สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 552 ซื่อจื่อไม่ทานปลา
บทที่ 552 ซื่อจื่อไม่ทานปลา
บทที่ 552 ซื่อจื่อไม่ทานปลา
เมื่อขึ้นเขามาได้ไม่นานนัก ท้ายที่สุดเจี่ยหลิงหลงก็ยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่เล่นอยู่กับลู่จื่ออวิ๋น
คนอื่น ๆ แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มของฉินเหลียนวิ่งไล่จับกระต่ายป่าที่หนีไป ส่วนเฟิงหว่านเอ๋อร์ร่ำร้องที่จะขึ้นเขาไปชมวิวทิวทัศน์ โม่ชิงเหยียนข่มกลั้นความอดทนที่ใกล้หมดลงของตนเองไว้และพานางขึ้นเขาไปแล้ว
ในที่สุด หูนางก็โล่งเสียที ลู่จื่ออวิ๋นผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
นางและเจี่ยหลิงหลงเคยอาศัยอยู่ในชนบททั้งคู่จึงค่อนข้างคุ้นชินกับสภาพบนภูเขา พี่หญิงน้องหญิงเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทั้งยังพูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ตรงนั้นมีผลไม้ป่าด้วย!” เจี่ยหลิงหลงร้องเรียกลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นกำลังขุดเห็ด เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็ตอบกลับโดยไม่ได้หันไปมอง “ระวังด้วยล่ะ ข้าจะขุดเห็ดก่อน”
“ได้ เจ้าขุดของเจ้าไปเถอะ ข้าจะไปเก็บมันมา” สิ้นคำ เจี่ยหลิงหลงพลันถกกระโปรงขึ้น เดินไปทางต้นไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เจี่ยงหลิงหลงเป็นสตรีเจ้าเนื้อ แม้หมู่นี้นางจะถูกบังคับให้ลดน้ำหนักเพราะต้องเรียนรู้การเป็นแม่ศรีเรือน แต่อย่างไรนางก็ยังคงตัวกลมเมื่อเทียบกับสตรีคนอื่น ๆ
นางเหยียบไปบนกิ่งไม้เพื่อที่จะเก็บผลไม้ป่า ดวงตาเหลียวมองพลางปีนป่ายสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ขณะที่นางกำลังจะเก็บผลไม้ป่าลูกที่โตที่สุดได้นั้น จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังแครก เท้าของนางวูบโหวงและตกลงไปทันที
“กรี๊ดดดดด!…”
ระหว่างที่ลู่จื่ออวิ๋นขุดเห็ดดอกใหญ่ขึ้นมาได้นั้น นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเจี่ยหลิงหลงจึงหันไปมอง ภาพอีกฝ่ายร่วงลงบนพื้นปรากฏในลานสายตาของแม่นางน้อย
นางรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าเด็กโง่คนนี้ เหตุใดจึงปีนขึ้นไปสูงนัก?
นางคิดว่าเป็นเพียงต้นไม้เล็ก ๆ นึกไม่ถึงว่าผลไม้ที่อีกฝ่ายบอกจะอยู่บนต้นไม้ที่สูงเพียงนั้น หากนางรู้เสียแต่เนิ่น ๆ…
อ๊ะ?
เงาร่างหนึ่งทะยานมาด้วยความรวดเร็วและรับเจี่ยหลิงหลงเอาไว้ได้พอดิบพอดี
ลู่จื่ออวิ๋นชะงักงันไปชั่วขณะ ทว่าสุดท้ายก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการวิ่งเข้าไปหา
“หลิงหลง”
เซี่ยชิงโจววางเจี่ยหลิงหลงลง
แก้มของเจี่ยหลิงหลงพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ราวกับว่าแต้มชาดมาก็ไม่ปาน
“แม่นางน้อย มีชีวิตอยู่ดีหรือไม่? เหตุใดถึงได้ปีนขึ้นไปสูงเพียงนั้น?” เซี่ยชิงโจวขมวดคิ้ว
“ขะ ขอโทษ” เจี่ยหลิงหลงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย
เซี่ยเฉิงจิ่นและชายหนุ่มแข็งแรงกำยำอีกคนเดินเข้ามาหา
ชายหนุ่มแข็งแรงกำยำผู้นั้นเอ่ยขึ้น “นับว่าเป็นโชคดีของเจ้านะแม่สาวน้อย หากไม่ใช่เพราะคุณชายเซี่ยรักหยกถนอมบุปผา แม้เจ้าตกลงมาจากข้างบนแล้วไม่ตาย เกรงว่าคงต้องนอนซมอยู่บนเตียงไปสามสี่เดือนแล้ว”
“ขอบคุณ ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจี่ยหลิงหลงลอบมองเซี่ยชิงโจว แล้วไปหลบอยู่ข้างหลังลู่จื่ออวิ๋น
“แม่นางลู่” เซี่ยชิงโจวมองลู่จื่ออวิ๋นแล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญจริง พวกเราพบกันอีกแล้ว”
“เรือนพักบนภูเขาแห่งนี้ครอบครัวข้าเปิด ที่ดินผืนนี้ท่านแม่ข้าซื้อ เห็นข้าอยู่ที่นี่ย่อมเป็นเรื่องปกติ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ
“แม่นางลู่กล่าวเช่นนี้ ข้ารู้สึกราวกับเห็นแสงทองคำอาบไล้ไปทั่วตัวเจ้า”
ลู่จื่ออวิ๋นค้อมคำนับเซี่ยเฉิงจิ่น “เซี่ยซื่อจื่อ”
เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยนิ่ง ๆ “ไม่ต้องมากพิธี”
“เซี่ยซื่อจื่อ พวกท่านขึ้นเขามาทำอันใดหรือเจ้าคะ?”
“อืม มาล่าสัตว์” เซี่ยเฉิงจิ่นตอบ “บนเขาลูกนี้มีสัตว์ป่าและของป่ามากมาย คนงานของพวกเจ้าบอกว่าสามารถล่าได้ตามสบาย หากอยากส่งสัตว์ป่าและของป่าให้ทางครัวทำ เพียงแค่ต้องจ่ายค่าดำเนินการเท่านั้น”
“เช่นนั้นซื่อจื่อจะล่าสัตว์ต่อหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นแย้มยิ้มบาง ๆ
“ข้าเหนื่อยแล้ว ในเมื่อที่นี่เป็นอาณาเขตของสกุลลู่ ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน ควรพาพวกเราชมรอบ ๆ หน่อยหรือไม่?”
“ในภูเขามีอันใดให้ชมกัน? ทว่า ในเมื่อซื่อจื่อชมชอบการล่าสัตว์ อยากจะลองย่างสัตว์ป่าบนภูเขาดูหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มน้อย ๆ “บนภูเขามีน้ำพุแห่งหนึ่ง น้ำของที่นั่นหวานเป็นพิเศษ พวกเราสามารถไปย่างเนื้อทานกันที่นั่นได้”
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลายคนนั่งรายล้อมอยู่รอบกองไฟ บนกองไฟมีกระต่ายป่าย่างตัวหนึ่ง ปลาย่างห้าตัว อีกทั้งยังมีผักย่างอีกเล็กน้อย ส่วนเครื่องปรุงนั้น เซี่ยชิงโจวลงจากเขาไปเอามา
“ตอนข้ายังเด็ก ที่บ้านข้ายากจนมาก ท่านแม่ข้าสามารถเปลี่ยนสัตว์ป่าและของป่าให้กลายเป็นอาหารอันโอชะได้ ในตอนนั้นเนื้อย่างของท่านแม่เป็นอาหารรสเลิศที่สุดในโลกแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางย่างกระต่ายป่า “ทว่าฝีมือทำอาหารของข้าไม่ดีเท่าท่านแม่ พวกท่านทานแก้ขัดไปก่อนเถิด!”
เจี่ยงเหล่าซานนามเจี่ยงหย่งหยาง เป็นบุตรนอกสมรสของสกุลเจี่ยง นับตั้งแต่สิบห้าเขาก็ทำงานให้กับเซี่ยเฉิงจิ่นแล้ว
วันนี้เขาเชิญเซี่ยเฉิงจิ่นมาที่นี่เพราะสกุลเจี่ยงเป็นลูกค้าเก่าแก่ของเรือนกรุ่นฝัน เขาบังเอิญได้รับบัตรเชิญมาพอดีจึงมาดูที่นี่เสียหน่อย นึกไม่ถึงว่าซื่อจื่อของพวกเขาจะรู้จักกับเจ้าของที่นี่
“มีบางอย่างติดหน้าเจ้า” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบา ๆ “ตอนนี้เป็นอย่างไร?”
เซี่ยเฉิงจิ่นชี้ไปที่จมูกของเขา “ตรงนี้”
ลู่จื่ออวิ๋นยังคงเช็ดอีกสองสามครั้ง “ยังมีอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว”
“ขอบคุณซื่อจื่อ”
เจี่ยงหย่งหยางดึงแขนเสื้อของเซี่ยชิงโจว ลดเสียงลงกระซิบกระซาบกับเขา “นี่มันสถานการณ์แบบใด?”
เซี่ยซื่อจื่อผู้ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีท่าทีต่อสตรีใดกลับให้ความสนใจกับแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ถึงขั้นใส่ใจว่าบนหน้านางจะเปื้อนฝุ่นหรือไม่ นี่เขาจากเมืองหลวงไปเพียงพักเดียวจนพลาดอะไรไปใช่หรือไม่?
“หากเจ้ารู้ว่าซื่อจื่อยังให้นางขี่ม้าแสนรักของตน เรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อยนี่ไม่นับเป็นอันใดเลย” เซี่ยชิงโจวเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ว่าอย่างไรนะ?!” ดวงตาของเจี่ยงหย่งหยางเบิกกว้าง
เซี่ยเฉิงจิ่นขมวดคิ้ว “ตกใจอะไรเพียงนั้น?”
“ไม่มีอะไร ๆ” เจี่ยงหย่งหยางมองลู่จื่ออวิ๋นอีกครั้ง
แม่นางน้อยผู้นี้เยี่ยมยอดกว่าที่คิด
“ทานได้แล้วเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นส่งปลาให้เซี่ยเฉิงจิ่น
“ซื่อจื่อไม่…” กินปลา
เซี่ยชิงโจวต้องการเอ่ยอย่างนั้น เพียงแต่เซี่ยเฉิงจิ่นกลับรับมันมาแล้ว เขาจึงต้องกลืนคำพูดลงท้องไปทั้ง ๆ ที่ยังกล่าวไม่จบ
เซี่ยเฉิงจิ่นไม่กินปลา หนึ่งเพราะก้างปลาทำให้เขาหงุดหงิด เขาไม่ได้มีความอดทนเพียงนั้น สองเพราะปลามีกลิ่นคาว เขาจึงไม่ชอบกินมัน
ปลาย่างของลู่จื่ออวิ๋นส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอออกมา ทว่ามันกลับดำปี๋เสียจนไม่น่ามอง ถึงแม้เซี่ยเฉิงจิ่นจะไม่กินก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกแปลกใจ
แต่เขากลับกินมันเข้าไปแล้ว
อีกทั้งยังกินเป็นคนแรก
“เป็นอย่างไรเจ้าคะ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าย่างเลยนะเจ้าคะ” นางเคยย่างแต่อย่างอื่น ทว่าไม่เคยย่างปลามาก่อน
คงไม่ถึงกับทานไม่ได้กระมัง?
ลู่จื่ออวิ๋นพลันรู้สึกผิดขึ้นมา
“ไม่เลว” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “มีอะไรให้ดื่มหรือไม่?”
“มี เมื่อครู่ข้าลงเขาไปหาคนงาน พวกเขาให้น้ำผลไม้ข้ามาหลายกระบอก มีทั้งน้ำหยางเหมย น้ำองุ่น น้ำแตงโม…” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “แต่ว่านะแม่นางลู่ เรือนพักบนภูเขาของครอบครัวพวกเจ้ามีทุกสิ่งที่ต้องการจริง ๆ”
ลู่จื่ออวิ๋นส่งปลาอีกไม้ให้เจี่ยหลิงหลง เจี่ยหลิงหลงพลันกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นางมองสองคนที่อยู่ข้าง ๆ แล้วหันไปมองปลาตัวดำปี๋อีกครั้ง
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยตอบคำพูดของเซี่ยชิงโจว “ท่านแม่ทุ่มเทเพื่อที่แห่งนี้ไปไม่น้อย นางแทบจะจดจ่ออยู่แต่กับมันตลอดครึ่งปีมานี้”
“นอกจากลงแรงแล้ว คงใช้เงินไปไม่น้อยทีเดียว” เจี่ยงหย่งหยางกล่าว “พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะขาดทุนหรือ?”
“พูดเหลวไหลอันใด?” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองเจี่ยงหย่งหยาง
เจี่ยงหย่งหยางเอ่ยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “ข้าเพียงพูดไปเรื่อย ขออภัยด้วย”
“ท่านแม่ข้ากล้าลงทุน ดังนั้นนางย่อมมีความมั่นใจ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “พวกท่านคอยดูเถิด ภายในครึ่งปี ที่นี่จะต้องดึงดูดพ่อค้าวาณิชและกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ใคร ๆ ก็ต้องมาให้ได้เป็นแน่”