาไม่ได้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าให้ท่านพ่อช่วยหาให้”
“ท่านพ่อเจ้ายังสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อีกหรือ? ปกติท่านพ่อเจ้างานยุ่งมากไม่ใช่หรือไร” หยางเจิงเอ่ยด้วยความอิจฉา
[1] พระองค์ใหญ่ ในที่นี้มาจากสำนวน ‘วัดของเราเล็กเกินไปที่จะรองรับพระพุทธรูปองค์ใหญ่’ หมายถึง บุคคลที่ไม่เข้ากับสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง