สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 592 หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่สามีของข้า
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 592 หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่สามีของข้า
บทที่ 592 หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่สามีของข้า
บทที่ 592 หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่สามีของข้า
ซูจือหลิ่วหันกลับไปมองลู่เซวียนในห้องโถง
ลู่เซวียนมีลักษณะของบัณฑิตทั่วไป หน้าตาสง่างาม เมื่อเทียบกับพี่ชายของเขาแล้ว เขากลับดูอ่อนแอกว่า ไม่ได้มีท่าทีน่าเกรงขามเพียงนั้น
ทว่านางมีสัมพันธ์อันดีกับมู่ซืออวี่ ไปเยี่ยมเยียนสกุลลู่ก็บ่อยครั้ง แม้กระทั่งเรือนพักผ่อนบนภูเขา นางยังได้ส่วนลดถึงสามส่วนซึ่งลูกค้าทั่วไปไม่อาจได้รับ นี่แสดงให้เห็นว่านางกับมู่ซืออวี่ถูกชะตากันเพียงใด
ด้วยชะตาที่ต้องกันกับมู่ซืออวี่นี้ ซูจือหลิ่วจึงรู้เรื่องราวในสกุลลู่มาไม่น้อย รวมถึงเรื่องราวของนายท่านรองลู่ผู้นี้ด้วย
“หากเขาเป็นบุรุษเช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่สามีของข้า” ซูจือหลิ่วเอ่ยนิ่ง ๆ “หากพวกเราแต่งงานแล้วไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างปรองได้ เช่นนั้นข้าก็จะหย่า”
“พี่หญิง ท่านกล่าวคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?” ซูจือฮุ่ยอุทานขัดบทสนทนาของคนหลายคนในห้องโถง
ดวงตาแต่ละคู่หันมาตามทิศทางของเสียงซึ่งเป็นที่ที่พี่หญิงน้องหญิงซูซ่อนตัวอยู่
ซูจือฮุ่ยปิดปากตนเอง แสดงสีหน้า ‘ข้าก่อเรื่องแล้ว’ ออกมา
สีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั้น ราวกับเด็กไม่เข้าใจเรื่องราวในโลกผู้หนึ่ง
“ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าออกมาสิ” ฮูหยินรองซูเอ่ยขึ้น “แขกอยู่ที่นี่ ตกใจอันใดกัน เสียมารยาทจริง ๆ เลย ยังไม่รีบออกมากล่าวขอโทษแขกอีก”
ซูจือฮุ่ยหันกลับไปมองซูจือหลิ่ว “พี่หญิง พวกเราออกไปกันเถอะ!”
ซูจือหลิ่วแค่นยิ้มแล้วสาวเท้าออกไป
ซูจือฮุ่ยก้มหน้าลง ราวกับจะเอ่ยว่า ‘ข้ารู้ความผิดแล้ว อย่าด่าว่าข้าเลย ดูสิข้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ท่านยังจะทำใจด่าข้าได้ลงหรือ?”
“พวกเจ้าคุยอันใดกันอยู่ด้านหลัง?” ฮูหยินรองซูเอ่ยถาม
“พี่หญิง… พี่หญิงกล่าวสองสามคำ เพียงแต่ข้าไม่เห็นด้วย ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจโต้เถียงกับพี่หญิงนะเจ้าคะ ภายหน้าข้าจะเชื่อฟังพี่หญิง เพียงแต่พี่หญิงก็กล่าวเกินไป…”
ซูเสิ้งและเซี่ยวซื่อหันไปมองหน้ากัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกนางคิดจะใช้อุบายกับหลิ่วเอ๋อร์ เพราะต้องการทำลายงานแต่งครั้งนี้
มารดาเป็นเช่นไรก็เลี้ยงบุตรสาวออกมาได้เช่นนั้นจริง ๆ ซูจือฮุ่ยเด็กสาวคนนั้นเหมือนกับมารดาของนาง ไม่มีผิด พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อข่มหลิ่วเอ๋อร์ ราวกับหากหลิวเอ๋อร์ถูกบดขยี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าพวกนางแล้ว สองแม่ลูกจะมีความสุข
โชคดีที่น้องรองของเขาเลี้ยงบุตรชายมาด้วยตนเอง ไม่ได้ปล่อยให้สตรีนางนี้ได้เลี้ยงดูอุ้มชู ไม่เช่นนั้นทายาทชายเพียงคนเดียวในสกุลซูคงถูกเลี้ยงดูให้เป็นคนไม่หยิบหย่งแล้ว
“คำพูดของเด็ก ๆ ไม่ต้องถือเป็นจริงจัง พวกเรากลับเข้าเรื่องกันเถอะ!” เซี่ยวซื่อเอ่ยขึ้น
“จะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้” ฮูหยินรองซูเอ่ย “หลิ่วเอ๋อร์ถึงวัยแต่งงานแล้ว ยังจะเห็นนางเป็นเด็กได้อย่างไร? หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไร เหตุใดจึงทำให้น้องสาวเจ้าตกใจเช่นนั้น”
“ใต้เท้าลู่ยังมีงานต้องทำ มีเวลาว่างมาฟังการกระซิบกระซาบของพวกนางพี่หญิงน้องหญิงที่ใดกัน?” ซูเสิ้งเอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ไม่เป็นไร” ลู่เซวียนมองซูจือหลิ่ว “แม่นางซูจือหลิ่วกล่าวอันใด ข้าน้อยก็อยากได้ยินเช่นกัน”
ซูจือหลิ่วมองลู่เซวียนแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าลู่อยากได้ยินจริง ๆ หรือ?”
“แน่นอน” ลู่เซวียนยิ้มบาง ๆ
ซูเสิ้ง “…”
ไม่รู้ว่ามีผลมาจากหน้าตาหรือไม่ ทว่าตอนนี้ยามใต้เท้าลู่เซวียนยิ้มดูคล้ายกับยามที่ใต้เท้าลู่อี้ยิ้มยิ่งนัก เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วรอยยิ้มของใต้เท้าลู่อี้ทำให้คนทานทนไมไหว ส่วนรอยยิ้มของใต้เท้าลู่เซวียนกลับทำให้รู้สึกถึงอันตราย
“ข้าคุยกับน้อยหญิงฮุ่ยเพียงสองสามคำ น้องหญิงฮุ่ยบอกว่าข้าโหดร้ายเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ท่านตกใจกลัว ข้าจึงบอกว่าหากใต้เท้าลู่เซวียนเข้าใจ เขาก็จะเป็นสามีของข้า หากหยาบช้าเฉกเช่นบุรุษส่วนใหญ่ เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่สามีข้า หากไม่ยอมปรองดรองกันหลังแต่งงาน เช่นนั้นข้าก็จะหย่าเสีย”
ซูเสิ้งและเซี่ยวซื่อตกตะลึง
“หลิ่วเอ๋อร์ อย่าได้พูดจาเหลวไหล”
ฮูหยินรองซูระเบิดหัวเราะออกมา “โธ่ คุณหนูใหญ่ของพวกเราช่างน่าเกรงขามเสียจริง ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรสาวแม่ทัพ!”
ซูเสิ้งและเซี่ยวซื่อจะฟังน้ำเสียงยินดีปรีดาบนความทุกข์ผู้อื่นในถ้อยคำของอีกฝ่ายไม่ออกได้อย่างไร?
แม่สื่อยังอยู่ที่นี่ ต่อหน้าลู่เซวียนและแม่สื่อ บ้านรองให้ร้ายบ้านใหญ่เช่นนี้ ชักจะรังแกคนเกินไปแล้ว
“ฮูหยินรองซูกล่าวมาเสียนมนานเพิ่งจะพูดได้ถูกใจข้า” ลู่เซวียนเอ่ยด้วยท่าที่นิ่งสงบ “คุณหนูใหญ่ซูไม่เสียแรงที่เป็นบุตรสาวของแม่ทัพ นางมีท่าทีน่าเกรงขามอย่างแม่ทัพซู เช่นนี้ดียิ่ง”
“ใต้เท้าลู่ นี่…” ซูเสิ้งกล่าวออกมาด้วยความละอายใจ “ทำให้ท่านขบขันแล้ว”
“ท่านแม่ทัพซู ข้าน้อยไม่ได้พูดไปตามมารยาท ข้าชื่นชมนิสัยกล้ารักกล้าเกลียดของคุณหนูใหญ่ซูจริง ๆ ชีวิตคนมีเพียงครั้งเดียว เดิมทีก็ควรมีความสุขเท่าที่ต้องการ ไม่มีเหตุผลใดที่คุณหนูใหญ่ซูควรอยู่อย่างปรองดรองหากนางไม่มีความสุข ตลอดทั้งชีวิตการรับราชการทหาร ท่านแม่ทัพซูมีบุตรสาวแก้วตาดวงใจเพียงคนเดียว แน่นอนว่าย่อมทนไม่ได้หากนางจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อแต่งงาน” ลู่เซวียนกล่าว “ข้าให้สัญญาต่อท่าน ณ ที่แห่งนี้ ขอแค่เพียงข้าสามารถให้ได้ ข้าจะไม่ผิดต่อคุณหนูซูเป็นอันขาด พวกเราสกุลลู่ไม่รับอนุ มีเพียงภรรยาเดียว ส่วนพี่สะใภ้ คุณหนูซูกับพี่สะใภ้ของข้าเป็นสหายที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหานี้”
ดวงตาของซูเสิ้งเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
แม่ทัพอาวุโสที่ผ่านสนามรบราฆ่าฟันศัตรูมานับไม่ถ้วนผู้นี้ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยหวาดกลัวศัตรู ทว่าในตอนนี้เขากลับตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง
“พอแล้ว อายคนเขา” ดวงตาของเซี่ยวซื่อเองก็แดงก่ำเช่นกัน เพียงแต่นางสะกดกั้นเอาไว้
สายตาของฮูหยินรองซูเต็มไปด้วยความอิจฉา
รองเสนาบดีหนุ่มคนนี้ดูมีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขามีพี่ชายที่เก่งกาจและยังมีพี่สะใภ้มากความสามารถ เหตุใดซูจือหลิ่วที่นิสัยราวกับบุรุษเช่นนั้นถึงได้พบกับครอบครัวที่ดีเช่นนี้?
ฮุ่ยเอ๋อร์ของพวกเขาไม่ยิ่งดีกว่าซูจือหลิ่วหลายร้อยเท่าหรือ?
“ยินดีกับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยที่ได้ลูกเขยยอดเยี่ยมเช่นนี้!” ฮูหยินรองซูเห็นว่าเรื่องนี้สิ้นสุดแล้ว หากยังรั้งอยู่ที่นี่ รังแต่จะทำให้ตนเองต้องอับอาย นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วขอตัวลา
นางดึงซูจือฮุ่ยออกไปพร้อมกัน
ซูจือฮุ่ยมองดูเงาร่างของลู่เซวียนด้วยสายตาไม่ยินยอม
สามีที่ดีเช่นนั้น นางก็ต้องการเช่นกัน
เพียงแต่นางไม่ได้มีบิดาที่ดีเช่นนั้น ทั้งยังไม่สามารถหาตัวเลือกที่ดีถึงเพียงนี้ได้
“ดูคู่นี้สิ สมกันยังกับกิ่งทองกับใบหยกเลยนะเจ้าคะ” แม่สื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากตกลงกันแล้ว เช่นนั้นก็กำหนดวันที่ใต้เท้าลู่และฮูหยินลู่จะมาเยี่ยมเยียนก่อน จากนั้นจึงจะประกอบหกพิธีการนะเจ้าคะ”
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” ซูเสิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซวียนมีงานที่ต้องไปสะสางจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงขอตัวกลับไปก่อน
ซูเสิ้งและเซี่ยวซื่อเอ่ยกับซูจือหลิ่ว “เป็นอย่างไร? พ่อว่าเขาไม่เลวกระมัง?”
“ข้ารู้ว่าเขาไม่เลว เพียงแต่…” ซูจือหลิ่วนึกถึงฉู่หนิงจู “ข้ากับฉู่หนิงจูเติบโตมาด้วยกัน…”
“พวกเขาทั้งสองไม่ใช่ว่าจะได้ลงเลยด้วยกัน” ซูเสิ้งกล่าว “ข้าสอบถามเรื่องนี้มาบ้างแล้ว หนิงจูใช้ชีวิตอยู่ชายแดนมีความสุขดี เจ้าเด็กสกุลฉีผู้นั้นก็ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนางแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ทุกอย่างทำตามคำท่านพ่อท่านแม่”
เซี่ยวซื่อและซูเสิ้งมองกันแล้วยิ้มออกมา
หินก้อนใหญ่ในใจพวกเขา ในที่สุดก็วางลงได้เสียที
ซูจือหลิ่วหน้าตาไม่เลว ทว่านางกลับเก่งเรื่องการใช้หอก ทั้งยังมีนิสัยดื้อรั้น คนส่วนใหญ่อาจไม่สามารถทนความแปลกแยกแตกต่างของนางได้
สกุลลู่นั้นแตกต่างออกไป ชื่อเสียงของลู่อี้ในฐานะคนรักภรรยาเป็นที่ล่วงรู้กันมานานแล้ว จะมีบุรุษสักกี่คนที่ยอมให้ภรรยาของตนเองปรากฏตัวทำการค้าหลังจากแต่งงานแล้ว? ลู่เซวียนเองก็ย่อมไม่แย่เช่นกัน
ทางลู่เซวียนทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ลู่อี้และมู่ซืออวี่เองก็กำลังจัดเตรียมหกพิธีการแล้วเช่นกัน
บางครั้งลู่เซวียนก็รู้สึกว่าพี่ชายของเขากลัวว่าเขาจะ ‘ขาย’ ไม่ออก อีกฝ่ายแทบจะทนรอให้เขาแต่งงานไม่ไหวแล้ว ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้? แม้กระทั่งสามวันยังไม่ยินดีรอ
วันแต่งงานกำหนดไว้ครึ่งปีให้หลังเพื่อให้สกุลซูได้เตรียมตัวและได้ใช้ระยะเวลาหนึ่งอยู่กับลูกสาวของพวกเขา หลังจากกำหนดวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองครอบครัวจึงไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น