สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 590 ความคิดเห็นของซูจือหลิ่ว
บทที่ 590 ความคิดเห็นของซูจือหลิ่ว
บทที่ 590 ความคิดเห็นของซูจือหลิ่ว
มู่ซืออวี่เชิญซูจือหลิ่วมาดื่มชาในทันที
นางส่งจดหมายไปเชิญ จากนั้นจึงจัดเตรียมน้ำชายามบ่าย ซูจือหลิ่วเองก็ตอบรับการนัดหมายนี้ทันที
“นี่เป็นชาดอกไม้ที่ข้าเตรียมเอง ไม่รู้ว่าเจ้าชอบดื่มหรือไม่ หากไม่ชอบดื่ม พวกเราก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น อย่างไรเสียวันนี้ข้าก็ต้องทำให้เจ้าพอใจ”
มู่ซืออวี่มองดูจื่อเยวี่ยนที่กำลังชงชา แล้วเอ่ยกับซูจือหลิ่วที่อยู่ข้าง ๆ
ซูจือหลิ่วมองดูการเคลื่อนไหวของจื่อเยวี่ยนแล้วกล่าวว่า “พี่หญิงเป็นคนที่ยุ่งมากผู้หนึ่ง วันนี้ท่านเชิญข้ามาดื่มชา เพราะเรื่องการแต่งงานของข้ากับนายท่านรองลู่ใช่หรือไม่”
มู่ซืออวี่ “…”
ช่างเป็นหญิงสาวที่ตรงไปตรงมาเสียจริง
นางหันกลับไปมองซูจือหลิ่ว แล้วสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย
“ท่านไม่ต้องรู้สึกแปลกใจ ท่านพ่อบอกข้าแล้ว” ซูจือหลิ่วกล่าว “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าพยักหน้าตอบตกลงไปแล้ว”
“ข้ายังคิดว่าเพราะเกี่ยวข้องกับหนิงจู…”
“ข้าเคยลังเล ทว่าเมื่อดูทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมอย่างนายท่านรองลู่แล้วจริง ๆ” ซูจือหลิ่วเอ่ย “หากบุตรสาวแม่ทัพเช่นข้าแต่งงานกับสกุลที่เป็นแม่ทัพเช่นเดียวกัน ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทนมองท่านพ่อและพี่ชายไปออกรบทำสงคราม อีกทั้งยังต้องทนมองสามีของตนไปออกรบด้วย ข้าโตมากับการเห็นท่านแม่กินเจไหว้พระ ข้าไม่อยากมีชีวิตเช่นนั้น”
สถานการณ์ที่ทั้งบ้านปกคลุมไปด้วยความตื่นตระหนกตลอดเวลาอย่างนั้น นางไม่อยากสัมผัสอีก
“หากข้าแต่งงานกับสกุลขุนนางพลเรือน กฎเกณฑ์เหล่านั้นคงบดขยี้ข้าจนตาย ข้าจะไม่สามารถสวมใส่เครื่องแบบทหาร ขี่ม้าไปตามถนน ทั้งยังต้องปรนนิบัติรับใช้บิดามารดาสามี โต้เถียงกับพี่สะใภ้น้องสะใภ้ ทว่าสกุลลู่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ นายท่านรองลู่ไม่มีบิดามารดาที่เคร่งครัดกฎเกณฑ์เช่นนั้น ในฐานะญาติของเขา ใต้เท้าลู่และท่านต่างก็ไม่สนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง พวกเราสามารถใช้ชีวิตของเราเองได้”
“เจ้าช่างกระจ่างแจ้งเสียจริง” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้ารู้ดีว่าเจ้าต้องการสิ่งใด เพียงแต่ในฐานะแม่นางน้อยคนหนึ่ง เจ้าไม่เคยมีบุรุษที่ตนปรารถนาจะแต่งงานด้วยเลยหรือ?”
“พี่หญิง ข้าโชคดีมากแล้ว ท่านพ่อของข้ายังยินดีที่จะปรึกษาข้าเรื่องการแต่งงานของข้า ท่านสามารถถามสตรีจากสกุลขุนนางได้ จะมีสักกี่คนที่สามารถตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของตนเอง ผู้ใดบ้างไม่ได้แต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของสกุล?”
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
“ข้าไตร่ตรองมานานมากแล้ว อีกทั้งยังคิดกระจ่างแล้ว” ซูจือหลิ่วกล่าว “อย่างไรก็ตาม หากข้าเป็นเพียงคนเดียวที่คิดเรื่องนี้กระจ่างก็ไม่มีประโยชน์อันใด ยังต้องขอความคิดเห็นจากนายท่านรองลู่ด้วย”
ซูจือหลิ่วเป็นคนตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง มู่ซืออวี่เข้าใจความคิดของนางได้อย่างรวดเร็ว ภายหน้าก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อลู่อี้กลับมา มู่ซืออวี่ก็เล่าความคิดเห็นของซูจือหลิ่วให้เขาฟัง
“ข้าให้เวลาน้องเซวียนหนึ่งเดือน หากผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วเขายังไม่มีความคิดเห็นใด ๆ เช่นนั้นข้าจะคุยเรื่องนี้กับเขาตรง ๆ สกุลซูดีมาก และแม่นางผู้นั้นก็เหมาะสมกับเขา”
มู่ซืออวี่ก็ชอบซูจือหลิ่วเช่นกัน
ทว่านี่เป็นเรื่องของทั้งสองคน ดังนั้นให้พวกเขาใคร่ครวญกันเองเถอะ!
“วันนี้ข้าพูดคุยตกลงกับจื่อซูและจื่อเยวี่ยนแล้ว จื่อซูตกหลุมรักกับผู้ดูแลคนหนึ่ง ข้ากำลังเตรียมจะจัดงานแต่งงานให้พวกเขา ส่วนจื่อเยวี่ยน นางมีคนที่นางพึงใจแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าคิดว่าเรื่องนี้อาจต้องขอให้ท่านช่วย ท่านมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย ตรวจสอบคนเพียงคนเดียวคงไม่ใช่เรื่องยาก”
“เป็นคนอย่างไร?”
“ตอนที่นางออกไปข้างนอก นางเกือบจะถูกลักพาตัวไป มีคนผู้หนึ่งในเครื่องแต่งกายทหารเข้ามาช่วยนางไว้ ทว่าหลังจากช่วยนางแล้วคนผู้นั้นก็จากไป ไม่ได้ทิ้งชื่อแซ่เอาไว้”
สิ้นคำ มู่ซืออวี่ก็เรียกจื่อเยวี่ยนเข้ามา ให้นางอธิบายที่มาที่ไปคร่าว ๆ เน้นไปที่รูปร่างหน้าตาและลักษณะเฉพาะของคนผู้นั้น
จื่อเยวี่ยนหน้าแดงเรื่อขึ้นมาขณะที่นางบรรยายรูปร่างหน้าตาคนผู้นั้น
“เหตุเพราะอีกฝ่ายช่วยเจ้าไว้ เจ้าก็ตกหลุมรักอีกฝ่าย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าอีกฝ่ายอาจจะแต่งงานแล้ว?” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ
สีหน้าของจื่อเยวี่ยนซีดเผือดลงโดยพลัน “บ่าว… บ่าว…”
“ท่านอย่าทำให้นางกลัว” มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยแนะ “นางอายุไม่น้อยแล้ว ข้าไม่อาจรั้งนางไว้ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะดูเหมือนเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ข้าเพียงถามว่านางมีคนที่พึงใจหรือไม่ นางไม่มีตัวเลือกอื่น มีเพียงคนนี้ที่นางหวั่นไหวด้วย เมื่อนางเอ่ยถึงคนผู้นี้ ข้าคิดว่าการตามหาเขาก็เป็นความคิดที่ดีเช่นกัน หากคนผู้นั้นแต่งงานแล้ว พวกเราเพียงบอกว่ากำลังตามหาผู้มีพระคุณ หากอีกฝ่ายยังไม่ได้แต่งงาน อุปนิสัยไว้ใจได้ ขอแค่เพียงพวกเขาทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้ง เช่นนั้นก็นับว่าเป็นการทำเรื่องที่ดีงามให้ลุล่วง”
“ได้ ข้าจะจัดคนช่วยหาให้”
“ขอบคุณนายท่าน!” จื่อเยวี่ยนกล่าวขอบคุณ แล้วถอยออกไปตามสัญญาณมือจากมู่ซืออวี่
“นายท่าน เสวียนอู่ขอพบขอรับ” จือเชียนกล่าวขึ้นมาจากด้านนอก
“ข้าจะไปจัดการบางอย่างที่ห้องตำรา อีกประเดี๋ยวจะกลับมา เจ้านอนก่อนเถอะ ไม่ต้องรอข้า”
มู่ซืออวี่พยักหน้าเบา ๆ
ณ ห้องตำรา ลู่อี้มองข้อมูลที่เสวียนอู่มอบให้และกล่าวว่า “ไม่พบตัวตนของสตรีผู้นั้นหรือ?”
“เรียนใต้เท้า ครานั้นเกิดความโกลาหลขึ้นครั้งใหญ่ คนทั้งวัดล้วนตายไปหมดแล้ว ทว่าสตรีผู้นั้นราวกับตกลงมาจากท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นผู้ใด นางต้องไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาผู้หนึ่งแน่นอน คงถูกคนลบล้างร่องรอยออกไป ผู้ใดที่รู้เรื่องนี้ล้วนถูกลอบจัดการเงียบ ๆ หมดแล้ว”
“ตรวจสอบมาเป็นเวลานาน นึกไม่ถึงว่าจะไม่พบสิ่งใดเลย” จือเชียนเอ่ยขึ้น
“นี่เป็นเรื่องปกติ” ลู่อี้กล่าว “วิธีการของอีกฝ่ายโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก หากค้นหาได้ง่าย ๆ เกรงว่าจะไม่ใช่ข่าวจริง”
“หรือว่าจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ขอรับ?” จือเชียนเอ่ยถาม
“จือเชียน เจ้าอาจต้องเดินทางไปด้วยตนเองแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่หลงเหลือร่องรอยใด ๆ เลย เจ้าและเสวียนอู่ไปด้วยกันสักเที่ยว ไม่ต้องรีบร้อนกลับมา ค่อย ๆ ตรวจสอบไป จะต้องตรวจสอบพบบางอย่างเป็นแน่”
“ขอรับ”
หลังจากผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปแล้ว ลู่อี้ยังคงนั่งอยู่ในห้องตำราอีกพักหนึ่ง
เขาบอกตนเองว่าอย่าได้รีบร้อน รอมาหลายปีเพียงนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเอาดื้อ ๆ
อย่างไรก็ตาม ความโกรธภายในใจอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้
เขาไม่อยากให้มู่ซืออวี่ตกใจ ดังนั้นจึงรอให้ความโกรธบรรเทาลงก่อนจึงกลับเข้าไปในห้อง
ก่อนครบกำหนดหนึ่งเดือน การเลื่อนขั้นของลู่เซวียนก็ได้รับการกำหนดแล้ว
ว่ากันว่าการเลื่อนขั้นของเขาเนื่องมาจากเขาได้ตรวจสอบพบการทุจริตขนานใหญ่คดีหนึ่งเข้า เขาใช้คดีนี้พลิกผันตนเองและกลายมาเป็นรองเสนาบดีกรมพระคลังขั้นสี่ระดับสูงทันที
พี่น้องสกุลลู่กำลังทำอันใด เหล่าขุนนางอาวุโสล้วนไม่เข้าใจ
หากเมืองฮู่เป่ยอยู่ไม่ไกลเกินไป พวกเขาก็อยากจะไปดูที่บ้านเก่าของทั้งคู่จริง ๆ ว่ามีควันลอยขึ้นจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษพวกเขาหรือไม่ มิฉะนั้นเหตุใดสองพี่น้องถึงได้เลื่อนขั้นรวดเร็วเช่นนี้
ทันทีที่ลู่เซวียนได้รับการเลื่อนขั้น หน้าประตูบ้านที่ว่างเปล่าจนกางตาข่ายจับนกได้*[1] ก็มีแขกหลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่อง การไม่มีนายหญิงยิ่งทำให้เขาไม่สะดวกมากกว่าเดิมแล้ว
ดังนั้น ครึ่งเดือนหลังจากที่ลู่เซวียนได้เลื่อนขั้น ลู่อี้จึงเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานกับสกุลซู
ลู่เซวียนลังเลอยู่เป็นเวลาสามวันก่อนจะตอบตกลง
ด้วยเหตุนี้ สกุลลู่จึงตระเตรียมให้แม่สื่อไปสู่ขออย่างเป็นทางการ
สกุลซู เซี่ยวซื่อ ฮูหยินของซูเสิ้งเอ่ยกับสามีว่า “ข้าบอกให้ท่านพูดคุยเรื่องแต่งงานนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ท่านกลับไม่ฟัง ตอนนี้ลู่เซวียนได้เลื่อนขั้น สกุลเราเกรงว่าจะอาจเอื้อมไม่ถึงแล้ว”
“ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองเถอะ!” ซูเสิ้งกล่าว “หากไม่มีโชคชะตาจริง ๆ พวกเราก็ไม่อาจไปบังคับได้”
“ท่านพี่…” ฮูหยินรองสกุลซูเดินยิ้มแย้มเข้ามาพร้อมกับลูกสาวของนาง “ได้ยินว่าหลานคนโตของพวกเรากำลังหารือเรื่องแต่งงานหรือ ข้ามีตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกท่านจะถูกใจหรือไม่”
“เจ้าคงไม่ได้กล่าวถึงหลานชายจากสกุลเจ้ากระมัง?” เซี่ยวซื่อเอ่ยอย่างสุขุม “ขออภัย หลิ่วเอ๋อร์ของพวกเรายังเล็ก ไม่อาจเป็นแม่เลี้ยงของผู้อื่นได้”
[1] กางตาข่ายจับนกได้ หมายถึง ที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว