สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 606 ความครึกครื้นของงานเลี้ยง
บทที่ 606 ความครึกครื้นของงานเลี้ยง
บทที่ 606 ความครึกครื้นของงานเลี้ยง
“สายตาเฉียบแหลมนัก” มู่ซืออวี่กล่าว “ผู้อื่นเห็นเพียงแค่ภูเขาจำลองนั้นสวยงาม ทว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันประกอบมาจากหินที่แตกต่างกันหลายชนิด”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันคงล้ำค่ามากทีเดียว” ฮูหยินสิงเคาะหน้าผากของสิงเจียซือหนึ่งที แล้วหันกลับไปมองมู่ซืออวี่ “ท่านอย่าไปฟังนาง นางเป็นเพียงเด็กชอบเล่นสนุกคนหนึ่ง”
“ไม่เป็นไร” มู่ซืออวี่กล่าว “คุณหนูห้าชอบมันมากเช่นนี้ เจ้าชอบหินก้อนไหนก็เอาไปเถิด”
“ขอบคุณฮูหยินลู่!” สิงเจียซือกล่าวขอบคุณอย่างเบิกบานใจ
เดิมทีฮูหยินสิงต้องการปฏิเสธ ทว่าสิงเจียซือกลับตอบรับทันที นางจึงทำได้เพียงถลึงตามองบุตรสาวด้วยความโมโห
ฝั่งแขกฝ่ายหญิงในที่สุดก็สงบลง ทว่าแขกฝ่ายชายเริ่มวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเสนอให้ประชันบทกลอนขึ้นมา ดูจากจุดประสงค์ของคนเหล่านั้น พวกเขาต้องการให้เจี้ยหยวนแสดงความสามารถออกมา
“ฮูหยิน ทางคุณชายกำลังจัดประชันบทกลอนเจ้าค่ะ หัวข้อหลักเกี่ยวกับดอกบัว ผู้ใดเขียนได้ดีกว่าจะเป็นผู้ชนะ เจิ้นกั๋วกงยังจะมอบป้ายหยกกิเลนของเขาให้เป็นรางวัลด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อแขกฝ่ายหญิงได้ยินสิ่งน่าสนใจเพียงนี้ก็อดใจไม่ไหว เสนอให้ไปดูสถานการณ์ทางฝั่งชายคนแล้วคนเล่า
วันนี้เป็นงานที่สกุลลู่จัดขึ้นมา แม้อยากไปร่วมชมความครึกครื้น อย่างไรก็ต้องให้มู่ซืออวี่ผู้นี้พยักหน้าเห็นด้วยเสียก่อน
“หนุ่มสาวดียิ่งนัก มีชีวิตชีวาเปี่ยมล้น เช่นนั้นพวกเราไม่อาจทำให้พวกเขาผิดหวัง” มู่ซืออวี่มองเหล่าฮูหยิน ณ ที่แห่งนี้ “อย่างไรเสียก็มีพวกเราที่เป็นผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ ไม่มีอันใดไม่เหมาะสม”
คนทั้งกลุ่มไปยังสวนที่ฝ่ายชายรวมตัวกัน
โต๊ะและเก้าอี้มากมายถูกนำมาตั้งไว้ภายในสวน บ่าวรับใช้จัดเตรียมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกมาให้ ชายหนุ่มวัยเยาว์หลายสิบคนกำลังง่วนอยู่กับการเขียนบทกวี
ลู่ฉาวอวี่โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาอายุน้อยที่สุด เพียงอาศัยหน้าตาที่ถอดแบบออกมาจากลู่อี้ก็สามารถกลายเป็นจุดสนใจได้อย่างง่ายดายแล้ว
ลู่จื่ออวิ๋นมองเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นอยู่ข้าง ๆ ลู่ฉาวอวี่
นางรู้สึกสงสัยยิ่งนัก คนผู้นั้นเขียนด้วยท่าทีจริงจังเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะเขียนอะไรออกมา
ฮูหยินอู่อันโหวปิดปากของตนด้วยพัดทรงกลม เอ่ยกับอู่อันโหวที่อยู่ข้าง ๆ “วันนี้บุตรชายท่านเป็นอันใดไป? ปกติเขาเบื่อหน่ายการเล่นสำบัดสำนวนเช่นนี้มากที่สุด นึกไม่ถึงว่าในที่สุดก็จะโผล่หน้าออกมาแล้ว”
“คนหนุ่มจะไม่เลือดร้อนได้อย่างไร บางทีเขาอาจไม่เต็มใจพ่ายแพ้ให้กับผู้อื่น?” อู่อันโหวกล่าวต่อไป “อีกอย่างวันนี้มีแม่นางน้อยมามากมาย จะไม่มีผู้ใดคู่ควรกับการที่เขาอยากแสดงความสามารถเชียวหรือ?”
ฮูหยินอู่อันโหวกล่าวด้วยท่าทีครุ่นคิด “ได้ยินว่านกยูงตัวผู้จะรำแพนหางเมื่อเห็นนกยูงตัวเมียที่ชอบ ที่แท้ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องรำแพนหางแล้ว”
“หมดเวลาหนึ่งก้านธูป!” เจิ้นกั๋วกงตะโกนก้อง “ถึงเวลาชื่นชมภาพตัวอักษรที่งดงามของทุกท่าน”
วันนี้มีปัญญาชนและกวีมาไม่น้อย โดยเฉพาะขุนนางอาวุโสเหล่านั้น จ้วงหยวน*[1] ปั๋งเหยี่ยน*[2] ทั่นฮวา*[3] ในหลาย ๆ ศาตร์และศิลป์ล้วนอยู่ที่นี่
หนึ่งในนั้น ผู้ที่มีสิทธิ์แสดงความเห็นมากที่สุดคือใต้เท้าสิง ราชครูขององค์รัชทายาท
“เจี้ยหยวนลู่เขียนบทกลอนออกมาสิบบท ล้วนแต่เป็นบทกวีที่ดี ตัวอักษรราวกับเหยี่ยวที่โบยบินอยู่กลางนภา บทกลอนที่ดีและตัวอักษรที่ดีควรค่าแก่การเป็นที่หนึ่ง เซี่ยซื่อจื่อเขียนบทกลอนออกมาเก้าบท ขาดไปเพียงบทเดียว ทั้งบทกลอนและตัวอักษรนับได้ว่ายอดเยี่ยม” ใต้เท้าสิงลูบเคราตนเอง จากนั้นมองผลงานอันยอดเยี่ยมตรงหน้าตนด้วยสายตาชื่นชม “บทกลอนที่ดีเช่นนี้ควรแพร่กระจายออกไปให้เหล่าบัณฑิตได้ศึกษา เพื่อไม่ให้พวกเขาอ่านตำราที่ตลอดหลายปีมานี้ยังเขียนบทกลอนที่ดีเช่นนั้นออกมาไม่ได้”
“ควรเป็นเช่นนั้น” ใต้เท้าที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้า “คุณชายบ้านใต้เท้าโม่เขียนบทกลอนห้าบท เป็นบทกวีที่ดีและตัวอักษรชั้นเลิศเช่นกัน หลังจากเห็นสองสามบทแล้ว พวกเราผู้เฒ่าเหล่านี้คงต้องยอมรับความแก่เฒ่าเสียที! นับแต่นี้ไป ถึงเวลาแสดงความสามารถของคนหนุ่มออกมาแล้ว”
“ขอบคุณใต้เท้า ข้ายังห่างไกลจากคำว่าดีมากนัก ต้องเรียนรู้จากน้องชายลู่และเซี่ยซื่อจื่ออีกมาก” โม่ชิงเหยียนกล่าว
ในขณะที่โม่ชิงเหยียนกล่าวเช่นนั้น เขาก็มองหาลู่จื่ออวิ๋นท่ามกลางกลุ่มคน
“เอ๊ะ นี่คือ… ผลงานอันยอดเยี่ยมของเจียงหว่านเฉินบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมสินะ” ใต้เท้าสิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา “แม้จะเขียนบทกลอนได้เพียงบทเดียว ทว่าไม่ใช่บทกลอน หากแต่การใช้คำล้ำเลิศยิ่ง คำทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับดอกบัว ในนี้กล่าวถึงดอกบัวทั้งหมดสิบห้าครั้ง แนวคิดทางศิลป์ก็สวยงามนัก จากถ้อยคำที่เขาใช้ ข้ารู้สึกราวกับเห็นดอกบัวกลายเป็นเทพธิดากำลังร่ายรำกลางสระน้ำ”
เจียงหว่านเฉินค้อมคำนับ “ขอบคุณใต้เท้า”
“ใต้เท้าเจียงมีบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงแต่มีวรยุทธ์สูงส่ง ทว่ายังมีความสามารถในด้านบทกวีอีกด้วย”
ภายในกลุ่มคน เหล่าบุตรสาวขุนนางต่างมองผู้ที่ถูกขานชื่อด้วยความชื่นชม
บุรุษเหล่านี้แต่ละคนล้วนเก่งกาจ หากได้แต่งกับคนใดคนหนึ่งในพวกเขา พวกนางคงสุขสบายไร้กังวลไปทั้งชีวิต
จงอ๋องหาวออกมาแล้วเอ่ยกับเซวียนอ๋องที่อยู่ข้าง ๆ “วันนี้ยากนักที่จะได้มีงานเลี้ยงกินดื่มสนุกสนาน เหตุใดพวกเขาจึงยังมาประชันบทกลอนกันเล่า? น่าเบื่อเสียจริง”
สายตาของฟ่านเหยี่ยนเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่ลู่จื่ออวิ๋น
นางดูสูงขึ้นเล็กน้อย หน้าตายิ่งงดงามขึ้น แม่นางน้อยผู้นี้หากเติบใหญ่ไป ไม่รู้ว่านางจะงดงามมากเพียงใด
“ไม่ต้องมองแล้ว มองไปก็ไม่ใช่ของเจ้า” จงอ๋องเอ่ยด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “นอกจากนี้ ข้ายังรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของข้าด้วย ภายหน้าเจ้าสามารถเรียกนางว่าหลานสาวคนโตได้”
“อันใดนะ?” ฟ่านเหยี่ยนมองจงอ๋อง “ท่านล้อเล่นอยู่หรือไร?”
“ข้าดูเหมือนผู้ที่ชอบล้อเล่นหรือไร? หรือจะกล่าวว่าข้าคุ้ยเคยกับเจ้ามาก ถึงล้อเล่นได้ง่าย ๆ” ฟ่านหยวนซีหรือจงอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารุ่นราวคราวเดียวกับบิดาของนาง รับนางเป็นบุตรบุญธรรมมีปัญหาอันใดหรือ?”
“ใต้หล้านี้มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับท่านมากมาย เหตุใดท่านไม่รับบุตรสาวของพวกเขาเป็นบุตรบุญธรรมแทนเล่า?” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ยขึ้นมา “หยุดล้อเล่นได้แล้ว”
“เจ้ายังคิดจะวางแผนเรื่องนางจริง ๆ หรือ” จงอ๋องโน้มตัวเข้ามา “เจ้ามีหวางเฟยแล้ว คงไม่ได้คิดว่าจะให้แม่สาวน้อยสกุลลู่เป็นอนุใช่หรือไม่? อย่าได้เอ่ยถึงอนุเลย ต่อให้ยกนางเป็นพระชายา เชื่อหรือไม่ว่าพรุ่งนี้เช้าหัวของเจ้าจะไม่ได้อยู่ที่คอ”
“ข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ย “หวางเฟยผู้นั้นไม่ใช่คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย สักวันหนึ่ง ข้าจะหย่าร้างกับนาง”
จงอ๋องหัวหัวเราะเบา ๆ
หย่าร้าง?
ต่อจากนั้นเล่า?
ช่างเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาเสียจริง
ฉีเซียวลุกขึ้นมา แล้วกล่าวกับลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ข้าไปก่อนล่ะ”
“เหตุใดต้องรีบร้อนเช่นนี้ แม้กระทั่งอาหารยังไม่ร่วมทาน?” ลู่อี้กล่าว “ท่านคงไม่ได้กลัวอาหารสกุลลู่ของพวกเรากระมัง?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” ฉีเซียวกล่าว “หน่วยลับของพวกเรายังมีคดีมากมายที่ต้องจัดการ ไม่อาจล่าช้าได้”
“ได้ เช่นนั้นข้าไม่รั้งท่านไว้แล้ว” ลู่อี้กล่าว
ฉีเซียวพยักหน้าให้ จากนั้นจึงจากไปพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชา
มู่ซืออวี่กำลังเดินมาจากฝั่งตรงข้ามพอดี
เมื่อนางเดินผ่านฉีเซียว กลิ่นที่คุ้นเคยก็ปะทะจมูกนาง
นั่นคือกลิ่นกำยานจากรถม้าของนาง
“นึกไม่ถึงว่า…” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “บุรุษอย่างใต้เท้าฉี ก็ชอบใช้กำยานที่สตรีใช้เช่นกัน”
ลู่อี้เดินเข้ามา “เจ้ามาได้อย่างไร?”
“นั่น…” มู่ซืออวี่ชี้ไปที่กุลสตรีสกุลใหญ่ที่ทำท่าเคลิบเคลิ้มเหล่านั้น “ได้ยินว่าทางฝั่งพวกท่านครึกครื้น พวกนางต่างร่ำร้องต้องการมาที่นี่”
ลู่อี้ไม่ได้มองกุลสตรีสกุลใหญ่เหล่านั้น แต่มองเห็นบุตรสาวแก้วตาดวงใจของตนถูกบุตรหลานสกุลชนชั้นสูงหลายคนรุมล้อม เขากำลังจะก้าวออกไป กลับเห็นเซี่ยเฉิงจิ่นยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว บุตรหลานจากสกุลชนชั้นสูงหลายคนจึงเดินจากไปด้วยความสิ้นหวัง
ทว่ายังดีที่ลู่ฉาวอวี่สาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เขาไม่คิดจะให้บุตรหลานสกุลชนชั้นสูงคนใดเข้าใกล้ลู่จื่ออวิ๋น รวมไปถึงเซี่ยเฉิงจิ่นด้วย
[1] จ้วงหยวน คือผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบจิ้นซื่อ
[2] ปั๋งเหยี่ยน คือผู้ที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับที่ 2 ในการสอบจิ้นซื่อ
[3] ทั่นฮวา คือผู้ที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับที่ 3 ในการสอบจิ้นซื่อ