สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 604 ลื่นไถลตกลงไปในน้ำ
บทที่ 604 ลื่นไถลตกลงไปในน้ำ
บทที่ 604 ลื่นไถลตกลงไปในน้ำ
“ข้าตะกละแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า? ข้าไม่ได้กินของบ้านพวกเจ้านี่ ข้ากินของบ้านเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์” เจี่ยหลิงหลงดึงความกล้าออกมา
บุตรสาวสกุลขุนนางที่ถูกลู่จื่ออวิ๋นสั่งสอนอยู่ตรงนั้นจึงไม่อาจเชิดหน้าชูคอได้อีก
เวลาพวกนางอยู่ที่บ้านล้วนถูกประคบประหงมเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเหล่าพี่หญิงน้องหญิงรวมตัวกันก็ล้วนพูดคุยถึงสกุลลู่ว่าเป็นเพียงดาวที่บังเอิญโชติช่วงขึ้นมา จริง ๆ แล้วไม่ได้มีฐานรากลึกซึ้งอะไร เมื่อหันกลับมามองพวกนาง นับได้ว่าสร้างรากฐานกันมานมนานนับตั้งแต่ปู่ย่าตายาย สกุลลู่ไม่มีอะไรพิเศษ ยังเร็วไปที่จะนับว่าพวกเขาเป็นผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริง เดิมทีพวกเขาก็ไม่มีความสามารถอะไรให้เย่อหยิ่งแม้แต้น้อย
สำหรับเจี่ยหลิงหลง พวกนางกลับดูแคลนยิ่งกว่า บิดาของเจี่ยหลิงหลงเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ ในศาลต้าหลี่ ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งเข้าร่วมการหารือช่วงเช้าของราชสำนักด้วยซ้ำ คนเช่นนี้กล้าตอบโต้พวกนางได้อย่างไร
“พวกเราเพียงแค่เป็นห่วงเจ้า” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าทำเช่นนี้หยาบคายเกินไปแล้วกระมัง ถึงแม้คุณหนูลู่ไม่ถือสาหาความ ทว่าวันนี้มีคนมามากมาย หากเล่าลือออกไป เช่นนั้นจะไม่ทำให้ผู้อื่นหัวเราะขบขันเราเอาหรือ? กุลสตรีสกุลใหญ่เช่นพวกเรามาคบค้ากับคนเช่นนี้ น่าขายหน้ายิ่งนัก”
“จริงสิ ฮูหยินเจี่ยควรจ้างแม่นมมาอบรมสั่งสอนเจ้าสักคนแล้ว อ้อ ได้ยินว่าฮูหยินเจี่ยเป็นเจ้าสาวที่ครอบครัวสามีชุบเลี้ยงมา เกรงว่าแม้กระทั่งนางเองก็คงไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนกระมัง?” บุตรสาวขุนนางผู้หนึ่งแย้มยิ้มออกมาด้วยท่าทีนุ่มนวลอ่อนโยน
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากล่าวถึงท่านแม่ข้าเช่นนั้น!” เจี่ยหลิงหลงผู้ที่ยังขลาดกลัวเมื่อครู่นี้ได้ยินดังนั้นก็โมโหขึ้นมา ตรงเข้าไปผลักบุตรสาวขุนนางผู้นั้นอย่างแรง
“ว้ายยย!” บุตรสาวขุนนางผู้นั้นเท้าลื่นไถล ร่างกายโงนเงนทำท่าจะตกลงไปในน้ำ
ลู่จื่ออวิ๋นคว้าบุตรสาวสกุลขุนนางผู้นั้นไว้ได้
“รีบเข้ามาช่วยเร็วเข้า” นางตะโกนเรียกคนอื่น ๆ
นางอายุยังน้อย บุตรสาวสกุลขุนนางผู้นั้นอายุมากกว่านางหลายปี นอกจากนี้นางยังคว้าอีกฝ่ายไว้ได้เพียงปลายนิ้ว เมื่อเห็นว่าจะจับไว้ไม่ไหวลู่จื่ออวิ๋นจึงทำท่าจะปล่อยมือแล้ว
“เจ้ากล้าผลักพี่หญิงหวัง…” บุตรสาวขุนนางอีกคนกราดเกรี้ยว พุ่งเข้ามาผลักเจี่ยหลิงหลง
รูปร่างของเจี่ยหลิงหลงค่อนข้างอ้วนกลม ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กนางทำงานหนักมาไม่น้อยจึงมีมือที่แข็งแรง บุตรสาวขุนนางผู้นั้นไม่เพียงแต่ผลักเจี่ยหลิงหลงไม่ล้ม แต่ยังเป็นฝ่ายลื่นไถลตกลงไปในน้ำเองด้วย
เสียงตู้มดังขึ้น คนทั้งคนจมลงไปในน้ำแล้ว
ปลาที่แหวกว่ายวนอยู่แถวนั้นตกใจจนว่ายหนีไปทันที
ส่วนอีกทางหนึ่งนั้น ลู่จื่ออวิ๋นดึงบุตรสาวขุนนางผู้นั้นไว้ไม่ไหว บุตรสาวขุนนางผู้นั้นจึงตกลงไปเช่นกัน
บุตรสาวขุนนางทั้งสองที่ตกลงไปในน้ำนั้นผู้หนึ่งแซ่หวัง อีกผู้หนึ่งแซ่หร่วน ตอนนี้ทั้งสองคนผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในน้ำ
สาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้พวกนางต่างตกใจกลัว ร้องตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้ รีบช่วยคนเร็วเข้า!”
“คุณหนูลู่ นี่เป็นวิธีที่จวนลู่ของพวกท่านรับรองแขกหรือ?” สาวใช้หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ
“นี่ไม่โทษเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เป็นข้าที่ผลักพวกนางลงไป” เจี่ยงหลิงหลงตกใจจนแทบหัวใจวาย ทว่านางยังคงมายืนบังหน้าลู่จื่ออวิ๋น “ผู้ใดให้นางปากร้ายเพียงนั้นเล่า ท่านแม่ข้าถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโส นางที่เป็นผู้เยาว์กลับว่าร้ายผู้อาวุโส หากถ้อยคำเล่าลือออกไป เกรงว่าคงไม่มีสกุลใดกล้าแต่งคนปากคอเราะรายอย่างคุณหนูของพวกเจ้าเข้าประตูกระมัง?”
“ช่วยคนก่อน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น “ผู้ใดถูกผู้ใดผิด คนมากมายเพียงนี้ล้วนเห็นทั้งสิ้น พวกเขาคงไม่พูดจากลับขาวเป็นดำได้กระมัง”
บ่าวรับใช้จวนลู่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงเร่งรุดมาแล้ว
ไม่นานนัก บุตรสาวขุนนางทั้งสองคนนั้นก็ได้รับการช่วยเหลือ
มู่ซืออวี่กำลังรับรองแขกฝ่ายหญิง เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่สระน้ำด้านหลัง นางจึงกล่าวขออภัยแขกฝ่ายหญิงคนอื่น ๆ จากนั้นก็รีบร้อนไปยังสระน้ำ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ได้ยินว่าเหล่าแม่นางเกิดมีปากเสียงกัน ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา จึงลื่นไถลตกลงไปในน้ำแล้ว”
“ไม่เป็นอะไรร้ายแรงกระมัง?”
“คุณหนูหวังและคุณหนูหร่วนได้รับความตกใจ บ่าวรับใช้พาพวกนางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ เมื่อครู่นี้มีคนเห็นฮูหยินหวังและฮูหยินหร่วนรุดไปหาแล้วเจ้าค่ะ”
ซางจือเอ่ยถามบ่าวรับใช้ ทว่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นก็กล่าวได้ไม่ชัดเจน แม้มู่ซืออวี่ต้องการรู้รายละเอียดก็ไม่ได้ความแล้ว อีกประเดี๋ยวคงทำได้เพียงตัดสินถูกผิดไปตามสถานการณ์
จื่อซูเดินเข้ามาหาจากฝั่งตรงข้าม “ฮูหยิน ข้ามีสองสามคำจะกล่าวเจ้าค่ะ”
วันนี้มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย มู่ซืออวี่จึงเรียกจื่อซูและจื่อเยวี่ยนมาช่วยอีกแรง ทว่าทั้งสองรับผิดชอบกันคนละส่วน
มู่ซืออวี่เดินไปที่มุมหนึ่ง จื่อซูเล่าสถานการณ์เมื่อครู่นี้ให้ฟังคร่าว ๆ รวมไปถึงเหตุผลที่ทำให้พวกนางโต้เถียงกันโดยละเอียด
“หากกล่าวเช่นนี้แล้ว เป็นคุณหนูสองท่านนั้นที่หยาบคายก่อน” มู่ซืออวี่เอ่ย “เอาละ เจ้าไปเชิญฮูหยินเจี่ยมา หากนางไม่มา คุณหนูเจี่ยย่อมถูกคนรังแกแน่ ข้าเองก็ไม่อาจช่วยอย่างออกนอกหน้าได้เช่นกัน”
คุณหนูหวังและคุณหนูหร่วนเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกนางแล้ว ทั้งคู่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ในห้อง ฟังแล้วน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดไม่รู้คงคิดว่านางเป็นฝ่ายถูกรังแกเสียเอง
“ลูกแม่…” ฮูหยินหวังเปิดประตูเข้ามา “เป็นอะไรไปหรือ? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ลูกสาว เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่? รู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่?” ฮูหยินหร่วนเดินตามเข้ามา
“ท่านแม่…” แม่ลูกหลายคนปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา
ลู่จื่ออวิ๋นมองดูฉากนี้ด้วยสีหน้านิ่งสงบ ไม่ว่าพวกเขาจะร้องจนเสียงดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง นางก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เจี่ยหลิงหลงดึงชายแขนเสื้อของลู่จื่ออวิ๋น มองนางด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ลู่จื่ออวิ๋นส่งยิ้มปลอบใจ จากนั้นจึงมองพวกนางร้องไห้ต่อไป
“คุณหนู ปลากะพงสีเงินหลายตัวที่ซื้อมาใส่สระน้ำเพิ่มตายแล้วเจ้าค่ะ ยังมีปลาทองอีกมากกว่าสิบตัวตายด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นสายพันธุ์หายากที่ฮูหยินซื้อมาจากที่ต่าง ๆ นับดูแล้วสูญเงินไปกว่าสามพันตำลึงเงินเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋น
“มากมายเพียงนั้นเชียวหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว “พวกมันล้วนเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านแม่ ท่านพ่อเคยบอกว่า ผู้ใดทำให้ปลาตาย เท่ากับฝ่าฝืนข้อห้ามของสกุลลู่ ต้องถูกลงโทษ”
“คุณหนูลู่ พวกนางสองคนได้รับความหวาดกลัวเช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีกะจิตกะใจไปสนใจปลาอยู่อีกหรือ?” ฮูหยินหวังเอ่ยขึ้นมาด้วยความขัดเคือง “สกุลลู่ของพวกเจ้ารังแกคนเกินไปแล้วกระมัง?”
“ฮูหยิน เหตุเพราะคุณหนูทั้งสองท่านนี้ได้รับความตกใจ พวกท่านจึงมาที่นี่ ดังนั้นข้าจะให้เวลาพวกท่านได้ปลอบใจพี่หญิงทั้งสองให้มากพอ รอพวกท่านสงบลงแล้วเรื่องอื่นค่อยพูดคุยกันทีหลัง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ก่อนที่พวกท่านจะจิตใจสงบลง บ่าวรับใช้ของข้ามารายงานความเสียหายที่เกิดภายในบ้าน ข้าที่เป็นเจ้าบ้านน้อยคนนี้คงไม่อาจเพิกเฉยได้กระมัง?”
“ลูกรัก พวกเจ้าตกน้ำได้อย่างไรหรือ?” ฮูหยินหร่วนเอ่ยถาม
“นาง… นางเป็นคนผลักข้าลงไป” คุณหนูหร่วนชี้ไปที่เจี่ยหลิงหลง
“ช้าก่อน พวกเรามาย้อนเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อย่างละเอียดและแยกแยะถูกผิดกันเถอะ!” ลู่จื่ออวิ๋นปรบมือหนึ่งครั้ง
จากนั้นบ่าวรับใช้สี่คนก็เดินเข้ามา
บ่าวรับใช้สี่คนนั้นล้วนเป็นสตรีหน้าตางดงามหมดจด
หนึ่งในบ่าวรับใช้หลายคนเปิดปากขึ้น “คนแซ่เจี่ยผู้นั้นน่าขันนัก…”
น้ำเสียงนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการเลียนเสียงของคุณหนูสกุลหวัง
คุณหนูหวังและฮูหยินหวังล้วนตกตะลึง
จากนั้นเสียงของคุณหนูหร่วนก็ดังขึ้นมา
บ่าวรับใช้อีกสองคนแสดงเป็นลู่จื่ออวิ๋นและเจี่ยหลิงหลงอย่างเคารพนบนอบ
ทั้งสี่คนบอกเล่าสถานการณ์เมื่อครู่นับแต่ต้นจนจบออกมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ท้ายที่สุดมีบ่าวคนหนึ่งถลึงตาจ้องมอง ยังมีบ่าวอีกคนหนึ่งแสดงเป็นสองบทบาทและนำ ‘เนื้อเรื่อง’ ทั้งหมดมาถ่ายทอดอย่างมีชีวิตชีวา หากฮูหยินหวังและฮูหยินหร่วนยังกล่าวว่าไม่เข้าใจ เช่นนั้นคงทำให้ผู้คนสงสัยแล้วว่าพวกนางยังมีสมองอยู่อีกหรือไม่
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าการที่กุลสตรีสกุลใหญ่ผู้หนึ่งสามารถว่าผู้อื่นผิดถูกตามใจชอบ เป็นการกระทำที่ไม่น่ายกย่องชมเชยนัก พี่หญิงทั้งสองท่าน คำก็กล่าว ‘ไม่รู้มารยาท’ สองคำก็กล่าว ‘ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน’ ทั้งคู่คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ทว่าการกระทำเช่นนี้ของพวกท่านกลับทำให้ผู้คนมองไม่ออกว่าเป็น ‘ผู้ดี’ แม้แต่น้อย”