สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 594 คุณหนูลู่ฉลาดกว่ามารดาเสียอีก
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 594 คุณหนูลู่ฉลาดกว่ามารดาเสียอีก
บทที่ 594 คุณหนูลู่ฉลาดกว่ามารดาเสียอีก
บทที่ 594 คุณหนูลู่ฉลาดกว่ามารดาเสียอีก
หลี่คงรุ่ยเอ่ยยิ้ม ๆ “กลุ่มการค้าน่ะ อันที่จริงแล้วเป็นสถานที่ที่มีไว้ทำความรู้จักกับสหาย ขอแค่เพียงเข้าร่วมกลุ่มการค้า พวกเราก็เปรียบเสมือนตั๊กแตนสองตัวที่ถูกผูกอยู่กับเชือกเส้นเดียวกัน หากมีเรื่องยุ่งยากลำบากใจอันใดก็จะสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ แน่นอนว่าในเมื่อเป็นสหายแล้ว หากมีความขัดแย้งในหมู่สมาชิกก็สามารถมาหาความยุติธรรมจากกลุ่มการค้าได้ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มการค้า ย่อมไม่เลือกที่รักมักที่ชังแน่นอน”
มู่ซืออวี่และหร่วนจวินโจวมองหน้ากัน
หลี่คงรุ่ยผู้นี้ถือตนเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนทราบที่มาของหลี่คงรุ่ย ในเมื่อมาเข้าร่วมย่อมหมายความว่าพวกเขายอมรับแล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไร? พวกเขายังจะกล้าเป็นศัตรูกับจวนพระสัสสุระได้หรือ?
“สิ่งที่เถ้าแก่หลี่กล่าวนั้นมีเหตุผล ทว่าข้าไม่ขอเข้าร่วม” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่านคงทราบ ข้ายังต้องดูแลจัดการกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ย หากข้าเข้าร่วมกลุ่มการค้าเมืองหลวงอีก เกรงว่าเถ้าแก่ในเมืองฮู่เป่ยทางนั้นจะเกิดความไม่พอใจเอาได้ วันนี้รบกวนแล้ว พวกท่านค่อย ๆ หารือกันไปเถิด ข้าต้องขอตัวก่อน”
“ข้าก็ไม่ขอเข้าร่วมแล้ว” หร่วนจวินโจวเอ่ย “‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ของพวกเราตอนที่อยู่เมืองฮู่เป่ยก็ได้เข้าร่วมกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยเช่นกัน หากเข้าร่วมกลุ่มการค้าเมืองหลวงอีกคงไม่ดี ข้าเองก็ต้องขอตัวก่อน”
“กลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยก็คือกลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ย กลุ่มการค้าเมืองหลวงก็คือกลุ่มการค้าเมืองหลวง” รอยยิ้มของหลี่คงรุ่ยจางลงเล็กน้อย “ในเมื่อเถ้าแก่เนี้ยมู่และเถ้าแก่หร่วนมายังเมืองหลวงแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”
“เถ้าแก่หลี่กล่าวได้ไม่ผิด” เถ้าแก่หยางเอ่ยขึ้นมา “หากจะกล่าวไปแล้ว เมืองฮู่เป่ยอยู่ห่างไกลจากที่นี่ เถ้าแก่เนี้ยมู่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าเมืองฮู่เป่ยก็เป็นเพียงชื่ออันเลื่อนลอย เหตุใดท่านจึงพอใจเพียงเท่านั้น?”
“สามีที่บ้านข้าค่อนข้างเข้มงวด ไม่ชอบให้ข้าออกมาเข้าร่วมนี่นั่นตามใจ ทุกท่านโปรดอภัย” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “หากเขารู้เข้า คงไม่ชอบใจนัก”
ทุกคน “…”
ดูเหมือนว่าการมีสามีก็จะเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน?
เอาเถอะ! มีสามีไม่ได้ยอดเยี่ยมอันใด ทว่าสามีอย่างใต้เท้าลู่ผู้นั้นควรค่าแก่การนำมาโอ้อวดจริง ๆ หลี่คงรุ่ยไม่กล้ากล่าวอันใด
มู่ซืออวี่พยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นจึงหมุนตัวจากไป
เดิมทีนางอยากเห็นว่าคนกลุ่มนี้คิดจะทำอันใด ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมากลับทำให้นางผิดหวังยิ่งนัก สุดท้ายแล้ว ก็แค่เพียงคิดจะรวบรวมเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ในเมืองหลวงมาเพื่อให้คนบางกลุ่มถอนขนแกะ*[1] เท่านั้นเอง
“ฮูหยินช้าก่อน” หร่วนจวินโจวตามออกมา “พวกเราออกมาครั้งนี้ นับว่าได้ล่วงเกินคนเหล่านั้นแล้ว”
“เมืองหลวงใหญ่โตเพียงนี้ หากเขารวบรวมผู้ทำการค้ามาทุกคนแล้วจริง ๆ จะมีคนแค่นี้ได้อย่างไร? เถ้าแก่หร่วนดูไม่เหมือนคนใจเสาะเสียหน่อย”
“ฮูหยินล้อเล่นแล้ว ข้าก็เป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง ขอแค่เพียงมีร่างกายที่ไม่เป็นอมตะ จะไม่รู้จักกลัวได้อย่างไรกัน?” หร่วนจวินโจวเอ่ย “จริงสิ ข้ามีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่เนี้ยมู่”
นับแต่ ‘ร้านเพียงหนึ่งเดียว’ ย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้าม มู่ซืออวี่ไม่ได้ติดต่อกับหร่วนจวินโจวมากนัก ทว่าวันนี้ในเมื่อได้พบกันแล้ว เห็นแก่หร่วนฉี หากช่วยได้นางย่อมต้องช่วยแน่นอน
“ข้ามีลูกค้าประจำกลุ่มหนึ่ง พวกเขาต้องการบัตรสมาชิกประจำปีสำหรับไปพักที่รีสอร์ตบนภูเขาของท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ได้ยินผู้ดูแลเจียงที่อยู่ที่นั่นบอกว่าส่วนของปีนี้เต็มแล้ว ยังไม่มีแผนที่จะขายบัตรสมาชิกอีก”
“ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้” มู่ซืออวี่ได้ยินดังนั้นก็ตกปากรับคำ “ข้าจะแจ้งท่านภายหลัง และจะให้ผู้ดูแลเจียงจัดการ พวกท่านต้องการกี่ใบ?”
“ห้าใบกระมัง ข้าไม่อาจปล่อยให้ผู้ดูแลเจียงยุ่งยากได้” หร่วนจวินโจวเอ่ย “หากเถ้าแก่เนี้ยมู่สะดวกใจ ข้าก็อยากซื้อหนึ่งใบเช่นกัน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เถ้าแก่หร่วนไม่ต้องเกรงใจ ท่านอยากไปก็ไปเถิด ไว้ข้าจะแจ้งให้ท่านทราบภายหลัง” มู่ซืออวี่ขึ้นไปบนรถม้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ภายในรถม้า ฉานอีเอ่ยขึ้นมา “ต้องการตรวจสอบคนเหล่านี้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ไปตรวจสอบเถิด รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หากพวกเขาไม่มายุ่งวุ่นวายกับข้า เช่นนั้นทุกคนย่อมมีความสุข กลัวก็แต่แต่พวกเขาจะเป็นบ้าไป คิดสร้างปัญหาให้ข้าน่ะสิ” มู่ซืออวี่เอ่ย
ณ หอซือเป่า ลู่จื่ออวิ๋นส่งงานเย็บปักถักร้อยที่นางทำและเฝ้ามองท่านเจ้าหอสวีด้วยสายตาคาดหวัง
ท่านเจ้าหอสวีพลิกไปพลิกมาตรวจดู แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีพรสวรรค์มาก เรียนรู้ได้ไม่เลวเลย”
“ขอบคุณท่านอาจารย์” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“ข้าต้องไปจวนเซวียนอ๋องเที่ยวหนึ่ง เจ้าตามข้าไปด้วยเถอะ!”
ลู่จื่ออวิ๋นนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ วันนี้ข้ามีเรื่องต้องทำที่บ้าน เกรงว่าจะติดตามท่านอาจารย์ไปไม่ได้แล้ว เช่นนี้เถิด ท่านอาจารย์พาหยางเจิงไปเถิดเจ้าค่ะ!”
หากสามารถติดตามท่านเจ้าหอออกไปทำงานได้ หยางเจิงที่อยู่ในหอซือเป่าก็จะมีคนให้ความเคารพเพิ่มขึ้นอีกขั้น
ท่านเจ้าหอสวีไม่ได้สงสัยพาและหยางเจิงออกไป
ลู่จื่ออวิ๋นนึกถึงถ้อยคำ ‘โกหก’ ที่นางกล่าวออกไป แน่นอนว่านางต้องหาวิธีทำให้แนบเนียน ด้วยเหตุนี้นางจึงออกจากหอซือเป่าเร็วกว่าเดิม
“อย่าเพิ่งกลับบ้าน ไปที่หอบุปผางาม” ลู่จื่ออวิ๋นบอกคนขับรถม้าข้างนอก
“ขอรับ คุณหนู”
หอบุปผางามเป็นร้านเครื่องประดับที่ดีที่สุดในเมืองหลวง มีทั้งหมดสามชั้นด้วยกัน ชั้นแรกขายเครื่องประดับทั่ว ๆ ไป ของชิ้นที่ถูกที่สุดของที่นี่ราคาสามตำลึงเงิน ชั้นที่สองและชั้นที่สามยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ละชั้นราคาแพงขึ้นตามลำดับ ผู้ที่สามารถขึ้นไปยังชั้นสามได้ไม่ใช่ผู้ที่สูงศักดิ์ หากแต่เป็นผู้ทำการค้าที่มั่งคั่งร่ำรวยเทียบเท่าอาณาจักร อย่างเช่นมู่ซืออวี่
ลู่จื่ออวิ๋นมารับเครื่องประดับให้มารดา
มู่ซืออวี่สั่งทำเครื่องประดับชุดหนึ่งไว้ที่นี่ เวลานี้คงทำเสร็จแล้ว เนื่องจากมู่ซืออวี่ออกแบบเอง อีกทั้งอัญมณีที่ใช้ยังล้ำค่ายิ่ง ดังนั้นจึงต้องใช้ระยะเวลาในการทำนานเป็นพิเศษ
“คุณหนูลู่ เชิญทางนี้ขอรับ” ผู้ดูแลทักทายนางอย่างนอบน้อมและเดินนำขึ้นไปบนชั้นสาม “โปรดรอประเดี๋ยวนะขอรับ ข้าจะให้คนไปนำของออกมาเดี๋ยวนี้”
“ได้” ลู่จื่ออวิ๋นหาที่นั่งแล้วนั่งลง
คนต้อนรับในร้านนำชามาให้
ขณะที่นางกำลังรออยู่นั้น มีหลายคนเดินขึ้นมาด้านบน
“ข้าได้ยินคนต้อนรับกล่าวว่าสินค้าใหม่ของพวกเขางดงามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังประดับทับทิมหายากด้วย” ขณะที่กล่าวนั้น หลายคนก็เดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
เดิมทีลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้สนใจ ทว่าหนึ่งในนั้นกลับเรียกชื่อนางขึ้นมา นางเงยหน้าขึ้นมามอง จึงได้พบกับชิงเหอจวิ้นจู่และเซวียนหวางเฟยหรือหยางอีเหริน
ส่วนคนที่เพิ่งเอ่ยประโยคเมื่อครู่นั้นยิ่งคุ้นเคยกันมากกว่า ผู้ที่ก้มหน้าไม่เจอก็ต้องเงยหน้าเจอ ฟางเหยานั่นเอง
“คุณหนูลู่ ของมาแล้วขอรับ” ผู้ดูแลเดินมาพร้อมกับคนงานหลายคน
คนงานหลายคนเดินถือถาดเข้ามา บนถาดนั้นเต็มไปด้วยเครื่องประดับนานาชนิด หนึ่งในนั้นเป็นเครื่องประดับศีรษะที่โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
“เป็นอันนั้น” หยางอีเหรินชี้ไปที่เครื่องประดับศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เป็นทับทิมที่ล้ำค่ายิ่ง ทั้งสีและขนาด กล่าวได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียว”
ชิงเหอจวิ้นจู่สาวเท้าเข้ามา ชี้ไปที่เครื่องประดับศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องการอันนี้”
ผู้ดูแลตะลึงงัน เขาเหลือบมองลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยว่า “สิ่งนี้ฮูหยินลู่จองไว้นานแล้วขอรับ”
“เป็นเงินมากน้อยเพียงใด?” ชิงเหอจวิ้นจู่ปรายตามองลู่จื่ออวิ๋น “ข้าต้องการอันนี้ คุณหนูลู่ เจ้าคงไม่แย่งชิงกับจวิ้นจู่ผู้นี้กระมัง?”
“ไม่หรอกเพคะ หากจวิ้นจู่ต้องการเช่นนั้นก็นำไปเถิด เพียงแค่ทิ้งแสนตำลึงเงินไว้ก็พอแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าไม่แย่งชิงกับท่านอย่างแน่นอน”
“แสนตำลึงเงิน? เจ้าล้อข้าเล่นหรือไร?” ชิงเหอจวิ้นจู่หัวเราะเยาะ
“ถึงแม้เครื่องประดับศีรษะนี้จะงดงามจริง ๆ แต่แสนตำลึงเงินไม่มากไปหน่อยหรือ?” หยางอีเหรินเอ่ยนิ่ง ๆ “ได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินลู่เฉลียวฉลาด แต่ดูเหมือนคุณหนูลู่จะฉลาดกว่ามารดาเสียอีก”
[1] ถอนขนแกะ หมายถึง ได้ของฟรี ได้ของในราคาถูก