สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 574 ราชสำนักหลั่งเลือดไปมากมาย
บทที่ 574 ราชสำนักหลั่งเลือดไปมากมาย
บทที่ 574 ราชสำนักหลั่งเลือดไปมากมาย
วันนี้ในการหารือช่วงเช้า ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัยของตนเอง เหล่าขุนนางพากันแสร้งทำเป็นไม่เห็นหน้ากัน ไม่มีผู้ใดเอ่ยทักทายใครก่อน เพราะไม่รู้ว่าวันนี้ผู้ใดจะเป็นฝ่ายโชคร้าย
บรรยากาศในราชสำนักกดดันพาให้ผู้คนหวาดกลัวมาเป็นเวลาหลายวัน จวนขุนนางหลายคนถูกยึดทรัพย์สิน บ้างก็ถูกเนรเทศ บ้างก็ถูกส่งเข้าคุกรอรับการตัดสิน
ฝ่ายทัดทานที่ปกติมักจะส่งเสียงวุ่นวายก็เงียบลงเช่นกัน เห็นได้ว่าตาเฒ่าเหล่านี้ไม่ได้ไม่รู้จักดูสถานการณ์ พวกเขาเพียงแค่อาศัยอำนาจบารมีของตนและรู้จักที่จะปิดปากเงียบเมื่อพบเจอสถานการณ์อันตราย
ดังที่ทุกคนทราบ ยามฮ่องเต้บันดาลโทสะ ย่อมมีบางคนโชคไม่ดี และแน่นอนว่าย่อมมีคนฉกฉวยประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว
หลังจากการหารือช่วงเช้าผ่านพ้นไป ขุนนางหลายคนต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายขุนนางของตนเอง ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้อื่น เพียงแค่ศาลต้าหลี่ก็มีสองสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว
ประการแรก ใต้เท้าโม่ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่คนก่อนได้รับการเลื่อนขั้นอย่างกะทันหันในวันนี้ จากขุนนางขั้นสามระดับสูงเลื่อนเป็นขุนนางขั้นสองระดับล่าง กลายมาเป็นบัณฑิตเน่ยเก๋อ*[1]
อีกประการหนึ่งคือลู่อี้ เดิมทีเป็นรองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ บัดนี้ได้กลายเป็นผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ กล่าวคือใต้เท้าโม่ได้เลื่อนขั้นหลีกทางให้ เขาจึงได้กลายมาเป็นผู้มีอำนาจติดสินใจสูงสุดของศาลต้าหลี่
ยังมีอีกผู้หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดกล่าวถึง
คนผู้นั้นคือเจียงเก๋อเหล่า
เจียงเก๋อเหล่ากุมตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก ทั้งยังมีพรรคพวกอีกมากมาย ครั้งนี้คนสนิทของเขาถูกถอดถอนออกไปเป็นจำนวนมาก อำนาจของเขาจึงลดลงไปไม่น้อย กล่าวได้ว่าครั้งนี้เขาเสียฮูหยินซ้ำขุนศึก
หลังจากสิ้นสุดการหารือช่วงเช้า เหล่าขุนนางก็ออกมาจากท้องพระโรง
ในตอนนี้เองแผ่นหลังของพวกเขาล้วนปกคลุมไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดราวกับเห็นผี
หลังออกมาจากท้องพระโรงแล้ว ผู้เหลือรอดต่างมองหน้ากัน ประหนึ่งว่าเพิ่งผ่านพ้นภัยพิบัติมาอย่างไรอย่างนั้น
“ยินดีกับท่าน ใต้เท้าลู่” ใต้เท้าโม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้มีคนกล่าวว่าการได้เป็นผู้บังคับบัญชาของท่านเป็นเรื่องดีงาม ผู้บังคับบัญชาคนเก่าของท่านล้วนได้เลื่อนขั้น ตอนแรกข้ายังไม่เชื่อ ทว่าบัดนี้ข้าเชื่อแล้ว”
“ยินดีเช่นกันขอรับ” ลู่อี้แสดงความยินดีกลับ “หากไม่ใช่เพราะการเคี่ยวกรำยามปกติของใต้เท้าโม่ ข้าคงไม่มาถึงจุดที่ข้าอยู่ในวันนี้ได้”
“เอ๊ะ ไม่ต้องมาสวมหมวกสูงให้ข้า ความสามารถของท่านข้ารู้ดี” ใต้เท้าโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้เห็นว่าข้าในตอนนี้เป็นขุนนางขั้นสองระดับล่าง หากกล่าวถึงอำนาจที่แท้จริงแล้ว…”
หากกล่าวถึงอำนาจที่แท้จริงแล้ว ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่อาจมีมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
สรุปคือเขาเพียงแค่หลีกทางให้ลู่อี้
ใต้เท้าโม่ไม่ได้กล่าวออกมา ทว่าสีหน้าของเขาสื่อว่า ‘ข้าเข้าใจ’ อย่างชัดเจน
ลู่อี้มีความสามารถ อย่างไรครั้งนี้ตัวเขาเองก็ไม่ได้เสียหายอันใด นี่ไม่มีอันใดให้ต้องปริปากบ่นแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าลู่ช่างเก่งกล้าเสียจริง!” เจียงเก๋อเหล่าเดินออกมา
ลู่อี้และใต้เท้าโม่คารวะอีกฝ่าย
ใต้เท้าโม่เห็นทั้งสองคนมีบางอย่างต้องพูดคุยกันจึงปลีกตัวหลบไปก่อน
เจียงเก๋อเหล่ามองลู่อี้อย่างเย็นชา “ใต้เท้าลู่ อุบายของท่านดีจริง ๆ ผู้เฒ่าอย่างข้ามองพลาดไปแล้ว”
“แต่ไหนแต่ไรมาใต้เท้าก็ไม่เคยมองพลาด” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ “ไม่เช่นนั้นคงไม่ขอให้ข้าน้อยทำเรื่องราวมากมายให้ในตอนนั้น”
เจียงเก๋อเหล่ากล่าววาจาเสียดสี “ผู้เฒ่าคนนี้มองผิดคิดว่าหมาป่าเป็นสุนัขบ้าน ดูถูกท่านเกินไปแล้วจริง ๆ”
“ใต้เท้าอย่าได้เสียใจไป ฝ่าบาทไม่ได้ทำอันใดกับท่าน ใต้เท้ายังสามารถบดขยี้ข้าให้ตายได้เพียงแค่ขยับปลายนิ้ว ทว่าก่อนที่ท่านจะบดขยี้ข้าให้ตาย แม้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย ข้าก็จะกัดชิ้นเนื้อของใต้เท้าออกมาให้จงได้ แต่ข้าไม่รู้ว่าใต้เท้าจะอยากโดนฉีกเนื้อออกมาเป็นชิ้น ๆ หรือไม่” ลู่อี้เอ่ยนิ่งๆ “ใต้เท้าไม่ควรแตะต้องคนในครอบครัวข้าเลยจริง ๆ”
“ดี! ดีมาก! ลู่อี้ เจ้าอย่าได้ตกมาอยู่ในมือข้าเสียเล่า!” เจียงเก๋อเหล่าเยาะเย้ย “องค์รัชทายาทอ่อนแอไร้ความสามารถ ไม่อาจครองตำแหน่งใหญ่โตได้อย่างแน่นอน หากเจ้าติดตามเขา ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะไม่ได้ตายดี”
“เช่นนั้นองค์ชายรองจะเป็นกษัตริย์ที่ปราดเปรื่องได้หรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม “ถึงแม้ว่าจะมีขุนนางเปี่ยมอำนาจบารมีเช่นท่าน เกรงว่าก็คงไม่กล้ามอบหมายหน้าที่สำคัญให้ ‘กษัตริย์ที่ปราดเปรื่อง’ เช่นนี้”
ครั้งนี้เจียงเก๋อเหล่าได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงเกลียดชังลู่อี้อย่างสมบูรณ์แบบ ในเมื่อเขาไม่อาจใช้การหมาป่าตัวนี้ได้ เช่นนั้นก็ต้องหาวิธีทำลายมันให้สิ้นซาก
หลังจากเจียงเก๋อเหล่าจากไป ฟ่านหยวนซีก็ออกมาจากข้างในแล้ว
“ตาเฒ่านั่นข่มขู่เจ้าอีกแล้วรึ?”
“เขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ย่อมต้องด่าข้าสักสองสามคำเพื่อระบายโทสะ”
“องค์ชายรองเพียงแค่ถูกตัดเบี้ยหวัดครึ่งปี ไม่มีความหมายอันใด”
“ฝ่าบาทต้องการใช้เขาห้ำหั่นกับองค์รัชทายาท ดังนั้นจึงจะยังไม่แตะต้องเขาเป็นการชั่วคราว” ลู่อี้กล่าว “ถูกตัดเบี้ยหวัดครึ่งปีก็เป็นสัญญาณหนึ่งเช่นกัน เพื่อที่จะปกป้องตนเอง ขุนนางหลายคนในราชสำนักย่อมไม่กล้าเข้าเป็นพรรคพวกกับเขา นี่ถือได้ว่าเป็นการถ่วงเวลาให้องค์รัชทายาทได้หายใจชั่วคราว”
สิ่งสำคัญที่สุดคือเจียงเก๋อเหล่าได้รับความเสียหายอย่างหนักในครั้งนี้ องค์รัชทายาทจะต้องดีใจเป็นแน่ นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในอนาคตเช่นกัน
องค์รัชทายาทอ่อนแอทั้งยังขี้ขลาด ทว่าสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการก็คือองค์ชายที่ขี้ขลาดเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นหากเขาบ้าระห่ำเกินไป เช่นนั้นฮ่องเต้จะอยู่บนบัลลังก์นี้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร?
“ฮูหยินของเจ้าเล่า? ไม่ไปหาแล้วหรือ?”
“เสนาบดีกรมอาญาเป็นคนฉลาด วันนี้คงส่งฮูหยินของข้าออกมาแล้ว”
สิ่งแรกที่เสนาบดีกรมอาญาทำเมื่อเขากลับไปยังกรมอาญาคือว่าความคดีของอวี้ซื่อ
มู่ซืออวี่กินดื่มอยู่ที่กรมอาญามาเป็นเวลานาน ในที่สุดวันนี้ก็ถึงเวลาไต่สวนแล้ว
ท่านอาจารย์จวงถอนหายใจ “จบแล้ว ข้าแพ้แล้ว”
“ในเมื่อแพ้แล้ว เช่นนั้นก็จดจำที่เราเดิมพันกันไว้เล่า!” มู่ซืออวี่ปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากร่างกายของตนเอง “รอท่านออกมาแล้ว ข้าจะเลี้ยงของอร่อยท่าน!”
“ข้าได้ยินผู้คุมขังพูดกันว่าท่านเปิดรีสอร์ตอันใดสักอย่าง แต่ละวันมีเงินเป็นกอบเป็นกำ หากข้าออกไปแล้ว ท่านอย่าลืมเชิญข้าไปเที่ยวเล่นสักสามวันเล่า?”
“ย่อมได้” มู่ซืออวี่รับปาก
ท่านอาจารย์จวงผู้นี้เอ่ยด้วยท่าทีขบขัน หลายวันมานี้มีเขาคอยพูดคุยด้วย นางจึงไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือคนผู้นี้มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา คงไม่ใช่คนธรรมดาสามัญเป็นแน่
มู่ซืออวี่ตามเจ้าหน้าที่ไปยังโถงพิจารณาคดีของกรมอาญา
นางเพิ่งเข้าไปก็สังเกตเห็นทันทีว่ามีคนคุ้นเคยอยู่ที่นั่น
ลู่อี้
เครื่องแต่งกายขุนนางของเขาไม่เหมือนเดิม!
เสนาบดีกรมอาญานั่งอยู่ข้างบน เป็นประธานในการพิจารณาคดี ในฐานะผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ลู่อี้มีคดีมากมายที่เกี่ยวโยงกับพวกเขา อยู่ที่นี่ฟังพวกเขาพิจารณาคดีก็ไม่มีอันใดผิด ทว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับฮูหยินของเขา ดังนั้นตามหลักแล้วเขาควรหลีกเลี่ยงข้อครหา อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดในที่นี้ที่เห็นว่าเรื่องนี้มีอันใดไม่ถูกต้อง
บางทีอาจทราบว่าไม่ถูก แต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา เดี๋ยวนี้ลู่อี้เจริญรุ่งเรืองราวพระอาทิตย์กลางฟ้า อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่พวกเขาจะล่วงเกินได้
“ผู้คุกเข่าเป็นผู้ใด?” เสนาบดีกรมอาญาเอ่ยถามอวี้ซื่อ
อวี้ซื่อที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นตัวสั่นด้วยความกลัว
ในตอนนั้นเอง นางจึงได้รู้ว่าความกลัวเป็นอย่างไร
สตรีเช่นอวี้ซื่อ เมื่อก่อนยามที่นางอยู่ชนบทเพียงแค่เห็นคนที่ดูสูงศักดิ์ นางก็หวาดกลัวแล้ว นางเคยเห็นขุนนางขั้นสูงอย่างเสนาบดีกรมอาญาที่ใดกัน? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีลู่อี้คอยมองอยู่ข้าง ๆ
ทว่าโลกนี้ไม่มียาสำหรับความเสียใจในภายหลัง
นางไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงถูกเจ้าชั่วคนนั้นหลอกเอาได้ คิดจะใช้อุบายกับลู่อี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
“ข้าน้อยอวี้ซื่อคารวะใต้เท้า”
มู่ซืออวี่กำลังจะค้อมคำนับเช่นกัน ทว่าเสนาบดีกรมอาญากลับห้ามนางไว้
“ฮูหยินเป็นครอบครัวขุนนาง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ไม่ต้องคุกเข่า”
“ขอบคุณใต้เท้า”
ลู่อี้นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ราวกับเขาเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เสนาบดีกรมอาญารู้ว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อฮูหยินของตน หากวันนี้เขากล้าไม่ยุติธรรมแม้เพียงนิด เกรงว่าจะถึงจุดจบของกรมอาญาแล้ว
ถึงแม้ตำแหน่งขุนนางของเขาจะไม่ต่ำต้อย ไม่ควรหวาดกลัวลู่อี้ ทว่าเขากลับไม่กล้าดูแคลนคนผู้นี้
“อวี้ซื่อ เจ้าอยากร้องเรียนฮูหยินลู่ที่ให้บ่าวรับใช้ทำร้ายร่างกายใช่หรือไม่?” เสนาบดีกรมอาญาถาม
[1] เน่ยเก๋อ คือ หน่วยประสานงาน มีอำนาจเหนือหกกรม ทำหน้าที่กรองฎีกาทั้งหลายที่จะถวายแด่ฮ่องเต้