สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 568 อาจารย์เหวินกลับมายังเมืองหลวง
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 568 อาจารย์เหวินกลับมายังเมืองหลวง
บทที่ 568 อาจารย์เหวินกลับมายังเมืองหลวง
บทที่ 568 อาจารย์เหวินกลับมายังเมืองหลวง
เหวินอวี่เซวียนกลับมายังเมืองหลวงแล้ว เขาเข้าไปอยู่ใน ‘สำนักบัณฑิตเซิ่งซื่อ’
ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานจึงติดตามไปศึกษาที่สำนักบัณฑิตเซิ่งซื่อด้วย
เมื่อเทียบกับสำนักบัณฑิตอื่น ๆ ในเมืองหลวงแล้ว สำนักบัณฑิตแห่งนี้ชื่อเสียงไม่โด่งดังมากนัก อีกทั้งยังรับลูกศิษย์ไม่มาก เพียงไม่นานลู่ฉาวอวี่ก็พบความแตกต่างในสถานที่แห่งนี้
อาจารย์ของที่นี่ล้วนแต่เป็นขุนนางอาวุโสที่เกษียณออกจากราชสำนัก มีสอนวิชาว่าด้วยการราชการต่าง ๆ อย่างเช่นเรื่องหกกรม หากอยากเรียนก็สามารถเรียนการทำงานของทั้งหกกรมได้ อีกทั้งยังมีท่านอาจารย์ผู้เก่งกาจอีกหนึ่งท่าน กล่าวกันว่าเขาสามารถใช้ฝีปากของเขาทำให้ศัตรูยอมถอยทัพกลับไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยถูกส่งไปเป็นราชทูตในต่างแดนและทำให้รัชทายาทของอีกฝ่ายต้องอาเจียนเป็นโลหิต ท้ายที่สุดก็สามารถหลบหนีมาได้โดยไร้ร่องรอย
เมื่อมู่ซืออวี่ฟังลู่ฉาวอวี่เล่าจบ นางก็หันไปมองลู่อี้ที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เหตุใดข้ารู้สึกว่าสำนักบัณฑิตนี้เตรียมการไว้เพื่อใครบางคน”
“เตรียมการไว้ให้องค์รัชทายาท” ลู่อี้กล่าวนิ่ง ๆ “เหวินอวี่เซวียนเป็นพรรคพวกขององค์รัชทายาท”
“เช่นนั้น น้องหานกับฉาวอวี่ไปสำนักบัณฑิตแห่งนั้นจะไม่ถูกดึงไปเป็นฝ่ายขององค์รัชทายาทหรือ?” มู่ซืออวี่ไม่อยากให้พวกเขามีส่วนร่วมในการชิงดีเช่นเด่นของแต่ละฝ่ายตั้งแต่ยังเยาว์เช่นนี้
“องค์รัชทายาทและองค์ชายรองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด หากเขารอจนถึงตอนที่ฉาวอวี่และน้องหานอยู่ในการศึกษาขั้นปลาย เกรงว่าคงไม่ทันการ” ลู่อิ้ยิ้มบาง ๆ
มู่ซืออวี่เข้าใจแล้ว
องค์รัชทายาทยังไม่อาจตัดสินพระทัยได้ในตอนนี้
ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานเป็นลูกนกที่เพิ่งหัดบิน กว่าพวกเขาจะสอบผ่าน องค์รัชทายาทในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ใดแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องตีตนไปก่อนไข้
“ไม่ว่าอย่างไร ท่านอาจารย์เหวินก็สั่งสอนน้องหานและฉาวอวี่มา หากมีเวลาต้องเชิญเขามาทานข้าวสักมื้อ” มู่ซืออวี่เอ่ย
“ได้”
มู่ซืออวี่ผลักน้ำแกงปลาออกไปแล้วเอ่ยกับจื่อซู “ปลาวันนี้ไม่ใช่ปลาสดใช่หรือไม่?”
“ไม่นะเจ้าคะ” จื่อซูเอ่ย “บ่าวรับใช้รู้ว่าฮูหยินรอบรู้เรื่องอาหาร ไม่กล้านำวัตถุดิบไม่ดีมาหลอกเจ้านายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกคาวนัก?” มู่ซืออวี่ปิดปากตน สีหน้าดูผะอืดผะอม
ลู่อี้วางตะเกียบลง แล้วเอ่ยกับจื่อซู “เชิญท่านหมอมาตรวจอาการฮูหยิน”
“มีเรื่องอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่สับสนงุนงง “ข้าเพียงแค่คิดว่าน้ำแกงปลานี้ไม่น่าอร่อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตรวจกระมัง?”
“ท่านแม่ ปลานี้… ไม่คาวเลยนะเจ้าคะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น “ตรวจอาการดูก่อนเถิด! ก่อนหน้านี้ความอยากอาหารของท่านก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากนั้นท่านก็มีเสี่ยวชิงเอ๋อร์ จำไม่ได้หรือ?”
มู่ซืออวี่ “…”
จื่อเยวี่ยนกระซิบข้างหูของมู่ซืออวี่ “รอบเดือนของฮูหยินเคลื่อนไปสิบวันแล้วเจ้าค่ะ”
สายตาของมู่ซืออวี่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คงไม่ใช่กระมัง?”
ลู่จื่อชิงกระโดดลงมาจากเก้าอี้ตัวเล็ก
แม่นมข้าง ๆ คว้านางไว้ทันพอดิบพอดี
“ท่านแม่อุ้ม ๆ… อยากให้ท่านแม่อุ้ม…” ลู่จื่อชิงแสดงท่าทีออดอ้อนออกมา
มู่ซืออวี่เอื้อมมือออกไปรับนางมา
ทว่าลู่อี้อุ้มลู่จื่อชิงขึ้นมาแล้วเอ่ยก่อน “สาวน้อยคนนี้ไม่รู้จักหนักเบา อย่าเพิ่งอุ้มนาง ให้ท่านหมอมาตรวจแล้วฟังก่อนว่าเขาว่าอย่างไร”
ไม่นานท่านหมอก็มาถึง เป็นดังที่ทุกคนคาดไว้ มู่ซืออวี่ตั้งครรภ์อีกครั้งแล้ว
นางมองฝาแฝดและลู่จื่อชิงที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงคิดถึงเด็กในท้อง แก้มของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“เอาละ แม่ของพวกเจ้าต้องการการพักผ่อน พวกเจ้ากลับไปที่ห้องเถอะ!”
ลู่อี้เห็นสีหน้าเช่นนั้นของภรรยาก็รู้ว่านางกระดากอายแล้ว ดังนั้นเขาจึงไล่เด็ก ๆ ออกไปเพื่อไม่ให้นางทำตัวไม่ถูก
หลังจากเด็กทั้งหลายออกไปแล้ว มู่ซืออวี่พลันหยิกแขนลู่อี้ “ล้วนต้องโทษท่าน ฉาวอวี่และเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์โตป่านนี้แล้ว ข้ายังตั้งท้องอีกคนอีก ผู้อื่นจะไม่หัวเราะเอาหรือ?”
“มีอันใดให้น่าขบขันกัน? ฮูหยินของเราอ่อนเยาว์เพียงนี้ มีอีกสักสองสามคนก็ไม่เป็นปัญหา แน่นอนว่าข้าจะไม่ให้เจ้าเหนื่อยถึงเพียงนั้น คนนี้เป็นคนสุดท้ายแล้ว”
มู่ซืออวี่ลูบท้องของนางแล้วเอ่ยขึ้น “ยามเสี่ยวชิงเอ๋อร์เกิดมาท่านไม่อยู่ เด็กคนนี้นับว่าโชคดีแล้ว อย่างน้อยก็จะมีพ่ออยู่ข้าง ๆ”
ลู่อี้กอดมู่ซืออวี่ไว้แล้วเอ่ยว่า “ภายหน้าพวกเราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว”
มู่ซืออวี่นึกไม่ถึงว่าตนจะตั้งครรภ์อีกครั้งตอนที่เสี่ยวชิงเอ๋อร์เกือบครบสามขวบ เมื่อก่อนไม่รู้ นางจึงไม่คิดสิ่งใดทั้งสิ้น ตอนนี้รู้แล้ว นางจึงต้องระมัดระวังไปเสียทุกสิ่ง ไม่กล้ากระโดดโลดเต้นเหมือนเมื่อก่อน แม้กระทั่งยามก้าวลงจากรถม้า
ทว่ายังดีที่ตอนนี้กิจการของนางเริ่มเข้าที่เข้าทางจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
‘เรือนกรุ่นฝัน’ มีเฟิงเจิงคอยดูแล รีสอร์ตมีเจียงอีเมิ่งคอยดูแล ทั้งสองคนเป็นมือขวาของนาง
กล่าวมาถึงตรงนี้ ยังต้องเอ่ยถึงสวนสนุกที่เมืองฮู่เป่ย เจิ้งซูอวี้เป็นคนคอยดูแลที่นั่น อีกฝ่ายจะส่งตั๋วเงินมาให้เป็นระยะ
“ฮูหยินลู่” หญิงชราคนหนึ่งเดินมาจากฝั่งตรงข้าม
มู่ซืออวี่มองนาง ท้ายที่สุดจึงจำนางได้จากเค้าโครงใบหน้าที่คุ้นเคย
“ท่านอวี้ซื่อ”
“ฮูหยินลู่ยังจำยายเฒ่าคนนี้ได้ เห็นได้ว่ายังคิดถึงสัมพันธ์เก่าก่อน” อวี้ซื่อยิ้มออกมา
รอยยิ้มนั้นแข็งทื่อราวกับก้อนหินก็ไม่ปาน
มู่ซืออวี่ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมาหานางด้วยเหตุใด ดังนั้นจึงยืนรอให้หญิงชราเปิดปากเอ่ยอยู่ตรงนั้น
อวี้ซื่อรออยู่พักหนึ่ง กลับไม่ได้ยินคำพูดอื่นจากมู่ซืออวี่ พลันรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ลูกสาวของนางแต่งให้เซี่ยคุน เซี่ยคุนทำงานให้ลู่อี้ตั้งหลายอย่าง พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นคนกันเอง บัดนี้นางมาหา กลับไม่แม้แต่จะเชิญนางดื่มชาสักจอก ตระหนี่เสียจริง
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ หากท่านน้าอี้ไม่มีเรื่องอื่น เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว”
“ช้าก่อน…” อวี้ซื่อรั้งมู่ซืออวี่ไว้ “ฮูหยินลู่ พวกเราเป็นคนกันเอง เช่นนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อม ท่านก็เห็นว่าหางเอ๋อร์ของพวกเรามีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ เทียบกับเซี่ยคุนแล้วไม่รู้ว่าดีกว่ามากเพียงใด ตำแหน่งขุนนางของใต้เท้าลู่ยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ หากมีคนที่เชื่อถือได้คอยช่วยเหลือ นั่นจะไม่ทำให้ทุกอย่างราบรื่นมากกว่าเดิมหรือ?”
“ท่านอวี้ซื่อ ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่ข้าคิดว่าบัณฑิตที่มือไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่นั้นมีมากมายเกลื่อนท้องถนน สหายที่มีทักษะยอดเยี่ยมกลับหาได้ยากยิ่ง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าผู้ใดยอดเยี่ยมกว่ากันระหว่างทั้งสองคน ผู้หนึ่งเป็นลูกชายท่าน ผู้หนึ่งเป็นลูกเขยท่าน ท่านออกหน้าเพื่อลูกชายตนเองไม่มีอันใดผิด แต่มาตำหนิลูกเขยท่านกับข้าเช่นนี้ นี่ไม่ไร้ความเมตตาไปหน่อยหรือ?”
“เมตตาหรือ? คนที่ไม่เมตตาที่แท้จริงเป็นเซี่ยคุน หากเขายังมีแม่ยายและพี่ชายภรรยาอยู่ในสายตา เขาคงไม่เพียงมองดูพี่ชายภรรยาอยู่ในเมืองหลวงอย่างไร้ชื่อเสียงเรียงนามหรอก ใต้เท้าลู่มีความสามารถถึงเพียงนั้น เพียงแค่มอบตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่งให้หางเอ๋อร์คงไม่ยากกระมัง?”
มู่ซืออวี่ “…”
ดูนางพูดเข้า ผู้ไม่รู้คงคิดว่าลู่อี้ขึ้นครองบัลลังก์และกลายเป็นกษัตริย์ไปแล้วกระมัง
“วาจาเช่นนี้ข้าแนะนำว่าอย่าได้เอ่ยออกมาอีก ช่างน่าละอายนัก” มู่ซืออวี่กล่าว “ใต้เท้าลู่ของพวกเราเป็นเพียงขุนนางเล็ก ๆ ไม่ควรค่าแก่การยกย่องของท่าน คุณชายอันมีพรสวรรค์จริง ตราบใดที่คนมีพรสวรรค์เช่นเขาตั้งใจเข้าสอบขุนนางให้ดี ภายหน้าจะต้องได้ลาภยศชื่อเสียงอย่างแน่นอน อีกเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องกล่าวคือ หากคุณชายอันสอบผ่านแล้ว รบกวนท่านอย่าได้ออกมาอีก ทุกสิ่งที่เขาได้มาอย่างยากลำบากจะได้ไม่ต้องพังทลายลงเพราะคำพูดผิด ๆ ของท่าน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” อวี้ซื่อหยุดปั้นหน้าเสแสร้ง สีหน้าของนางพลันบึ้งตึงอีกครั้ง
มู่ซืออวี่เอ่ยถามจื่อซู “รถม้ามาถึงหรือยัง?”
จื่อซูเห็นรถม้าเคลื่อนมาถึงแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ฮูหยิน รถม้ามาแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะพาท่านขึ้นรถม้า”
“หากเจ้าไม่พูดมาให้ชัดเจน ข้าก็ไม่ให้เจ้าไป” อวี้ซื่อเข้ามาขวาง
แต่ไหนแต่ไรมามือเท้าของนางก็หนักอยู่แล้ว การผลักครั้งนี้นางจงใจใช้แรงอย่างเต็มที่
จื่อซูคอยตั้งท่าป้องกันอยู่เสมอ เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้จึงเข้าไปพยุงมู่ซืออวี่แล้วถีบอวี้ซื่อออกไปทันที
อวี้ซื่อชนเข้ากับร้านแผงลอยด้านข้าง ทั้งยังกระอักเลือดออกมา!