สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 599 คนหนุนหลังมาแล้ว
บทที่ 599 คนหนุนหลังมาแล้ว
บทที่ 599 คนหนุนหลังมาแล้ว
คนที่เป็นผู้นำควบขี่อยู่บนหลังม้า เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ดูวุ่นวายนี้ สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่มู่ซืออวี่
“ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”
มู่ซืออวี่สั่นศีรษะเบา ๆ
“เจ้าคนแซ่ลู่ นี่หมายความว่าอย่างไร” โอวหยางลั่วรู้จักลู่อี้
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เป็นขุนนางใหญ่โต ทว่าสำหรับโอวหยางลั่วแห่งจวนพระสัสสุระ เขาไม่จำเป็นต้องเห็นลู่อี้อยู่ในสายตา
“ตามพระบัญชาของฝ่าบาท พาคุณชายโอวหยางไปที่ศาลต้าหลี่เพื่อรับการไต่สวนอย่างเข้มงวด” ลู่อี้โบกมือแล้วเอ่ยว่า “นำตัวไป!”
“หมายความว่าอย่างไร? แม้ข้าจะทุบร้านพวกเจ้า นั่นก็ไม่ถึงขั้นต้องใช้อำนาจส่วนตัวแก้แค้นและให้ข้าไปสถานที่ผีสางเช่นศาลต้าหลี่นั่นกระมัง”
“คุณชายโอวหยางเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะอาศัยอำนาจแก้แค้นเรื่องส่วนตัวได้อย่างไร? คดีที่ข้าต้องสอบสวนนั้นใหญ่โตกว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่การทุบร้าน ตอนนี้คุณชายโอวหยางออมแรงไว้ดีกว่า อย่าให้แข้งขาของท่านอ่อนปวกเปียกหลังจากเข้าไปที่ศาลต้าหลี่ ไม่เช่นนั้นท่านจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานมากเพียงใดเล่า?” ลู่อี้เอ่ยอย่างเยือกเย็น “นำตัวไป!”
เจ้าหน้าที่ทางการของศาลต้าหลี่เข้าล้อมโอวหยางลั่ว
โอวหยางลั่วนำยอดฝีมือมาหลายสิบคน คนเหล่านี้มีฝีมือดีเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้าเดินกร่างไปมาในเมืองหลวง
จวนพระสัสสุระมีเพียงบุตรชายจากภรรยาเอกคือโอวหยางลั่วเพียงคนเดียว เขาจึงถูกประคบประหงมตามใจเป็นอย่างมาก คนเหล่านี้จึงย่อมเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ลู่อี้ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ รับพระบัญชามาจากฮ่องเต้ ไม่ว่าคนเหล่านี้จะเก่งกาจเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนพระบัญชาจากฝ่าบาท
โอวหยางลั่วจึงถูกนำตัวไปเช่นนี้
ลู่อี้ลงมาจากม้า คว้ามือของมู่ซืออวี่ไปกุมแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”
มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “ข้าไม่เคยพบเจอเรื่องแบบใดมาบ้างเล่า?”
“ฮูหยินร้ายกาจยิ่ง”ลู่อี้ยิ้มออกมาบาง ๆ “เช่นนั้นข้าต้องไปทำงานก่อนแล้ว คืนนี้อาจจะกลับดึก ไม่ต้องเตรียมอาหารไว้ให้ข้าและไม่ต้องรอ”
“โอวหยางลั่วผู้นั้น…”
“’กฎหมายการค้า’ ที่เจ้าเสนอแนะให้น้องเซวียนผ่านแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะมีการประกาศใช้ ข้าเองก็เขียนหนังสือรายงานเรื่องที่มีคนในราชสำนักพยายามเอาใจผู้ทำการค้าขึ้นไปแล้วเช่นกัน ส่วนฮ่องเต้จะคิดเช่นไรนั้น ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับข้า”
มู่ซืออวี่บีบฝ่ามือของลู่อี้แล้วเอ่ยว่า “ชั่วร้ายนัก”
ฮ่องเต้หวาดระแวงถึงเพียงนั้น ยังจะคิดอันใดได้อีก?
ไม่นานมานี้องค์ชายรองก็ถูกดึงไปพัวพันกับเรื่องเหล่านี้ ครานี้ถึงคราวขององค์รัชทายาทแล้วเช่นกัน
ทว่าก็ควรเป็นเช่นนั้น เดิมทีฮ่องเต้ชราหวังว่าองค์รัชทายาทและองค์ชายรองจะคานอำนาจกัน เช่นนั้นเขาจะได้นั่งพักผ่อนบนบัลลังก์อย่างผ่อนคลาย บัดนี้องค์ชายรองถูกข่มไว้แล้ว องค์รัชทายาทกำลังฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเต็มที่ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะลดอำนาจขององค์รัชทายาทลง ไม่ว่าเขาจะโง่เขลาเพียงใด อย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไป
โอวหยางลั่วถูกพาตัวไปแล้ว ลู่อี้และคนอื่น ๆ ก็จากไปแล้วเช่นกัน เหตุการณ์จึงกลับมาสงบอีกครั้ง
มู่ซืออวี่ให้คนทำความสะอาดเศษซากที่เหลือ
“อาจารย์ พี่อี้องอาจมากจริง ๆ!” เฟิงเจิงยกนิ้วโป้งให้นาง
“ความองอาจของเขาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในวันสองวัน เมื่อก่อนเขาอยู่เมืองฮู่เป่ยก็องอาจมาก” มู่ซืออวี่กล่าว “เจ้ามีปัญหาหรือ?”
“ไม่มีปัญหา! ไม่มีปัญหา!” เฟิงเจิงฉีกยิ้มกว้าง
“เมื่อครู่นี้ทุกคนได้รับความตกใจแล้ว ลูกค้าทุกคนที่ซื้อสินค้าของเราวันนี้ ข้าจะลดราคาให้ จ่ายเพียงแปดส่วนเท่านั้น”
ทันทีที่เฟิงเจิงได้รับคำสั่งก็ไปแปะประกาศทันที
ทันทีที่มีประกาศใหม่ออกมา ผู้คนที่เพิ่งเห็นก็สนอกสนใจ บางคนถึงขั้นซื้อมากกว่าหนึ่งชุด ฉากของเรือน กรุ่นฝันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ทุกท่านเป็นสหายของน้องหญิงจือหลิ่วก็นับว่าเป็นสหายของข้า หากพวกท่านสนใจ ข้าจะลดให้พวกท่านเหลือเพียงเจ็ดส่วน” มู่ซืออวี่บอกกับแขกสตรีที่ซูจือหลิ่วรับรอง
“จริงหรือ? ฮูหยินลู่ พวกเราเป็นสหายกันนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านให้ส่วนลดพวกเราตลอดไปได้หรือไม่?”
“ได้สิ ข้าจะให้คนของข้าลงทะเบียนให้ ด้วยบัตรสมาชิกของเรา ไม่เพียงแต่จะได้รับแต้ม ท่านยังได้รับส่วนลดเหลือเพียงเจ็ดส่วนอีกด้วย นอกจากนั้น แต้มเหล่านี้ยังสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าได้ หากยังไม่มีของที่ชอบก็สามารถเก็บไว้ซื้อครั้งต่อไป หรือจะแลกเปลี่ยนเป็นส่วนลดเลยก็ได้”
“ฮูหยินลู่ใจดียิ่งนัก พวกเราชักจะชอบท่านเสียแล้วสิ”
หลังจากส่งสองสามคนนั้นกลับไปแล้ว ซูจือหลิ่วก็เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “ลดเหลือเจ็ดส่วนต่ำเกินไปหรือไม่? ท่านไม่ควรให้สิทธิ์นี้แก่พวกนางนะเจ้าคะ”
“พวกเขาเป็นสหายของเจ้า ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ สกุลลู่ของเรามีน้ำใจต่อสหายมาโดยตลอด เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ยากจนอย่างแน่นอน”
ซูจือหลิ่วหัวเราะออกมา “ข้ารู้ว่าท่านไม่ยากจน ผู้ใดไม่รู้บ้างเล่าว่าท่านเป็นหนึ่งในสกุลที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง”
หากมีรายชื่ออันดับเศรษฐี มู่ซืออวี่คงติดอยู่ในห้าอันดับแรก
แน่นอนว่าห้าอันดับแรกนี้ไม่เพียงแต่อยู่ภายในอาณาจักรเท่านั้น แต่รวมถึงอาณาจักรข้างเคียงอีกหลายอาณาจักรด้วย
“จริงสิ อย่างไรเจ้าก็มาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดไม่ลองมองดูเครื่องเรือนสำหรับบ้านใหม่ดูล่ะ” มู่ซืออวี่ดึงซูจือหลิ่วออกมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปนั่งตรงนั้นก่อน ข้าจะให้คนงานไปเอารายชื่อสินค้ามาให้เลือก”
“เครื่องเรือนสำหรับบ้านใหม่หรือ?” ซูจือหลิ่วเอ่ยถาม “ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกระมัง?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร คู่แต่งงานใหม่ล้วนต้องการสิ่งใหม่ ๆ เครื่องเรือนใหม่ บ้านใหม่…” มู่ซืออวี่เอ่ย “น้องสามีเอาใจใส่มากทีเดียว เขาซื้อบ้านใหม่ที่อยู่ข้าง ๆ เปิดทางเชื่อมให้ ทั้งยังใช้จ่ายเงินไปจำนวนมากเพื่อขอให้ข้าพี่สะใภ้ที่กำลังตั้งครรภ์ผู้นี้มาออกแบบ เขาเอ่ยว่าข้าและเจ้าเป็นพี่หญิงน้องหญิงที่ดีต่อกันจึงให้ข้าช่วยเขาถามเจ้าว่าเจ้าชอบบ้านแบบใด เจ้าเด็กโง่คนนั้นไม่รู้แม้กระทั่งวิธีถามเจ้าด้วยซ้ำ”
ซูจือหลิ่วตกอยู่ในอาการงุนงงนับตั้งแต่เกิดการหมั้นหมายขึ้น บางครั้งนางก็รู้สึกแปลก ๆ ที่นางหมั้นหมายแล้ว อีกทั้งยังเป็นการหมั้นกับบุรุษที่เคยพบหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง
ในความเป็นจริง ถึงแม้นางจะเคยพบลู่เซวียนไม่กี่ครั้ง ทว่านางมักจะได้ยินชื่อของเขาจากปากของผู้อื่นบ่อย ๆ ตอนนี้กลับมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับเขาจึงรู้สึกแปลกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม คำพูดของมู่ซืออวี่ทำให้นางสัมผัสได้ว่าการหมั้นหมายเป็นเรื่องจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น
ที่แท้ลู่เซวียนเองก็ให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง
นางคิดว่าเขายอมตอบตกลงเพียงเพราะถูกพี่ชายพี่สะใภ้รบเร้า เนื่องด้วยบิดาของนางมีความสัมพันธ์กับสกุลลู่ไม่เลว อีกทั้งนางยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับมู่ซืออวี่
“ท่านก็รู้จักข้า ข้าไม่ชอบดอกไม้ใบหญ้าพวกนั้น” ซูจือหลิ่วกล่าว “หากเป็นไปได้ ข้าอยากมีลานฝึกวรยุทธ์แห่งหนึ่ง”
“ลานฝึกวรยุทธ์?” มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา “เจ้าช่างพิเศษจริง ๆ”
“ข้ายังมีคำขออีกอย่าง ไม่รู้ว่าคุณชายลู่เซวียนจะยินยอมหรือไม่” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ท่านพ่อข้ามอบสาวใช้ที่มีฝีมือไม่เลวแต่งตามเข้าบ้านให้ข้าสิบคน ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับพวกนางหรือไม่ หากไม่ ข้าก็จะหาวิธีจัดการให้พวกนางอยู่ข้างนอก”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถามเขา ข้าตอบแทนเขาได้ เขาไม่มีปัญหาแน่นอน” มู่ซืออวี่เอ่ย “เมื่อพวกเราออกไปข้างนอก มีเรื่องมากมายที่ต้องใส่ใจ หากมีคนคอยคุ้มครองย่อมดีที่สุด เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของพวกเราคือตัวอย่าง เดิมทีพวกเราจัดเตรียมสาวใช้ฝีมือดีไว้ข้างกายนางเพื่อให้นางทำเรื่องต่าง ๆ ในหอซือเป่าได้สะดวกมากขึ้น แต่เพราะไม่อยากฟังคนอื่นนินทาว่าร้าย นางจึงมักจะขอให้สาวใช้รออยู่ที่บ้าน ทว่าไม่นานมานี้นางออกไปพบเจอเหตุฉุกเฉินเข้า แม้เป็นเหตุการณ์ร้ายแรงแต่โชคดีที่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เห็นได้ชัดว่าการมีสาวใช้ฝีมือดีหลายคนอยู่รอบกายเป็นเรื่องจำเป็น”
มู่ซืออวี่พาซูจือหลิ่วเลือกแบบเครื่องเรือนสำหรับบ้านใหม่
หลังจากเลือกเครื่องเรือนแล้วจึงเลือกโคมไฟและของตกแต่งทั้งหมด
งานในครั้งนี้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยความขยันขันแข็งของเหล่าคนงาน อีกทั้งมู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วยังได้เลือกทุกสิ่งที่ต้องการทั้งภายในและภายนอกของบ้านหลังใหม่เองด้วย