สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 566 งานแต่งที่น่าอึดอัดใจ
บทที่ 566 งานแต่งที่น่าอึดอัดใจ
บทที่ 566 งานแต่งที่น่าอึดอัดใจ
หยางอีเหรินรออยู่ในห้องเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าผ่านยามโฉ่ว*[1] ไปแล้ว คนผู้นั้นยังไม่กลับมา นางจึงเรียกหาบ่าวรับใช้
“เจ้าไปดูหน่อยว่าท่านอ๋องอยู่ที่ใดแล้ว”
ไม่นานนัก สาวใช้ก็กลับมา นางเอ่ยด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “หวางเฟย ท่านอ๋องอยู่ที่เรือนด้านข้างเจ้าค่ะ!”
“เหตุใดเขาจึงไปอยู่ที่เรือนด้านข้าง?” หยางอีเหรินงุนงง
สาวใช้ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด แต่เมื่อเห็นสายตาเยือกเย็นของหยางอีเหริน นางจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา “ท่านอ๋องและสาวใช้คนหนึ่งอยู่ที่เรือนด้านข้างเจ้าค่ะ…”
หยางอีเหรินเข้าใจแล้ว นางลุกขึ้นทันที
“ในคืนเข้าหอเขาไม่เข้าห้องหอ แต่กลับไปเกลือกกลั้วอยู่กับสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่ง นี่คิดจะหยามเกียรติข้าใช่หรือไม่?!”
ณ เรือนด้านข้าง จ้าวอวิ๋นซวงผลักฟ่านเหยี่ยนออกจากร่างของนาง
ฟ่านเหยี่ยนดื่มไปมาก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เพียงถูกผลักครั้งเดียวก็กระเด็นออกไปได้ เขากลิ้งไปบนเตียง
จ้าวอวิ๋นซวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฟ่านเหยี่ยนนอนพึมพำอยู่ตรงนั้น “ข้าไม่อยากแต่งงาน เหตุใดต้องบังคับข้า? เพราะเหตุใด?”
ถึงแม้จ้าวอวิ๋นซวงจะไม่รู้ว่าหวางเฟยเป็นคนเช่นไร ทว่าไม่มีสตรีใดที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วจะมีความสุข
ท่านอ๋องช่วยนางเอาไว้ นางไม่ต้องการเห็นเขาแตกหักกับหวางเฟยทันทีที่แต่งงาน จึงตัดสินใจว่าจะรอให้เขาสร่างเมาแล้วค่อยส่งเขากลับไป
ปัง!
ประตูถูกเตะให้เปิดออก
สตรีในชุดมงกุฎหงส์เดินเข้ามาด้วยท่าทีโมโห
จ้าวอวิ๋นซวงรีบค้อมคำนับอย่างรวดเร็ว “คารวะหวาง….”
เพียะ!
สาวใช้ข้างหลังหวางเฟยตบลงบนใบหน้าของนาง ตบนี้ขัดขวางการค้อมคำนับของจ้าวอวิ๋นซวงแล้ว
จ้าวอวิ๋นซวงงงงันไปทันที
นางไม่เข้าใจว่าตนทำอันใดผิด
“หวางเฟย บ่าวไม่ได้ทำอันใดผิด เหตุใดต้องทุบตีบ่าวเจ้าคะ?”
“นังคนต่ำช้า! วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านอ๋องและหวางเฟย เจ้ากลับยั่วยวนท่านอ๋อง ยังเอ่ยว่าตนไม่ได้ทำอันใดผิดอีกหรือ” สาวใช้ผู้นั้นต่อว่าจ้าวอวิ๋นซวง
หยางอีเหรินเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น “พานางไปไว้ที่ห้องเก็บฟืน พรุ่งนี้ขายนางออกไป!”
จ้าวอวิ๋นซวงเอ่ยด้วยความร้อนรน “หวางเฟยขายบ่าวไม่ได้นะเจ้าคะ พระนางฉู่กุ้ยเฟยเป็นคนส่งบ่าวมาปรนนิบัติท่านอ๋อง”
หยางอีเหรินจ้องมองนาง “เจ้าข่มขู่เซวียนหวางเฟยรึ?”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ” จ้าวอวิ๋นซวงถือโอกาสนี้เอ่ย “ท่านอ๋องเมาแล้ว บ่าวกังวลว่าท่านอ๋องจะอาเจียน จึงทำได้เพียงส่งท่านอ๋องมาเรือนด้านข้างเพื่อให้ดื่มน้ำแกงสร่างเมาก่อนจะส่งกลับไปที่ห้องหอ บ่าวไม่รู้ว่าตนทำอันใดผิด แม้พระนางกุ้ยเฟยจะถามเรื่องนี้ บ่าวก็ไม่มีสิ่งใดให้ละอายใจเจ้าค่ะ”
สาวใช้คนสนิทของหยางอีเหรินเอ่ย “หวางเฟยเจ้าคะ นังบ่าวต่ำช้าคนนี้เป็นคนของพระนางกุ้ยเฟย ขายคนของมารดาสามีตั้งแต่วันแรก จะทำให้คนเข้าใจผิดได้นะเจ้าคะ ไม่สู้รออีกสักสองสามวัน…”
“พาท่านอ๋องไป!” หยางอีเหรินเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น
กระทั่งห้องว่างเปล่าลงแล้ว จ้าวอวิ๋นซวงถึงได้กล้าแตะใบหน้าที่ถูกตบของนาง
นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงได้ต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้
หวางเฟยผู้นั้นไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยได้ง่ายจริง ๆ
ท่านอ๋องดีถึงเพียงนั้น กลับต้องลงเอยกับหวางเฟยที่โหดร้ายเช่นนี้ ช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว
ในห้องหอ หยางอีเหรินมองฟ่านเหยี่ยนที่นอนอยู่ข้าง ๆ นางด้วยสีหน้ารังเกียจ
ถึงแม้ฟ่านเหยี่ยนจะได้รับการล้างเนื้อล้างตัวแล้ว ทว่ากลิ่นของมึนเมาบนร่างกายเขายังคงรุนแรง ทำให้นางรู้สึกไม่สบายยิ่งนัก
ในตอนนี้เอง ฟ่านเหยี่ยนที่ยังคงมึนงงเห็นข้างกายตนมีแม่นางผู้หนึ่งนั่งอยู่
อีกทั้งยังเป็นแม่นางที่เขาเฝ้าฝันถึง
เขากอดนางเอาไว้ กดตัวนางลงไป
นกร้องจิ๊บ ๆ กระโดดไปมาอยู่บนขอบหน้าต่าง
สามีภรรยาหมาด ๆ ในห้องหอทยอยตื่นขึ้นทีละคน
เมื่อฟ่านเหยี่ยนลืมตาขึ้นมา เห็นสตรีที่นอนอยู่ข้างกายเขา สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนทันใด
หยางอีเหรินคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมด้วยความขัดเขิน
ถึงแม้เมื่อคืนนี้ในตอนแรกนางจะไม่ชอบเขา ทว่าต่อจากนั้น…
“ท่านอ๋อง ท่านตื่นแล้ว ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่าน”
ฟ่านเหยี่ยนปัดมือนางออก
เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขาแตะต้องนางได้อย่างไร?
“วันนี้ต้องเข้าวังไปถวายพระพรฝ่าบาทและพระนางกุ้ยเฟยนะเจ้าคะ” หยางอีเหรินกล่าวพลางลุกขึ้นจากเตียง
เดิมทีนางต้องการหาเสื้อผ้าให้ฟ่านเหยี่ยน แต่อย่างไรก็เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน นางจะรู้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ นางจึงรู้สึกหงุดหงิดและตะโกนออกไปข้างนอก “บ่าว เข้ามานี่!”
สาวใช้สองคนเดินเข้ามา
คนหนึ่งเป็นสาวใช้ของหยางอีเหริน อีกคนคือจ้าวอวิ๋นซวง
จ้าวอวิ๋นซวงเป็นคนรับผิดชอบเรื่องอาหาร เสื้อผ้าอาภรณ์ ที่หลับที่นอน และการเดินทางของฟ่านเหยี่ยน ดังนั้นนางจึงกระจ่างเรื่องความชอบของเขาเป็นอย่างดี
“หน้าเจ้าเป็นอะไร?” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยถาม
จ้าวอวิ๋นซวงนิ่งค้างไปชั่วขณะ
หยางอีเหรินเอ่ยด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “นั่นสิ! ใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ เหตุใดจึงปล่อยให้บวมแดงได้เล่า?”
จ้าวอวิ๋นซวงหลุบตาลงแล้วเอ่ย “เมื่อคืนนี้บ่าวไม่ระวังจึงหกล้มเจ้าค่ะ”
“นั่นไม่ระวังตัวเกินไปแล้ว” หยางอีเหรินมองนางอย่างข่มขู่ “ภายหน้าต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ”
ณ จวนเจี่ยง เจี่ยงเฟิงหยางง้างมือขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ตบลงมา ฮูหยินหรงก็เข้ามายื้อยุดไว้ก่อน
“ท่านทำอันใด?”
“นางทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ลงไป เจ้ายังจะปกป้องนางอีก!” เจี่ยงเฟิงหยางเอ่ยด้วยความโมโห “หากไม่ใช่เพราะเจ้าตามใจนาง นางจะไม่สนใจกฎเกณฑ์เพียงนี้หรือ? หากเรื่องนี้ตรวจสอบออกมา หมวกขุนนางของข้าคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ชื่อเสียงของนางก็จะป่นปี้ สกุลเราจะกลายเป็นตัวตลกของทั้งเมืองหลวง”
“ดังนั้น ท่านยังไม่คิดหาหนทางอีกหรือ?” ฮูหยินหรงเอ่ยขึ้นมา
“ให้ข้าคิดหาวิธีหรือ?” เจี่ยงเฟิงหยางเอ่ยด้วยความโกรธ “ผู้ใดสร้างปัญหาผู้นั้นรับผิดชอบ! ข้าไม่ได้มีเวลาว่างเพียงนั้น”
เจี่ยงเฟิงหยางสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
เจี่ยงจือกอดแขนของฮูหยินหรงเอาไว้ “ท่านแม่ จะทำอย่างไรดี? หากตรวจสอบออกมาได้จริง ๆ พวกเราจบสิ้นแน่แล้ว”
“ไม่ต้องกลัว ยังพอมีเวลา ต้องทันการอย่างแน่นอน” ฮูหยินหรงกล่าว
ฝั่งสกุลลู่กำลังรอให้เซวียนอ๋องและเซวียนหวางเฟยกลับมาจากวังหลวง
บ่ายนั้น ลู่อี้มาถึงหน้าประตูจวนฟ่านเหยี่ยนด้วยตนเองแล้วเอ่ยถึงเรื่องนี้ ส่วนลู่จื่ออวิ๋นนั้น ถึงแม้เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับนางโดยตรง ทว่าลู่อี้ไม่อยากให้นางติดต่อกับฟ่านเหยี่ยนอีกต่อไป เขาจึงไม่ได้ให้นางออกหน้า
อันที่จริง บ่าวรับใช้คนนั้นได้ตายไปแล้ว
นี่อยู่ในการคาดเดาของลู่อี้
ทว่าหลักฐานทุกอย่างชี้ไปที่คุณหนูเจี่ยง ถึงแม้สาวใช้คนนั้นจะตายไปแล้ว ลู่อี้ก็รู้ว่าผู้ใดทำ จึงไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก
“ใต้เท้าลู่ ข้าจะไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไปไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ท่านวางใจเถอะ” แววตาของฟ่านเหยี่ยนปรากฏความอาฆาตขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ท่านอ๋อง ในเมื่อสาวใช้ผู้นั้นตายไปแล้ว ผู้ตายไม่สามารถให้การได้ เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องเป็นกังวล นอกจากนี้… ท่านได้แต่งงานมีหวางเฟยแล้ว กับจื่ออวิ๋นบ้านข้า ท่านหลีกเลี่ยงข้อครหาไว้จะดีกว่า การเอ่ยนามของนางออกมาอย่างสนิทสนมคงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ถ้าผู้อื่นได้ยินเข้าคงยากที่จะหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด ดังนั้น ท่าอ๋องเปลี่ยนไปเรียกนางว่าคุณหนูลู่เถิด” ลู่อี้กล่าวด้วยท่าทีนิ่งขรึม
ฟ่านเหยี่ยนจิตใจห่อเหี่ยว “ตรงนี้ไม่มีผู้อื่นเสียหน่อย”
“แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เหมาะสม” ลู่อี้ลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าน้อยต้องขอตัวก่อน”
หลังจากลู่อี้ไปแล้ว ฟ่านเหยี่ยนจึงเรียกคนของเขามา
“คนแซ่เจี่ยงผู้นั้น ไปตรวจสอบมาให้ข้า”
ณ จวนเจี่ยง เจี่ยงจือเห็นฮูหยินหรงดีอกดีใจเช่นนั้น จึงถามนางว่าเรื่องนี้แก้ไขได้แล้วใช่หรือไม่
ฮูหยินหรงนั่งลงแล้วเอ่ยอย่างภูมิใจ “แค่สาวใช้ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง คิดจะจัดการนาง ไม่ใช่ว่าง่ายดายหรือ?”
คนตายไม่สามารถพูดได้
ตอนนี้หากมีคนเอ่ยถึงคำกล่าวหาของสาวใช้คนนั้นย่อมไร้ประโยชน์ คนตายไม่สามารถให้การได้ นางมีอีกร้อยวิธีที่จะแก้ต่างให้ตนเอง อีกฝ่ายไม่อาจสาดน้ำโคลนใส่ลูกสาวของนางได้แม้แต่น้อย
เจี่ยงจือเองก็เบิกบานใจแล้วเช่นกัน
“น่าเสียดายที่ตอนนั้นน้ำร้อนไม่ถูกลู่จื่ออวิ๋น!” เจี่ยงจือเบ้ปาก “ไม่รู้ว่าผู้ใดช่วยนางเอาไว้”
“ระยะนี้อย่าเพิ่งไปหาเรื่องนาง” ฮูหยินหรงเอ่ย “ท่านพ่อของเจ้าพูดถูก คนสกุลลู่ไม่อาจยุ่งด้วยได้ง่าย ๆ อย่าได้หาเรื่องยกหินทับเท้าตนเองอีก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” ทว่าในใจเจี่ยงจือกลับไม่เห็นด้วย
[1] ยามโฉ่ว คือ เวลาประมาณ 01.00 – 03.00 น.