สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 579 เด็กน้อยคนนั้นกลอกตาเสียแล้ว
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 579 เด็กน้อยคนนั้นกลอกตาเสียแล้ว
บทที่ 579 เด็กน้อยคนนั้นกลอกตาเสียแล้ว
บทที่ 579 เด็กน้อยคนนั้นกลอกตาเสียแล้ว
“ไปเถอะ!” เซี่ยเฉิงจิ่นเดินลงไปข้างล่างแล้วจากไปทันที
เซี่ยชิงโจวไล่ตามเขาไป “รอข้าก่อน… เหตุใดจึงเดินเร็วเช่นนี้?”
เกิดเหตุคนตายกลางถนน คนทั้งคนตกลงมาจากหอโคมเขียว เขตจิงเจ้าจึงรีบส่งคนมาตรวจสอบทันที
ทว่าครั้งนี้เซี่ยเฉิงจิ่นและพวกเซี่ยชิงโจวได้จากไปแล้ว เขตจิงเจ้าได้รู้ว่าเกิดข้อพิพาทระหว่างเซี่ยเฉิงจิ่นและคนผู้นั้นจากเถ้าแก่หอโคมเขียว จึงทำได้เพียงไปวังหลวงเพื่อรายงานสถานการณ์
คนผู้นั้นเป็นถึงท่านซื่อจื่อแห่งจวนอู่อันโหว พวกเขาไม่กล้ากระทำบุ่มบ่าม
จวนสกุลลู่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รีบสาวเท้าไปยังประตูบ้าน
กุบกับ กุบกับ กุบกับ! มีคนขี่ม้าเข้ามา
ลู่จื่ออวิ๋นหันหน้ากลับไป เห็นตัวละครหลักที่เพิ่งพบเมื่อครู่นี้พอดี
นางมองเขาด้วยความประหลาดใจ คิดว่าคนผู้นี้ช่างมีธุระปะปังมากมายเสียจริง ก่อนหน้านี้ยังอยู่ที่หอโคมเขียว ไม่นานกลับมาปรากฏตัวที่อื่นเสียแล้ว
เซี่ยเฉิงจิ่นลงจากม้า แล้วส่งสายบังเหียนให้ผู้ติดตาม
เขาเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น “ข้ามาหาใต้เท้าลู่”
“ข้าเพิ่งกลับมา ไม่รู้ว่าท่านพ่ออยู่หรือไม่” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
คนเฝ้าประตูเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู นายท่านกลับมาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้านำทางเซี่ยซื่อจื่อไปเถิด!” ลู่จื่ออวิ๋นสั่งการ
เซี่ยเฉิงจิ่นมองนางด้วยสายตาล้ำลึก ทำให้คุณหนูสกุลลู่สับสนงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย
เซี่ยชิงโจวที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวย้ำ “เหตุใดต้องรบกวนพี่ชายน้อยท่านนี้ด้วยเล่า? คุณหนูลู่เองก็ต้องกลับเข้าจวน ไม่สู้ขอให้คุณหนูลู่เป็นผู้นำทาง”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
นางเหนื่อยมาก ตอนนี้นางเพียงต้องการนอนลงบนเตียงเพื่อพักผ่อนเท่านั้น
ช่างเถิด ผู้มาเยือนเป็นแขก นอกจากนี้…
วันนี้เขาคงอารมณ์ไม่ดีนัก
เซี่ยเฉิงจิ่นกวาดตามองลู่จื่ออวิ๋นขึ้น ๆ ลง ๆ
เมื่อครู่นี้นางเพิ่งพบเห็นเหตุการณ์คนตกลงมาจากหอ ทว่านางกลับทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อายุยังน้อยแต่ความกล้ากลับมีมากนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่านางเห็นเขาเป็นคนอย่างไรไปแล้ว
“เมื่อครู่เจ้าเห็นแล้วหรือ?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยถาม
“ท่านหมายถึงที่มีคนตกลงมาจากหอน่ะหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม “ข้าเห็นแล้ว”
“ไม่กลัวหรือ?”
“มีอันใดให้กลัว?” ลู่จื่ออวิ๋นงงงวย “ตอนที่ท่านพ่อข้าเป็นนายอำเภอ เขาจัดการคดีมาไม่น้อย ตอนนั้นพวกเราอาศัยอยู่เรือนหลังจวนว่าการ ได้ยินผู้คนตีกลองร้องทุกข์บ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีบางคนแบกศพมารายงานคดี ข้าเห็นทุกอย่างที่ควรเห็นมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่มีอันใดน่ากลัวอีกแล้ว”
“กล้าไม่เบา”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
“เจ้าไม่กลัวข้าเป็นผู้ร้ายฆ่าคนหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นชะงักฝีเท้า จากนั้นจึงมองเซี่ยเฉิงจิ่นด้วยความสงสัย “ท่านจะเป็นผู้ร้ายฆ่าคนหรือไม่นั้นไม่มีผลอันใดกับข้า แม้ท่านจะเป็น ข้าก็ไม่ได้ล่วงเกินอันใดท่าน ท่านคงไม่สร้างความลำบากใจให้ข้ากระมัง?”
จือเชียนออกมาจากห้องตำรา เห็นลู่จื่ออวิ๋นพาบุรุษหลายคนมา จึงยืนมองนางอยู่เงียบ ๆ
“พวกเขามาหาท่านพ่อ” ลู่จื่ออวิ๋นอธิบาย “ท่านพี่จือเชียน ข้ามอบให้ท่านจัดการแล้ว”
จือเชียนยิ้มออกมาบาง ๆ “ได้”
เซี่ยเฉิงจิ่นมองสำรวจจือเชียน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบอีกฝ่าย ทว่าทุกครั้งเขาไม่ได้ให้ความสนใจ ที่แท้ผู้ติดตามข้างกายลู่อี้คนนี้กลับหล่อเหลาอีกทั้งยังมีบรรยากาศรอบกายที่โดดเด่น ดูไม่เหมือนบ่าวรับใช้แม้แต่น้อย
คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่เป็นเจ้านายกลับเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ สถานะของผู้ติดตามคนนี้ไม่ธรรมดาเลย!
มู่ซืออวี่ได้ยินว่าทันทีที่ลู่จื่ออวิ๋นกลับมาถึงบ้านก็เข้านอนทันที จึงเข้าครัวทำอาหารง่าย ๆ ด้วยตนเอง และทำรังนกเลือดอีกถ้วยหนึ่ง
เมื่อได้ที่แล้วจึงให้บ่าวรับใช้ไปปลุกลู่จื่ออวิ๋นขึ้นมาให้ทานอาหารก่อน เติมเต็มท้องแล้วค่อยนอนหลับพักผ่อน
“ฮูหยิน วันนี้นายท่านมีแขกเจ้าค่ะ จำต้องตั้งโต๊ะแยกอีกโต๊ะในห้องโถงใหญ่” บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน
“แขกที่ไหนกัน?”
“ท่านซื่อจื่อจากจวนอู่อันโหวเจ้าค่ะ”
“ข้าทำอาหารไว้หลายอย่างทีเดียว ตักไปเถิด!” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่างไรพวกเราก็ทานไม่มาก”
ลู่จื่ออวิ๋นง่วงงุนเป็นอย่างมาก นางจึงรีบทานให้เสร็จแล้วกลับไปนอนหลับพักผ่อน
เดิมทียังคิดว่าตนจะนอนหลับกระทั่งพระอาทิตย์ส่องแสง นึกไม่ถึงว่าจะตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นนี้
เมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้ว นางก็นอนต่อไม่หลับไม่ว่าจะพยายามเพียงใด จึงสวมเสื้อคลุมแล้วออกมาสูดอากาศ เมื่อได้สูดอากาศก็สังเกตเห็นว่าโคมไฟในบ้านยังไม่ดับจึงถามบ่าวรับใช้ที่เฝ้ายามตอนกลางคืน
“นายท่านและแขกยังดื่มอยู่ขอรับ นายท่านยังไม่ได้พักผ่อน จึงยังไม่ได้ดับโคมไฟขอรับ” บ่าวรับใช้ผู้นั้นตอบ
“ยังดื่มอยู่อีกหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว “เหตุใดดึกดื่นเพียงนี้แล้วยังดื่มอยู่อีก? ท่านแม่กำลังท้อง นางจึงเข้านอนเร็ว ไม่ได้มาควบคุมท่านพ่อ พ่อข้าจึงเหลวไหลแล้ว”
ในห้องโถงหลัก ลู่อี้มองเซี่ยเฉิงจิ่นที่รินสุราให้ตนและเลิกคิ้วขึ้น
เมื่อครู่นี้เซี่ยชิงโจวรินสุราให้เขา แต่ตอนนี้เซี่ยชิงโจวเมามายจนสับสนไปแล้ว จึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยังมีสติ ซื่อจื่อจวนอู่อันโหวผู้เป็นที่เลื่องลือว่าชอบวางอำนาจบาตรใหญ่กำลังรินสุราให้เขา นี่เกินความคาดหมายของลู่อี้อยู่บ้าง
เขามองเซี่ยเฉิงจิ่นอย่างพิจารณา
เด็กหนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลา ท่าทีนิ่งสุขุม ไม่ได้โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่เล่าลือภายนอก
“คดีนี้ต้องรบกวนศาลต้าหลี่แล้ว” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว “เฉิงจิ่นต้องขอบคุณใต้เท้า ณ ที่นี้”
“หากเป็นอย่างที่ท่านกล่าวว่ามีคนขายองค์รัชทายาทของอาณาจักรเฟิ่งหลินมาให้รั้งอยู่เป็นบ่าวรับใช้ของอาณาจักรเรา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่แล้วจริง ๆ”
“ข้าทราบ” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “เรื่องนี้เกี่ยวพันมากมายหลายอย่าง หากความแตกขึ้นมา สองอาณาจักรจะต้องเกิดสงครามเป็นแน่ มีเพียงพวกเราต้องหาเขาให้เจอก่อนเรื่องจะถูกเปิดเผย ไม่เช่นนั้น…”
องค์รัชทายาทผู้นั้นก็คือน้องชายของฮูหยินอู่อันโหว
ราชวงศ์ของอาณาจักรเฟิ่งหลินมีทายาทน้อยนิด เดิมทีมีองค์ชายหลายพระองค์ ทว่าบางคนป่วยตาย บางคนตายเพราะการแก่งแย่งแข่งขันกัน เหลือไว้เพียงองค์ชายที่ถูกประคบประหงมมาผู้นี้
เดิมทีเซี่ยเฉิงจิ่นกำลังตรวจสอบเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว ทว่าหากตอนนี้แหวกหญ้าให้งูตื่นจะต้องดึงดูดความสนใจของผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เขาจึงทำได้เพียงต้องหากำลังเสริมเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว
หากกล่าวถึงการสืบสวนคดี นอกจากฉีเซียวก็มีเพียงลู่อี้ ฉีเซียวเชื่อฟังเพียงคำสั่งของฮ่องเต้ชราเท่านั้น ดังนั้นคนคนเดียวที่เขามาหาได้ก็คือลู่อี้ นอกจากนี้เขายังยินดีที่จะร่วมมือกับลู่อี้มากกว่า
“ท่านพ่อ ดึกเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่พักผ่อนอีกหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเยื้องย่างเข้ามาในห้องโถงหลัก
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้ายังไม่นอนอีก?” เมื่อลู่อี้เห็นบุตรสาวของตน บรรยากาศเยือกเย็นรอบกายพลันหายไป เหลือไว้เพียงความอ่อนโยนและใจดีเท่านั้น
“เดิมทีข้าหลับไปแล้ว ได้ยินว่าท่านยังไม่ไปพักผ่อนจึงมาดูเสียหน่อย หากกลับแกล้มและสุราไม่พอ ลูกพอทำอาหารได้สองสามอย่างอยู่บ้างนะเจ้าคะ” ลู่จื่ออวิ๋นแย้มยิ้มเบา ๆ
ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว ลู่อี้จะยินดีทรมานบุตรสาวของตนได้อย่างไร?
ลู่อี้เอ่ยกับเซี่ยเฉิงจิ่นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านซื่อจื่อ…”
“ดึกมากแล้ว สหายเซี่ยยังดื่มสุรามากถึงเพียงนี้ ทำได้เพียงรบกวนใต้เท้าลู่แล้ว” เซี่ยเฉิงจิ่นยืนขึ้นแล้วประกบมือขอบคุณลู่อี้
ลู่อี้ยิ้มน้อย ๆ “ข้าจะให้ท่านพ่อบ้านจัดการ เซี่ยซื่อจื่อไม่ต้องเกรงใจ”
ลู่จื่ออวิ๋นหลือบมองเซี่ยชิงโจวที่อยู่ข้าง ๆ เขา แล้วบอกกับบ่าวรับใช้ที่เดินเข้ามา “เตรียมน้ำแกงสร่างเมาให้เสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
“เซี่ยซื่อจื่อ ท่านรีบพักผ่อนเถอะ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวกับเซี่ยเฉิงจิ่นแล้วคว้าแขนของลู่อี้ไป ราวกับกำลังจะพาเขากลับไปที่ห้องอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยเฉิงจิ่นมองตามหลังของลู่จื่ออวิ๋นแล้วครุ่นคิด
แม่นางน้อยดูเหมือนจะไม่ชอบให้มีคนชวนท่านพ่อของนางดื่มมากเกินไปนัก
ก่อนจะจากไป เด็กน้อยคนนั้นยังกลอกตาใส่เขาอย่างไม่สะทกสะท้าน ดูเหมือนจะไม่กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย
“ท่านซื่อจื่อ เชิญทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านนำเซี่ยเฉิงจิ่นและเซี่ยชิงโจวไปที่ห้องรับรองแขก