สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 608 โถงพระไฟไหม้แล้ว
บทที่ 608 โถงพระไฟไหม้แล้ว
บทที่ 608 โถงพระไฟไหม้แล้ว
“ข้าไม่อาจทำงานใหญ่เช่นนี้เพียงผู้เดียวได้ เช่นนั้นต้องรบกวนหยางมามาช่วยแนะนำใต้เท้าจากกรมโยธาธิการให้ข้าหน่อยแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว
“ใต้เท้าจากกรมโยธาธิการทุกท่านกำลังยุ่งกับการสร้างหอชมทัศนียภาพให้ฝ่าบาท เกรงว่าอาจไม่มีเวลาช่วย ทว่ากรมวังย่อมต้องให้ความร่วมมือกับคำร้องขอของฮูหยินอย่างเต็มที่แน่นอน”
หยางมามาพามู่ซืออวี่ไปพบกับผู้รับผิดชอบกรมวัง หลังจากพูดคุยรักษาหน้าตากันเพียงไม่กี่คำ อีกฝ่ายก็ทิ้งนางกำนัลเล็กที่ชื่อว่า ‘เสี่ยวเอ๋อร์’ เอาไว้ ก่อนจะเดินหลบฉากไป
มู่ซืออวี่มองทุกคนจากกรมวัง
คนของกรมวังล้วนเป็นคนงานจิปาถะ เหมือนกับฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ที่ใดต้องการ พวกเขาก็ไปที่นั่น
คนประเภทนี้ใช้สอยง่าย ทว่าพวกเขาไม่ได้เชี่ยวชาญด้านใดเป็นพิเศษ นางต้องใช้สอยคนกลุ่มนี้ปรับปรุงฟื้นฟูโถงพระเล็กให้ไทเฮาซึ่งเดิมทีก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากพอแล้ว
“เสี่ยวเอ๋อร์ เจ้าปรนนิบัติรับใช้ไทเฮาหรือ?” มู่ซืออวี่มองเสี่ยวเอ๋อร์
เสี่ยวเอ๋อร์ตอบ “บ่าวไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างพี่หญิงฟางหลาน ฟางหัว บ่าวเป็นเพียงนางกำนัลขั้นสองเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าคงเข้าใจไทเฮาดีกระมัง?”
“บ่าวรู้เพียงแค่เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“ได้ เช่นนั้นพวกเรามาพูดคุยกันครู่หนึ่งเถอะ!”
ฉานอีและซางจือติดตามมู่ซืออวี่อยู่ข้างหลัง
ท้องของมู่ซืออวี่เริ่มมองเห็นได้ชัดแล้ว แม้กระทั่งเรื่องที่ร้านนางยังไม่ได้เข้าไปดูแล ตอนนี้นางกลับถูกลากเข้ามารับผิดชอบทำโถงพระเล็กของไทเฮา หลังจากพวกนางติดตามเข้ามาในวังหลวง พวกนางก็ตื่นตัวระแวดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา
จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น
มู่ซืออวี่มองไปยังทิศทางที่มาของเสียงด้วยความสงสัย
“ฮูหยิน พวกเรารีบไปเถอะเจ้าค่ะ!” เสี่ยวเอ๋อร์เหลือบมองทางนั้นอย่างเป็นกังวล “ที่นี่เป็นพระตำหนักกานลู่ของฝ่าบาท”
“พระตำหนักกานลู่หรือ?” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง
นางเคยได้ยินสถานที่แห่งนี้มาบ้างระหว่างที่ทำการค้า พระตำหนักกานลู่ที่ว่าเป็นสถานที่ที่ฝ่าบาทมาสำเริงสำราญ ผู้ที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่พระสนมนางกำนัลในวังหลวง แต่เป็นสตรีที่หามาจากข้างนอกเพื่อฝ่าบาท
การปรับปรุงโถงพระเล็กไม่อาจเสร็จสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากมู่ซืออวี่รับทราบสถานการณ์แล้วก็กลับไปก่อน วันต่อมาจึงเข้าวังมาเพื่อเริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการ
ถึงแม้จะกล่าวว่ากรมโยธาธิการไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทว่ากรมพระคลังกลับไม่รีรอที่จะจัดสรรงบประมาณให้ อย่างไรนางก็มีคนของตนอยู่ที่กรมพระคลัง ดังนั้นปัญหาย่อมน้อยลงไป
มู่ซืออวี่อดสงสัยไม่ได้ว่าพระประสงค์ที่แท้จริงของไทเฮาที่ให้นางมารับผิดชอบการปรับปรุงโถงพระ เป็นเพราะเรื่องนี้หรือไม่ อย่างไรเสียเงินจากท้องพระคลังก็ไม่อาจใช้สอยได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ไทเฮาหากต้องการเงินทะนุบำรุงก้อนหนึ่งโดยไร้เหตุผลที่เพียงพอก็เป็นเรื่องยาก บัดนี้เมื่อมีมู่ซืออวี่ออกหน้า เรื่องเงินก็ได้รับการแก้ไขแล้ว
เมื่อลู่อี้ได้ยินว่ามู่ซืออวี่ถูกเรียกตัวไปรับผิดชอบการปรับปรุงโถงพระเล็กของไทเฮา สีหน้าเขาพลันมืดครึ้มไปด้วยความโกรธ
วันต่อมา ขณะมู่ซืออวี่กำลังจะเข้าวังก็เห็นลู่อี้รอนางอยู่ที่ประตูพระราชวัง
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
ลู่อี้อยู่ในชุดเครื่องแบบขุนนาง
ถึงแม้จะเห็นเขาเช่นนี้อยู่เป็นประจำ ทว่าเห็นเขาในชุดขุนนางที่บ้าน กับเห็นเขาในชุดขุนนางที่วังนั้น กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
“ข้าจะไปหาไทเฮากับเจ้า” ลู่อี้เอ่ย “เจ้ากำลังท้อง ไม่อาจทนทำงานหนักเช่นนั้นได้ ให้นางไปจ้างผู้อื่นเถอะ”
“ไม่ต้องไปแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าไม่จำเป็นต้องทำด้วยตนเอง เรียกว่างานหนักไม่ได้ ไทเฮาต้องการโถงพระเล็ก ข้าก็จะทำให้นางพึงพอใจ อย่างมากใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็เสร็จสิ้น”
ลู่อี้มองภรรยาอย่างกังขา
“จริง ๆ นะ ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น โถงพระเล็กไม่เป็นปัญหามากมาย” มู่ซืออวี่เอ่ย “ถือโอกาสนี้ทำเรื่องดี ๆ กับไทเฮา ข้าเองไม่ได้ต้องการรางวัลตอบแทนอันใด เพียงแค่ไม่สร้างปัญหาให้พวกเราก็พอแล้ว”
ลู่อี้ยังคงไม่พอใจ
มู่ซืออวี่กล่าวเสริม “ข้าจะได้เห็นการจัดวางแผนผังของพระราชวังด้วย ที่แห่งนี้ถูกสร้างโดยบรมครูชั้นยอดจากกาลก่อน มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ยิ่งนัก เอาละ ข้าจะไปทำงานก่อน กลับไปแล้วเราค่อยว่ากัน”
ลู่อี้มองนางเข้าประตูพระราชวังไป
“สั่งการสายลับในวังเสียหน่อย ให้คอยปกป้องฮูหยินอย่างลับ ๆ” ลู่อี้เอ่ยกับจือเชียนที่อยู่ข้างหลังเขา
จือเชียนกล่าว “ใต้เท้าวางใจเถิด เมื่อวานพอได้ยินข่าว ข้าน้อยได้ออกคำสั่งไปแล้ว”
ลู่อี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเฉลียวฉลาดจริง ๆ”
จือเชียนยิ้มกว้าง
“บาดแผลดีขึ้นแล้วหรือยัง?” ลู่อี้เอ่ยถามอีกครั้ง
จือเชียนแตะลงบนหน้าอกเบา ๆ “ดีขึ้นมากแล้ว โชคดีที่ใต้เท้ามาได้ทันการ ไม่เช่นนั้นชีวิตน้อย ๆ ของข้าน้อยคงรักษาเอาไว้ไม่ได้”
“ยังตรวจสอบว่าผู้ใดต้องการสังหารเจ้าไม่พบหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม “หรือว่าเป็นศัตรูของข้า?”
“ศัตรูของใต้เท้าจะต้องการสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้อย่างไร?” จือเชียนเอ่ย “ข้าว่าคนเหล่านั้นจะต้องมาเพราะข้าน้อยเป็นแน่ ไม่รู้ว่าผู้ใดเห็นข้าน้อยขวางหูขวางตา ถึงขั้นต้องจัดเตรียมคนมาลอบโจมตีเช่นนี้”
“เช่นนั้นตรวจสอบต่อไป ขอแค่เพียงพวกมันยังคิดจะลงมือกับเจ้า จะต้องตรวจสอบออกมาได้เป็นแน่”
มู่ซืออวี่กลับมาที่โถงข้างของไทเฮา
นางเดินไปรอบ ๆ บริเวณเพื่อหาชุดเครื่องมือ แต่กลับหาสิ่งใดไม่เจอทั้งสิ้น
“เสี่ยวเอ๋อร์ เลื่อยที่ข้าวางไว้ตรงนี้เมื่อวานเล่า?”
“เลื่อย?” เสี่ยวเอ๋อร์มีสีหน้าสับสนงุนงง
“ชิ้นเหล็กที่มีเขี้ยวหยักเยอะ ๆ น่ะ ข้ายังทำด้ามจับไม้อันหนึ่งด้วย” มู่ซืออวี่เอ่ย “เมื่อวานก่อนที่ข้าจะกลับมันยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย”
“บ่าวรู้แล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อร์นึกขึ้นมาได้ “เมื่อวานหลังจากฮูหยินไปแล้ว องค์หญิงเล็กมาที่นี่ มีบ่าวรับใช้กังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อนางจึงเก็บของอันตรายเหล่านั้นไป บ่าวจะไปหาดูเองว่ามันไปอยู่ที่ใดแล้ว”
หลังจากเสี่ยวเอ๋อร์ไป มู่ซืออวี่จึงสั่งเหล่าขันทีของกรมวังให้ทำตามที่นางสั่ง
ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้ฉลาดมากมายนัก แต่เนื่องด้วยอยู่ในวังมานานปีจึงรู้ว่าควรเอาตัวรอดอย่างไร พวกเขาทำตามคำสั่งของมู่ซืออวี่และให้ความร่วมมือแต่โดยดี
ผ่านไปพักหนึ่ง มีคนเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าได้กลิ่นอะไรหรือไม่?”
“ดูเหมือนจะเป็นกลิ่นบางอย่างไหม้…”
ทุกคนหันกลับไปมองทางโถงพระพร้อม ๆ กัน
“สวรรค์! ไฟไหม้โถงพระแล้ว!”
มู่ซืออวี่ก็เห็นแล้วเช่นกัน ขณะที่กำลังจะเข้าไปดับไฟ ฉานอีก็ดึงนางไว้
“ฮูหยินคนดีของข้า ตอนนี้ท่านก็อย่าไปเลยนะเจ้าคะ บ่าวจะไปช่วยเองเจ้าค่ะ!”
ฉานอีและซางจือเรียกเหล่าขันทีมาช่วยกันดับไฟ
เสี่ยวเอ๋อร์กลับมาพร้อมของที่นางหาพบ เมื่อเห็นฉากนั้นเข้าก็ตกใจกลัวจึงเอ่ยขึ้น “แย่แล้ว! พวกเราเจอปัญหาใหญ่แล้ว”
โถงพระคือสถานที่เช่นใด?
นั่นเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีไทเฮาก็กราบไหว้พระพุทธรูป บัดนี้โถงพระที่ยังไม่ทันสร้างกลับถูกไฟเผาเสียแล้ว นั่นหมายความว่ามีคนไม่เคารพพระพุทธองค์ ความผิดครั้งนี้จะถูกตัดสินเช่นไรขึ้นอยู่กับอารมณ์ของไทเฮาแล้ว
ในโถงหลัก ไทเฮามองดูคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“อายเจียมอบภาระหน้าที่หนักหนานี้ให้เจ้า ดีนัก! เงาของโถงพระยังไม่ปรากฏ หลังคากลับวอดวายไปเกือบหมดแล้ว ฮูหยินลู่ หากเจ้าไม่พอใจอายเจีย เพียงแค่กล่าวสักคำก็พอ เจ้าทำให้อายเจียกริ้วเช่นนี้ไม่ใช่วิธีการของคนฉลาดเลยแม้แต่น้อย!”
“พระนางไทเฮาปราดเปรื่องยิ่งนัก” มู่ซืออวี่ถวายคำนับ “โถงพระถูกไฟเผาไม่ใช่ความตั้งใจแรกเริ่มของหม่อมฉัน เดิมทีหม่อมฉันคิดไว้ว่าตำหนักด้านหลังถูกทิ้งร้างมาแรมปีจึงต้องการรื้อมันเสียแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม กลับบังเอิญสร้างความเสียหายใหญ่หลวงเช่นนี้ ไทเฮาโปรดวางพระทัย หม่อมฉันคิดไว้แล้วว่าพระพุทธรูปองค์ใหม่จะต้องเป็นเนื้อทอง อีกทั้งโถงพระจะต้องขยายใหญ่กว่านี้ เช่นนั้นพระพุทธองค์จะต้องยินดีเป็นแน่เจ้าค่ะ”
จนกว่าจะรู้ที่มาที่ไปของเหตุเพลิงไหม้ การโต้เถียงกับไทเฮาว่าตนไม่ได้วางเพลิงไปก็ไร้ประโยชน์ ร้อยพันคำอธิบายก็ไม่อาจสู้ประโยค ‘เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง’ เพียงประโยคเดียวได้