สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 578 การตัดสินใจของเวินเหวินซง
บทที่ 578 การตัดสินใจของเวินเหวินซง
บทที่ 578 การตัดสินใจของเวินเหวินซง
“ข้าจะไปกรมขุนนาง”
เวินเหวินซงเอ่ยด้วยท่าทีแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่าเขาไตร่ตรองมาแล้ว
“เจ้าไม่เกรงใจจริง ๆ ไม่กลัวว่าข้าจะทำไม่ได้หรือ?” ลู่อี้ยิ้มบาง ๆ
“หากท่านกล้าให้ข้าเอ่ยปาก ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำไม่ได้ ใต้เท้าลู่ของพวกเราแต่ไรมาไม่เคยกล่าวเรื่องที่ไม่มั่นใจ” เวินเหวินซงเอ่ย “เรื่องที่พัก ข้าคงต้องรบกวนให้พี่สะใภ้ช่วยแล้ว”
“เรื่องนี้จัดการง่าย” ลู่อี้เอ่ย “ข้ามีเรือนว่างอยู่ที่หนึ่ง มอบให้เจ้า”
เวินเหวินซงยิ้มกริ่ม “จริงหรือ? บ้านเรือนในเมืองหลวงไม่ใช่ถูก ๆ นา”
“ข้าเคยตระหนี่กับเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ลู่อี้เอ่ย “อย่างไรเสียภายหน้าข้ายังต้องรบกวนเจ้าอีกมาก ถือเสียว่าตอบแทนเจ้าล่วงหน้าก็แล้วกัน”
“ข้าเห็นแล้ว อย่างไรเสีย ข้าก็ขึ้นเรือโจรสลัดของท่านแล้ว ย่อมลงไม่ได้” เวินเหวินซงกล่าว “แต่ว่าข้าคนนี้ไม่มีความสามารถอื่นใด หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงไม่มาเป็นข้าอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นขอเพียงแค่ท่านเอ่ยปาก ให้ข้าบุกน้ำหรือลุยไฟล้วนได้ทั้งสิ้น”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าไปบุกน้ำลุยไฟ เรื่องที่มอบให้เจ้า เจ้าทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ปกป้องตนเองและครอบครัวก่อน ภายหน้าค่อยวางแผนกันไป”
“ข้ารู้ว่าตนติดตามคนไม่ผิด” เวินเหวินซงผ่อนคลายสบายใจมากกว่าเดิม “เดิมทีข้าคิดว่าท่านได้เลื่อนตำแหน่งแล้วจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าแน่ใจแล้วว่าท่านยังเป็นใต้เท้าลู่ที่ข้ารู้จัก”
ลู่อี้จะมอบเรือนย่อยให้เวินเหวินซงและภรรยา หลังจากมู่ซืออวี่ทราบเรื่องนี้ นางก็จัดคนจากเรือนกรุ่นฝันไปยังบ้านใหม่ จัดเตรียมทุกอย่างตามความชอบของฮั่วอวิ๋นซิ่ว
นางไว้วางใจลูกน้องของตน ไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวอะไรมาก อีกอย่างนางเองก็ต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงให้ดีที่สุดเสียก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่สกุลลู่จัดงานเลี้ยงในเมืองหลวง อีกทั้งยังต้องพบปะกับขุนนางและคนในสกุลที่มีเกียรติ์มีศักดิ์ศรีที่สุดในเมืองหลวง ไม่อาจหละหลวมแม้แต่น้อย
ณ หอซือเป่า ท่านเจ้าหอสวีเข้ามาหาลู่จื่ออวิ๋นผู้ที่กำลังง่วนอยู่กับงานแล้วเอ่ยถาม “สกุลเจ้ากำลังจะจัดงาน ฮูหยินและคุณหนูมากมายได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยง ระยะนี้พวกเขาต้องการทำชุดใหม่ พวกเจ้าทำกันทันหรือไม่?”
“ข้าอยากพูดคุยกับอาจารย์เรื่องนี้พอดี” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ทุกคนในหอซือเป่าล้วนยุ่งมากพอแล้ว ยังมีอีกหลายคำสั่งซื้อที่ทำยังไม่เสร็จ ท่านอาจารย์พอจะมีหญิงเย็บปักที่เชื่อใจได้หรือไม่? ถึงแม้จะช่วยเพียงเย็บผ้าให้พวกเราก็ยังดี อย่างน้อยก็สามารถแบ่งเบางานไปได้บ้าง”
“ข้าหาคนมาทำงามร่วมกันแล้ว ประเดี๋ยวพวกนางก็จะมา” ท่านเจ้าหอสวีกล่าว “ข้ามีเรื่องต้องออกไปข้างนอก เรื่องที่นี่ข้าปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าจัดการ หากพวกนางมาถึง เพียงแค่จัดการงานให้พวกนางก็ใช้ได้”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน ถึงแม้ชื่อเสียงของหอซือเป่าจะโดดเด่น ทว่าหญิงเย็บปักที่อื่นก็ไม่ได้มีฝีมือย่ำแย่ เพียงแค่มาเป็นลูกมือของหอซือเป่าของพวกนางก็นับว่าเป็นการใช้คนไม่เหมาะสมกับความสามารถแล้ว
ไม่นานนัก หญิงเย็บปักกว่ายี่สิบคนก็เดินเข้ามาคนแล้วคนเล่า
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้าไปหาพวกนางและทักทายอย่างสุภาพ
สายตาของหญิงเย็บปักเป็นประกายขึ้นมาเมื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋น ขณะที่คิดถึงตัวตนของนาง ทุกคุณล้วนสุภาพต่อคุณหนูสกุลลู่ บรรยากาศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“ท่านพ่อของลู่จื่ออวิ๋นถือว่าเป็นขุนนางใหญ่โต เหตุใดนางจึงยังแก่งแย่งงานอยู่ในหอซือเป่าของพวกเราอีก?” สายตาของถังซานซานเต็มไปด้วยความอิจฉา
ก่อนหน้านี้นางติดสอยห้อยตามฮวาหรง แต่ฮวาหรงกลับเป็นบ้าไปแล้ว
นางจึงกลายมาเป็นสหายที่ดีกับอวี๋เสี่ยวหลาน อวี๋เสี่ยวหลานก็กลายเป็นเช่นนั้นไปแล้วเช่นกัน
ตอนนี้นางสงบเสงี่ยมขึ้นมาแล้ว นางรู้ว่าคนบางคนไม่อาจล่วงเกินได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่รู้สึกริษยาอยู่ในใจ
“ผู้ใดจะรู้เล่า” ฟางเหยาเอ่ยเสียค่อย “บางทีนางอาจจะอยากเป็นหญิงเย็บปักกระมัง?”
“หากข้ามีบิดาอย่างนาง ข้าจะทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน?”
“หญิงเย็บปักก็ไม่ได้ต่ำต้อยกระมัง!”
“เหตุใดจะไม่ต่ำต้อย? ครั้งก่อนข้าไปส่งเสื้อผ้า ถูกคุณหนูสกุลหลี่ผู้นั้นซักถามราวกับข้าเป็นหัวขโมย หากนางหาของไม่พบเสียก่อน เกรงว่าแม้ข้าจะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็คงล้างตนเองได้ไม่สะอาด”
“น้องหญิงจื่ออวิ๋นคงไม่ต้องกังวลเช่นนั้นกระมัง อย่างไรเสียบิดาของนางก็มีอำนาจ มารดาของนางก็เป็นเศรษฐีนี” ฟางเหยาเอ่ยนิ่ง ๆ “นางไม่ได้ด้อยไปกว่าองค์หญิงในวังเลยด้วยซ้ำ”
เหล่าหญิงเย็บปักที่มาใหม่ล้วนให้ความร่วมมือกับการตระเตรียมของลู่จื่ออวิ๋นเป็นอย่างดี บางครั้งหากมีคนสักสองสามคนเอ่ยตำหนิขึ้นมา ลู่จื่ออวิ๋นก็ไม่ได้เกรงใจเช่นกัน นางเพียงแค่โต้ตอบกลับไป
สถานะของลู่จื่ออวิ๋นไม่ใช่ความลับ ข่าวได้แพร่กระจายไปทั้งแวดวงนานแล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นคุณหนูจากสกุลใหญ่ที่มาเป็นหญิงปักผ้า นางนับได้ว่าเป็นคนที่หาได้ยากยิ่ง
หลังจากวันที่เหน็ดเหนื่อยอีกวันหนึ่งผ่านพ้นไป ลู่จื่ออวิ๋นก็ขึ้นรถม้าของสกุลลู่กลับไปที่บ้าน
ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยอย่างเศร้าใจ “คุณหนู ไม่จำเป็นต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้เลยนะเจ้าคะ ไม่สู้ปล่อยงานเหล่านี้ให้คนเบื้องล่างท่านทำและบอกว่าท่านยุ่งอยู่กับการจัดงานเลี้ยงไม่อาจปลีกตัวก็ได้นี่เจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่าข้าทำทั้งหมดเพื่องานเย็บปักถักร้อยเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหรือ?”
“ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“เจ้าไม่สังเกตเลยหรือว่าตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่ได้ดูแลหอซือเป่าแล้ว ทั้งหมดล้วนมอบให้ข้าจัดการ?”
“นี่…”
“ผู้ที่ติดต่อกับหอซือเป่าล้วนเป็นผู้มีอำนาจ จัดการกับคนเหล่านี้ล้วนต้องใช้ทั้งสมองและทักษะ ข้าเพียงแต่เรียนวิธีรับมือคนล่วงหน้าเท่านั้น” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หากเป็นแค่เพียงเพื่องานเย็บปักถักร้อย เช่นนั้นข้าเพียงแค่ติดตามเล่าเรียนกับอาจารย์ก็พอ หากปิดประตูเรียนไม่มีผู้ใดมารบกวน เช่นนั้นย่อมสามารถเรียนได้ดีกว่า ทว่าหากเป็นอย่างนั้นข้าก็คงเป็นได้เพียงหญิงเย็บปักคนหนึ่ง”
“ที่แท้คุณหนูก็คิดเช่นนี้ เป็นติงเซียงที่โง่เขลาเอง”
ลู่จื่ออวิ๋นอิงแอบด้านข้าง แล้วเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “นั่นก็เพราะเจ้าเป็นห่วงข้า อันที่จริงข้าก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน”
กึก! จู่ ๆ รถม้าก็หยุดลง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ติงเซียงเอ่ยถาม
“คุณหนู รถม้าพังแล้วขอรับ” คนขับรถม้าตะโกนบอกจากข้างนอก
“ร้ายแรงหรือไม่?” ติงเซียงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ดูเหมือนต้องเปลี่ยนล้อขอรับ” คนขับรถม้าลงจากม้าไปตรวจดูอีกรอบก่อนเอ่ยสรุป “คุณหนู เกรงว่าต้องลำบากท่านเดินกลับไปแล้ว รถม้าคันนี้คงซ่อมไม่ได้สักพักหนึ่งเลยขอรับ”
“คุณหนู ไม่เช่นนั้นท่านพักอยู่ที่นี่ประเดี๋ยว บ่าวจะไปหารถม้ามาสักคันเจ้าค่ะ” ติงเซียงกล่าว
“ไม่ต้อง ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน เราเดินกลับกันเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าไม่ได้อ่อนแอบอบบางเพียงนั้น”
ลู่จื่ออวิ๋นและติงเซียงเดินผ่านถนนที่ทอดยาว
ขณะที่อยู่ในรถม้านั้นนางทำท่าจะหลับไม่หลับแหล่ ทว่าเมื่อลงมาจากรถม้าแล้วกลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อได้กลิ่นหอมกรุ่นของขนมระหว่างทาง จู่ ๆ พลันรับรู้ได้ถึงความหิว ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าล้วนหายไปหมดแล้ว
“กรี๊ดดดด…” มีคนกรีดร้องขึ้นมา
ติงเซียงรีบมายืนบังอยู่ข้างหน้าลู่จื่ออวิ๋นอย่างรวดเร็ว
ตุ้บ! เสียงดังมาจากด้านหน้า
ของสีดำตกลงมาจากด้านบน น้ำสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น
ลู่จื่ออวิ๋นแตะลงบนใบหน้าของตนเอง จึงได้พบว่าของเหลวสีแดงเปรอะอยู่บนนิ้วนาง
นี่ไม่ใช่หยดน้ำ แต่เป็นเลือด
“คุนหนู ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?” ติงเซียงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดแก้มของลู่จื่ออวิ๋นโดยเร็ว “ข้างหน้ามีคนตกลงมาเจ้าค่ะ”
ลู่จื่ออวิ๋นมองไปข้างหน้า
ตรงนั้นมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนพื้น เลือดสาดกระเซ็นปกคลุมไปทั่วพื้นรอบ ๆ
นางเงยหน้าขึ้นไป เห็นระเบียงชั้นสามของหอโคมเขียว มีชายหน้าตาหล่อเหลาหลายคนยืนอยู่บนนั้น
เมื่อลู่จื่ออวิ๋นเห็นคนผู้หนึ่งกลางคนกลุ่มนั้น หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นขึ้นมา
เซี่ยเฉิงจิ่น
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยเฉิงจิ่นราวกับสังเกตเห็นบางอย่าง เขาก้มหน้าลงไปมองดูรอบ ๆ ฝั่งตรงข้าม จึงเห็นลู่จื่ออวิ๋นที่หันมาพอดิบพอดี
“เหตุใดเจ้าจึงมีสีหน้าเช่นนั้น?” เซี่ยชิงโจวเอ่ยถาม “เจ้าเด็กคนนั้นกระโดดลงไปเอง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า”