สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 602 เจี้ยหยวนที่อายุน้อยที่สุด
บทที่ 602 เจี้ยหยวนที่อายุน้อยที่สุด
บทที่ 602 เจี้ยหยวนที่อายุน้อยที่สุด
หลายวันผ่านไปในพริบตา ลู่ฉาวอวี่สอบเสร็จแล้วจึงกลับมาที่บ้าน เขาท่องตำราอยู่ที่บ้านหลายวัน จนกระทั่งวันประกาศผลจึงออกมา
หากไม่ใช่เพราะทุกคนในสกุลลู่เชื่อในความสามารถของเขา คงคิดว่าเขาตื่นตระหนกไปแล้ว ทว่าหากดูจากสีหน้าของลู่ฉาวอวี่ย่อมไม่อาจอ่านสิ่งใดได้ เขาก็เหมือนลู่อี้ย่อส่วน
ส่วนมู่เจิ้งหานนั้นกลับผ่อนคลายกว่ามาก สอบเสร็จแล้วก็ไม่ได้สนใจว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เขาเชิญสหายที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันขึ้นไปขี่ม้าที่เรือนพักผ่อนบนภูเขา
ลู่ฉาวอวี่สงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก ปกติก็สนิทกับคนน้อยยิ่งนัก
ทว่ามู่เจิ้งหานนั้นแตกต่าง เพราะนิสัยร่าเริงแจ่มใสของเขาจึงมีผู้คนไม่น้อยเข้ามาผูกมิตร นอกจากนี้มู่ซืออวี่ยังเป็นพี่สาวของเขา ทันทีที่ชื่อนี้ถูกกล่าวออกไป ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดเข้ามาประจบประแจง
เขาไม่ใช่คนโง่ ผู้ใดจริงใจผู้ใดเสแสร้งย่อมแยกแยะได้กระจ่าง
มาถึงตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มบ้านนอกที่เพิ่งออกมาจากหมู่บ้านอีกต่อไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยกระทำความผิด เพียงแค่ใช้ความจริงใจแลกความจริงใจ เสแสร้งมาย่อมเสแสร้งกลับเท่านั้น
“ผลสอบประกาศแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาจากข้างนอก “ฮูหยิน ผลสอบประกาศออกมาแล้วขอรับ!”
เพื่อรอผลที่ประกาศออกมา หลายวันมานี้มู่ซืออวี่จึงอยู่แต่ที่บ้าน ไปตรวจดูความคืบหน้าในการปรับปรุงจวนลู่เซวียนบ้างเป็นบางครั้ง
นางมักจะชวนซูจือหลิ่วไปที่จวนของลู่เซวียนด้วยกัน หากซูจือหลิ่วไม่ชอบตรงไหน มู่ซืออวี่ก็จะแก้มันทันที
“เห็นชื่อพวกเขาหรือไม่?”
“เห็นแล้วขอรับ นายท่านหานสอบได้ระดับที่สอง อันดับที่สิบสองขอรับ ส่วนนายน้อย ตอนบ่าวกลับมายังติดประกาศไม่หมดจึงไม่เห็นลำดับหน้าชื่อ”
ซางจือเอ่ยอยู่ข้าง ๆ “การติดประกาศรายชื่อเริ่มจากอันดับต่ำสุด ยิ่งอันดับดีเพียงใด ยิ่งต้องรอติดประกาศนานขึ้นเจ้าค่ะ เป็นการดึงดูดให้ผู้คนกระหายใคร่รู้”
“ข้ารู้” สิ้นคำ มู่ซืออวี่ก็หันไปเอ่ยกับบ่าวรับใช้ผู้นั้น “เจ้าลำบากแล้ว ซางจือ ตกรางวัล!”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นได้รับขวัญกำลังใจแล้ว จึงถอยออกไปอย่างมีความสุข
ผ่านไปพักหนึ่ง บ่าวรับใช้เดินนำฉินเหวินหานเข้ามา
“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับฮูหยินแล้ว” ฉินเหวินหานประกบมือแล้วจึงเอ่ย “ยินดีกับนายน้อยหานที่สอบได้ระดับที่สองอันดับที่สิบสอง และนายน้อยลู่ที่สอบได้เจี้ยหยวน*[1]”
“เจี้ยหยวน?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร? คนที่ข้าส่งไปยังไม่ได้ส่งข่าวกลับมาเลยนะ!”
“ฮ่า ๆ แน่นอนว่าข้ามีเส้นสายน่ะสิ” ฉินเหวินหานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข่าวนี้เชื่อถือได้อย่างแน่นอน ฮูหยินวางใจ”
“เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา ฮูหยินจึงไม่ให้ใครในจวนเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้จึงไม่ได้ส่งคนไปสอบถาม” ฉานอีกล่าว
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป นายท่านหานก็เป็นจวี่เหรินแล้ว ส่วนนายน้อยไม่เพียงเป็นจวี่เหรินเท่านั้น แต่ยังเป็นอันดับหนึ่งด้วย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” ฉินเหวินหานเอ่ย “วันนี้ข้าคงต้องหน้าหนาขอดื่มหน่อยแล้ว”
“แน่นอน วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยง! ไม่เชิญผู้อื่น เชิญเพียงคนในครอบครัวและสหาย” สิ้นคำ มู่ซืออวี่ก็สั่งให้บ่าวรับใช้ไปเรียกลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานมา
ทั้งสองคนอยู่ที่บ้าน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในห้องโถงใหญ่
ลู่ฉาวอวี่ไม่มีอันใดให้ต้องหวาดกลัว ทว่ามู่เจิ้งหานกลับไม่มั่นใจในตนเองนัก เขาจึงหมกตัวอยู่ในห้อง อยู่ในเรือนหลังเล็กของตนเองไม่ออกมา
ไม่นานเจี๋ยจือหรือเด็กส่งเอกสารก็มาส่งประกาศของทางการที่สกุลลู่ เมื่อเห็นอันดับซึ่งเหมือนกับที่ฉินเหวินหานบอก ทุกคนก็โล่งใจ
ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว คนที่มาเยี่ยมเยียนจึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
มู่ซืออวี่เห็นว่ามีคนส่งของขวัญแสดงความยินดีมามากก็รู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนทำเพื่อให้เกียรติลู่อี้ อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานการเข้าสังคม หากปฏิเสธคงไม่เหมาะสมนัก นางจึงรับไว้ แล้วเลือกวันจัดงานเลี้ยงใหม่
วันที่จัดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการคือสามวันให้หลัง คืนวันนี้มีเพียงสหายสนิทที่ได้รับเชิญมา หนึ่งในนั้นรวมถึงซูจือหลิ่วว่าที่น้องสะใภ้ผู้นี้ด้วย
สกุลซูและสกุลลู่เริ่มไปมาหาสู่กันมากขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่องมงคลระหว่างทั้งสองสกุลก็ใกล้เข้ามาเช่นกัน แน่นอนว่าวันดี ๆ เช่นนี้ย่อมต้องมาอาบแสงแห่งความรุ่งโรจน์ สกุลลู่รุ่งโรจน์เพียงใด สกุลซูยิ่งรุ่งโรจน์เพียงนั้น
วันดี ๆ เช่นนี้ ในฐานะนายจ้างที่ใจกว้างที่สุด มู่ซืออวี่ไม่ได้ปฏิบัติต่อคนงานย่ำแย่ ตามกฎแต่เดิม คนงานทุกคนจะได้รับเงินคนละสองตำลึงเงิน
“ตอนที่ข้าออกมาจากบ้าน ข้าพบฮูหยินรอง นางเอ่ยวาจาเสียดสีเหน็บแนมข้ามากมาย” ซูจือหลิ่วรินน้ำให้มู่ซืออวี่ “นางว่าข้าเป็นคนเจ้าอุบาย เข้าหาท่านประจบประแจงท่านตั้งนานแล้ว ท่านจึงขอแต่งงานในครั้งนี้”
“เจ้าจะสนใจนางไปไย?” มู่ซืออวี่เอ่ย “นับแต่โบราณมา คนที่ยอดเยี่ยมมักจะถูกคนอื่นเกลียดชังได้ง่ายเสมอ”
ซูจือหลิ่วยิ้มออกมา
“เรื่องของผู้เยาว์ในสกุลเราก็ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว งานแต่งของเจ้าและน้องสามีก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ” มู่ซืออวี่เอ่ย “น้องสามีข้าค่อนข้างเก็บตัว หากเจ้าไม่พอใจเขาก็บอกข้า ข้าจะช่วยเจ้าจัดการ”
“ข้าก็เก็บตัวเช่นกัน” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ข้าก็ไม่รู้จักทำตัวอย่างกุลสตรีสกุลใหญ่เหล่านั้น”
“พูดราวกับข้าเป็นกุลสตรีสกุลใหญ่ หากเจ้าไม่ยิ้มกว้างยิงฟันเป็นกุลสตรีสกุลใหญ่ว่านอนสอนง่าย ข้าคงไม่ยินดีเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กับเจ้าหรอกนะ!”
“แต่การเป็นน้องสะใภ้ของท่านทำให้ข้าตื่นตระหนก” ซูจือหลิ่วมองลู่ฉาวอวี่ที่รายล้อมไปด้วยผู้คน “อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเจี้ยหยวนได้ ท่านทำให้ข้ารู้สึกกดดันยิ่ง”
“สกุลลู่ไม่ขาดผู้รู้หนังสือ แต่กลับไม่มีขุนพลทหาร เจ้าเชี่ยวชาญวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็ฝึกยอดยุทธออกมาสักคนเสียสิ”
ดวงตาของซูจือหลิ่วเปล่งประกายแวววาว
คำพูดของมู่ซืออวี่ตรงใจนางยิ่งนัก
เมื่อเทียบกับจ้วงหยวนบุ๋นแล้ว นางชอบจ้วงหยวนบู๊เสียมากกว่า
แม่ทัพซูดื่มไปไม่น้อย ลู่อี้จึงรั้งอยู่พูดคุยกับเขาทั้งคืน ฮูหยินซูไร้ทางเลือกได้แต่พาบุตรสาวรั้งอยู่ด้วยกัน
หลังจากฮูหยินซูและซูจือหลิ่วมองดูแม่ทัพซูที่ดื่มหนักเสียจนเมามาย จึงตามบ่าวรับใช้ไปยังเรือนปีกข้าง
“ฮูหยิน…” ลู่เซวียนตรงเข้ามาหา
ฮูหยินซูหันกลับไปมองว่าที่ลูกเขย ยิ่งมองยิ่งเจริญตา นางเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้ม “นายท่านรองเองก็ดื่มหนักเช่นกันหรือ?”
“ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง ข้าน้อยดื่มไม่เก่งนัก จึงดื่มไปเพียงสองจอกเท่านั้น”
“เช่นนี้ดียิ่ง ไม่เหมือนนายท่านบ้านเรา ดื่มไม่ไหวแล้วยังจะฝืน พวกท่านคนหนุ่มสาวควรรักษาสุขภาพตนเองดี ๆ” ฮูหยินซูเอ่ย “ท่านพูดคุยกับหลิ่วเอ๋อร์เถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว ต้องไปพักผ่อนก่อน”
ซูจือหลิ่วทำตัวไม่ถูก แต่ไหนแต่ไรมานางมักจะใจกล้า แทบไม่ได้แสดงความเขินอายออกมา
“นานท่านรองมีอันใดจะกล่าวหรือ?”
ลู่เซวียนมองหน้านาง “ข้ายังคิดว่าท่านค่อนข้างใจกล้าเสียอีก”
นึกไม่ถึงว่าจะมียามที่ทำตัวไม่ถูกเช่นนี้
ปกติเมื่อพบนาง นางมักจะเปิดเผยตรงไปตรงมา เมื่อมองเขาไม่เคยหลบเลี่ยงสายตา แต่จะมองตรงเข้ามาในดวงตาเสมอ
“ข้ารู้สึกง่วงเล็กน้อย” ซูจือหลิ่วยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
“ข้าบังเอิญเห็นกริชเล่มหนึ่งตัดเหล็กได้ราวกับโคลน ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ ข้าให้เจ้า” ลู่เซวียนหยิบกริชเล่มนั้นออกมาจากแขนเสื้อ
ซูจือหลิ่วรับมาแล้วชักออกดู แสงสะท้อนจากกริชแวววับ
“กริชดี”
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
“ผู้อื่นล้วนมอบชาดทาแก้มหรือไม่ก็แป้งผัดหน้าให้ข้า เหตุใดท่านมอบกริชให้ข้าเล่า?”
“หากเจ้าชอบชาดทาแก้มแป้งผัดหน้า ข้าก็มอบให้เจ้าได้เช่นกัน” ลู่เซวียนเอ่ย “แต่ข้าคิดว่าของพวกนั้นเจ้าเองก็ไม่ได้ขาด กริชนี้หาได้ยาก เจ้าคงชอบ”
ซูจือหลิ่วรู้สึกราวกับสวรรค์ประทานพร “ขอบคุณ”
“นี่ก็ดึกแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ” ลู่เซวียนเอ่ย “หลายวันนี้พี่สะใภ้ต้องรับรองแขกไม่น้อย จากนิสัยของนางแล้วนางย่อมพาเจ้าไปด้วย ถึงตอนนั้นเจ้าคงต้องเหนื่อยแน่”
[1] เจี้ยหยวน คือ ผู้ที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งในการสอบเซียงซื่อหรือการสอบระดับมณฑล