สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 563 มงกุฎดอกไม้ในห้อง
บทที่ 563 มงกุฎดอกไม้ในห้อง
บทที่ 563 มงกุฎดอกไม้ในห้อง
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นตื่นขึ้นมาก็พบว่ามานอนอยู่บนเตียงแล้ว
นางหันไปมองรอบ ๆ พบว่าที่นี่ยังเป็นห้องพักที่เรือนพักร้อนบนภูเขาของนาง
“มีใครอยู่หรือไม่?”
“คุณหนู” สาวใช้เดินเข้ามา “ท่านตื่นแล้ว”
“ข้ากลับมาได้อย่างไร?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย “บ่าวมาดูแลท่านตามคำสั่งของผู้ดูแลเจียง”
“เอาเถอะ ข้าหิวแล้ว”
“บ่าวจะไปนำอาหารมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ลู่จื่ออวิ๋นค่อย ๆ นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้
นางผล็อยหลับไปที่น้ำตก…
แล้วจากนั้นเล่า?
บนภูเขามีเพียงเซี่ยเฉิงจิ่น นอกจากเขาย่อมไม่มีผู้ใดพานางลงจากภูเขาได้อีก
เหตุใดนางจึงหลับลึกถึงเพียงนั้น กระทั่งมีคนพาลงจากภูเขายังไม่รู้สึกตัว
นางกำลังจะลงจากเตียง จู่ ๆ ก็เห็นว่าบนหมอนของนางมีมงกุฎดอกไม้
นางหยิบมงกุฎดอกไม้นั้นขึ้นมามองแล้วเอ่ยพึมพำ “ฝีมือดีทีเดียว”
เจียงอีเมิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับท่านหมอ เมื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังทานอาหารอยู่จึงกล่าวว่า “คุณหนู ข้าเห็นว่าท่านดูเหมือนจะบาดเจ็บจึงเชิญท่านหมอมาตรวจให้เจ้าค่ะ”
“ท่านเรียกข้าว่าจื่ออวิ๋นเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่บ้านข้า ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าคุณหนู”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ คุณหนูจื่ออวิ๋น” เจียงอีเมิ่งเอ่ยด้วยท่าทีสุภาพ “ท่านทานข้าวก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวค่อยให้ท่านหมอดูบาดแผลให้”
ลู่จื่ออวิ๋นทานอีกสองสองคำ จากนั้นก็ให้ท่านหมอมาตรวจดูอาการ
ท่านหมอให้คำแนะนำสองสามอย่าง เขากล่าวว่าห้ามไม่ให้แผลถูกน้ำ ทายาให้สม่ำเสมอ อีกไม่กี่วันก็จะดีขึ้นแล้ว
“เดิมทีก็เป็นเพียงรอยฟกช้ำเท่านั้น ไม่ร้ายแรงอันใด” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทว่ายังต้องขอบคุณความปรารถนาดีของท่าน”
เจียงอีเมิ่งให้สาวใช้ไปส่งท่านหมอ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยปาก “เซี่ยซื่อจื่อพาคุณหนูกลับมา ถึงแม้เซี่ยซื่อจื่อจะดูไม่เหมือนคนเลวร้ายอันใด ทว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ภายหน้าคุณหนูไม่อาจอยู่กับบุรุษอื่นเช่นนี้ หากมีคนพบเห็นเข้า ชื่อเสียงของท่านจะถูกทำลายเอาได้ โชคยังดี เซี่ยซื่อจื่อผู้นี้เป็นสุภาพชน ขณะที่เขาอุ้มท่านลงมา เขาเดินลงมาในเส้นทางลับและจงใจหลบเลี่ยงผู้คน”
“อุ้ม?” ลู่จื่ออวิ๋นพลันทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ฉะนั้นเรื่องเช่นนี้ไม่อาจให้เกิดขึ้นได้อีก” เจียงอีเมิ่งกล่าว “ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้จะอธิบายได้อย่างไร”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านที่เตือน ภายหน้าข้าจะระมัดระวัง”
เจียงอีเมิ่งกล่าวไม่ผิด เรื่องเช่นนี้ภายหน้าไม่อาจให้เกิดขึ้นอีก
นางงุนงงยิ่งนัก เหตุใดนางจึงเผลอหลับได้เล่า?
ลู่จื่ออวิ๋นว้าวุ่นใจยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าหลังจากถูก ‘ทรมาน’ เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน นางจะเหนื่อยล้าสะสมปานนั้น เอาเถอะ หากนางจะเผลอหลับไปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
นอกจากนั้นนางยังมีนิสัยดื้อดึง แม้เซี่ยเฉิงจิ่นจะบอกให้นางค่อยเป็นค่อยไป ทว่าตราบใดที่นางยังฝึกฝนได้ไม่ดี นางก็จะฝึกฝนให้ดีก่อนจึงจะยอมพักผ่อน เซี่ยเฉิงจิ่นทนดูไม่ไหว จึงหยุดแผนการเรียนขี่ม้าของนางทันที
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นออกไปข้างนอก กลับพบว่าหน้าต่างฝั่งตรงข้ามปิดลงแล้ว
เวลาเซี่ยเฉิงจิ่นอยู่ที่นี่ หน้าต่างบานนั้นจะเปิดอยู่เสมอ ตอนนี้มันกลับปิดลง หมายความได้เพียงอย่างเดียวว่าเซี่ยเฉิงจิ่นไปแล้ว
เมื่อนางมายังสนามม้าอีกครั้ง ก็พบว่าเจ้าชาดถูกพาตัวไปแล้วเช่นกัน นี่เป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของนาง
“เซี่ยซื่อจื่อบอกว่าคนเลี้ยงม้าที่ดูแลเจ้าชาดกลับมาแล้ว เขาจึงพามันไปและให้ข้าแจ้งคุณหนูขอรับ” คนเลี้ยงม้าเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น
“อืม” ลู่จื่ออวิ๋นเดินออกมา
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหล่าหญิงเย็บปักขึ้นรถม้า หันมามองเรือนพักผ่อนบนภูเขาอย่างอาลัยอาวรณ์
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ครั้งหน้าพวกเรามาอีกได้หรือไม่?” หยางเจิงเข้าไปกอดลู่จื่ออวิ๋น สีหน้าเศร้าโศกประหนึ่งพลัดพรากจากของรัก
“นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถการเย็บปักของพวกเจ้า”
“หากพวกเราทำได้ดีเล่า?” สวีมู่เวยเอ่ยถาม
“เช่นนั้นข้าจะพาพวกเจ้ามาเที่ยวเล่นที่นี่หนึ่งเดือน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
“เช่นนั้นพวกเราจะทำให้ดีที่สุด!”
เหล่าหญิงเย็บปักตื่นเต้นขึ้นมา
ลู่จื่ออวิ่นเปิดม่านออก จากนั้นก็มองชาวนาที่ทำงานอยู่กลางทุ่งนา
แผ่นหลังของพวกเขางองุ้ม แสงอาทิตย์แรงจ้าแผดเผาสาดส่อง เสื้อผ้าพวกเขาล้วนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ท่านพ่อ ท่านยังป่วยอยู่นะ พักผ่อนก่อนเถิด!”
“ข้าทำได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า” ชาวนาเฒ่าเอ่ยขึ้น “การเก็บเกี่ยวปีนี้ไม่ดีนัก หากไม่ทำงานให้หนักขึ้นหน่อย จะทำอย่างไรกับค่ายาของแม่เจ้า?”
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับติงเซียงสองสามคำ
ติงเซียงลงจากรถม้าไป ไม่นานนักก็กลับมา ในมือยังมีกาน้ำใบหนึ่ง
“พวกเรามีน้ำแล้วไม่ใช่หรือ?” หยางเจิงเอ่ยขึ้นมา
สวีมู่เวยมองพ่อและลูกชายที่คุกเข่าโขกศีรษะอยู่ข้างนอกแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้กระหายน้ำ เพียงแต่อยากมอบน้ำให้พวกเขาต่างหาก”
น้ำหนึ่งกาแลกเปลี่ยนกับเงินสิบตำลึงเงิน นั่นเพียงพอที่จะแก้ปัญหาเร่งด่วนให้พ่อและลูกชายคู่นั้นแล้ว
หยางเจิงและคนอื่น ๆ เงียบไป
ในคราแรกที่พวกนางเข้ามาในหอซือเป่า เรื่องรองคือเรียนทักษะฝีมือ สิ่งสำคัญที่สุดคือการหาเลี้ยงชีพ
ทว่าลู่จื่ออวิ๋นไม่เหมือนกับพวกนาง นางเย็บปักเพราะชื่นชอบ ไม่ได้ขาดเงิน ไม่ได้ขาดทรัพยากร ดังนั้นนางจึงทุ่มเทให้กับการเย็บปักถักร้อยได้โดยไม่มีสิ่งใดมาทำให้วอกแวก
ทุกคนกลับไปยังหอซือเป่า
ผู้ดูแลทั้งสองตรวจการบ้านของพวกนาง
“ก้าวหน้าไปมาก” ซ่งกูกูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนช่วงนี้พวกเจ้าจะขยันหมั่นเพียรมากทีเดียว!”
“จื่ออวิ๋นค่อนข้างเข้มงวดกับพวกเรา ทุกวันนางให้พวกเราเย็บปักถักร้อยเป็นเวลาหลายชั่วยาม อีกทั้งยังพาพวกเราอ่านตำรับตำราโบราณ เป็นประโยชน์กับพวกเรามากเลยเจ้าค่ะ”
“ใช่ ๆ”
พวกเราไม่เพียงแต่กิน ดื่ม สุขสบายอยู่ที่นั่น แต่ยังได้เรียนและฝึกฝนอย่างจริงจัง ดังนั้นโปรดวางใจให้พวกเราออกไปครั้งหน้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!
ลู่จื่ออวิ๋นพักอยู่ที่เรือนพักผ่อนบนภูเขาเป็นเวลาสิบวัน ช่วงนี้ยังไม่กลับมา นางขอลากับท่านเจ้าหอแล้ว ตั้งใจว่าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกสักห้าวัน
การพักผ่อนของนางคือการเข้าชั้นเรียนอีกมากมายหลายวิชา
ฉิน หมากล้อม ภาพวาด คักลายมือ บทกวี และบทเพลง ไม่ว่าสิ่งใดนางล้วนเรียนทั้งสิ้น ด้วยพรสวรรค์ นางเข้าใจทุกอย่างจนทะลุปรุโปร่งในคราเดียว อาจารย์ต่างก็ชื่นชอบนางเป็นพิเศษ
ชั่วพริบตา วันแต่งงานของเซวียนอ๋องและคุณหนูรองสกุลหยางก็มาถึงจนได้
ลู่อี้ในฐานะที่เป็นขุนนาง ลู่ฉาวอวี่ในฐานะที่สนิทชิดเชื้อกับฟ่านเหยี่ยน พิธีแต่งงานครั้งนี้พวกเขาจึงควรเข้าร่วม
ลู่อี้พาภรรยาและบุตรไปร่วมพิธีแต่งงาน หลังจากเข้ามาในจวนเซวียนอ๋องแล้ว เขาถูกพาไปยังแขกฝ่ายชาย ส่วนแขกฝ่ายหญิงมีองค์หญิงใหญ่เป็นผู้รับรอง
จวนเซวียนอ๋องแต่งเข้าบ้านฝ่ายสตรีเข้ามาอย่างเป็นทางการ โอกาสเช่นนี้มีเพียงต้องให้องค์หญิงใหญ่จัดการเท่านั้น ภายหน้าหากมีงานเลี้ยงใด ๆ เซวียนหวางเฟยจำต้องออกมาเป็นผู้รับรองแขกเหรื่อฝ่ายหญิงด้วยตัวเอง
ฮูหยินถานและคนอื่น ๆ เห็นมู่ซืออวี่ จึงแนะนำนางให้กับฮูหยินคนอื่น ๆ
เหล่าฮูหยินได้ยินว่าในเมืองหลวงมีฮูหยินขุนนางซึ่งเป็นผู้ทำการค้ามานานแล้ว จึงสนใจใคร่รู้เรื่องของนางเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเหล่าลูกค้าเก่าแก่ของเรือนกรุ่นฝันและแขกของเรือนพักผ่อนบนภูเขาที่กระตือรือร้นต่อนางเป็นพิเศษ เพราะหวังว่าจะได้ส่วนลดสักห้าส่วน
“นี่เป็นลูกสาวของเจ้ากระมัง? หน้าตางดงามจริง ๆ” บางคนสังเกตเห็นลู่จื่ออวิ๋น พวกเขาตกตะลึงทันที
ลู่จื่ออวิ๋นทักทายฮูหยินทุกท่านด้วยท่าทีอ่อนหวาน
“นี่คือลูกสาวข้าไฉ่ซิ่ว ไฉ่ซิ่ว พาน้องหญิงสกุลลู่ไปเล่นเถอะ! พวกเจ้าแม่นางน้อยไม่อาจนั่งอยู่เฉย ๆ ได้”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”
อย่าได้เห็นว่ามู่ซืออวี่มีคนมากมายมาทักทายผูกสัมพันธไมตรี เพราะคนที่เข้าหานาง แทบทั้งหมดล้วนเป็นฮูหยินต่ำกว่าขั้นห้า ผู้ที่อยู่ขั้นห้าขึ้นไปล้วนสงวนท่าที ด้วยเกรงว่าจะถูกคนดูแคลนเอาได้
ฮูหยินทุกท่านจากศาลต้าหลี่ล้วนเป็นคนรู้จักของมู่ซืออวี่ จึงพานางไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง
“เป็นเจ้าอีกแล้ว” เมื่อเจี่ยงจือเห็นลู่จื่ออวิ๋น สีหน้าพลันทะมึนขึ้นมา
พี่หญิงน้องหญิงหลายคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นก็พอคาดเดาได้ว่าทั้งสองมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน