สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 614 เหม่ยเหรินฉินเหลียนเอ๋อร์
บทที่ 614 เหม่ยเหรินฉินเหลียนเอ๋อร์
บทที่ 614 เหม่ยเหรินฉินเหลียนเอ๋อร์
ฮูหยินอู่อันโหวหันกลับไปเอ่ยกับแม่นมข้างกาย “ท่านโหวเล่า?”
“ดูเหมือนจะไปตกปลากับเจิ้นกั๋วกงเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ
“เขาช่างสบายเสียจริง” ฮูหยินอู่อันโหวเอ่ย “หากท่านโหวกลับมาแล้ว กล่าวกับเขาสักคำ ภายหน้าหากมีคนสกุลหานก้าวเข้ามาในจวนอู่อันโหวแม้เพียงก้าวเดียว เขาก็ออกจากจวนไปเสีย”
สีหน้าของหานหว่านเอ๋อร์ซีดเผือด
เมื่อฮูหยินอู่อันโหวกล่าวออกมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางโกรธมากจริง ๆ ไม่มีทางทำให้เรื่องเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่น้อย
ในพระราชวัง มู่ซืออวี่มองสีของท้องฟ้าแล้วจึงกล่าวว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ใต้เท้าทุกท่านรีบกลับไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาจัดการต่อ”
หลังจากบอกลาทุกคนจากกรมวัง มู่ซืออวี่จึงพาสาวใช้ทั้งสองเตรียมตัวกลับ ก่อนที่นางจะได้ออกจากวังก็มีคนมาขวางเข้าเสียก่อน
“นี่ฮูหยินลู่ใช่หรือไม่?” นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ
มู่ซืออวี่ตอบว่าใช่
“ฮูหยิน ท่านช่วยข้าด้วยเถิด” นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยว่า “แม่นางฉินของพวกเราแตะต้องกับดักระหว่างที่กำลังซ้อมเต้นรำวันนี้ ตอนนี้เท้าของนางติดอยู่ ทำอย่างไรก็ขยับออกมาไม่ได้”
“กลไกประเภทใดกัน? ซ้อมเต้นรำจะไปแตะต้องกลไกได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่รู้สึกงุนงงยิ่ง
“ฮูหยิน พวกเราเดินไปคุยไปเถิด! ฮูหยินได้โปรดไปช่วยแม่นางของเราด้วยนะเจ้าคะ”
“นี่… ในวังหลวงมีคนมากมาย ข้าคิดว่าคงมีคนที่เหมาะจะช่วยแม่นางฉินของพวกเจ้ามากกว่า” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องมาหาข้า”
“ทุกคนล้วนทราบว่าฮูหยินเชี่ยวชาญด้านกลไก อีกอย่างไม่ได้มีเพียงฮูหยินผู้เดียว ใต้เท้าจากกรมโยธาธิการที่เก่งกาจด้านกลไกล้วนอยู่ที่นั่น แต่ไม่มีผู้ใดปลดได้”
“เช่นนั้นข้ายิ่งไร้ความสามารถแล้ว”
“ฮูหยิน นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท” นางกำนัลผู้นั้นกล่าวอีกครั้ง “ฮูหยิน เชิญเจ้าค่ะ”
ฉานอีและซางจือมองนางกำนัลผู้นั้นอย่างระแวดระวัง
“พระประสงค์ของฝ่าบาท? ฝ่าบาทจะรู้จักฮูหยินของพวกเราได้อย่างไร?”
“ฮูหยินลู่ชื่อเสียงโด่งดังปานนี้ ฝ่าบาทจะไม่รู้จักได้อย่างไรเล่า? อีกอย่าง นี่ก็เป็นความต้องการของใต้เท้ากรมโยธาธิการทุกท่าน ใต้เท้ากรมโยธาธิการไม่อาจนำเท้าของแม่นางฉินออกมาได้จึงได้เอ่ยถึงฮูหยิน”
“ฮูหยิน…”
“แม้กระทั่งฝ่าบาทยังเอ่ยนามข้าออกมาแล้ว หากไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่น เกรงว่าข้าจะถูกกล่าวหาว่าขัดพระบัญชา”
บรรยากาศทั่วทั้งพระตำหนักเฟยอวี่กดดันอย่างหนัก ใต้เท้าจากกรมโยธาธิการต่างก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าปริปากเอ่ยสิ่งใด
ฮ่องเต้ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าที่มีริ้วรอยของความชราเต็มไปด้วยความกริ้วโกรธ เขาชี้ไปยังเหล่าใต้เท้าแล้วด่าทอ “เลี้ยงพวกเจ้าไว้มีประโยชน์อันใดกัน? กระทั่งกลไกอันหนึ่งก็ปลดออกไม่ได้ หากเท้าของเหม่ยเหรินได้รับความเจ็บปวด ข้าจะประหารพวกเจ้าเก้าชั่วโคตร ให้พวกเจ้าได้ฝังไปพร้อมเท้าเหม่ยเหริน”
มู่ซืออวี่เพิ่งเข้ามาก็ได้ยินเสียงด่าทอด้วยความพิโรธแล้ว
“ฝ่าบาท ฮูหยินลู่มาแล้วเพคะ” นางกำนัลเอ่ยรายงาน
ฝ่าบาทหันกลับมามองทางมู่ซืออวี่
“เจ้าคือฮูหยินผู้นั้นของลู่อี้หรือ?”
“เพคะ”
“เงยหน้าขึ้นมา”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้วน้อย ๆ
ฮ่องเต้ชราผู้นี้มีปัญหาที่ใดหรือไม่ พบครั้งหนึ่งก็ให้เงยหน้าครั้งหนึ่ง ถึงแม้นางจะชอบสบตาคน ทว่านางไม่ต้องการเห็นใบหน้าฝักใฝ่ในกามเกินพอดีนั่นแม้แต่น้อย
“ในเมื่อเจ้ามีความสามารถถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็มาดูกลไกอันนี้เถิด ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเอาเท้าของเหม่ยเหรินออกมา อีกทั้งยังต้องไม่ให้เท้าของนางได้รับความเจ็บปวดแม้แต่น้อย”
มู่ซืออวี่มองไปทางกึ่งกลางเวที
สตรีสวมใส่ชุดกระโปรงบาง ๆ ผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเวที เท้าข้างหนึ่งติดอยู่ในกลไก สีหน้าดูเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนางจึงเหยียบลงไปบนกลไกได้ กลไกนี้สร้างมาเพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับเวที ทำให้คนลอยขึ้นมาจากด้านล่าง คล้ายกับการทำงานของลิฟต์
อย่างไรก็ตาม นางโชคดีไม่น้อยที่โดนหนีบเพียงแค่เท้า ไม่ถูกมันหนีบไปทั้งตัว
“ผู้ใดเป็นคนออกแบบกลไกนี้?”
“ใต้เท้าวังจากกรมโยธาธิการ ทว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว”
“มีเครื่องมือหรือไม่?”
“ตรงนี้มี”
ฉินเหลียนเอ๋อร์เอ่ยเบา ๆ “ฮูหยินลู่ไม่ต้องตื่นตระหนก เหลียนเอ๋อร์เชื่อในตัวท่าน”
ครั้งก่อนมู่ซืออวี่พบฉินเหลียนเอ๋อร์ เมื่อตอนนี้นางมองสตรีตรงหน้านางอีกครั้ง นางพลันสงสัยขึ้นมาว่า ครั้งก่อนนางเข้าใจผิดไป สตรีที่อ่อนโยนเช่นนี้จะคิดร้ายต่อตนเองได้อย่างไร?
อันที่จริงกลไกนี้ปลดได้ไม่ยาก ขอเพียงแค่เข้าใจหลักการของมัน จากนั้นก็ค่อย ๆ รื้อทวนกลับ ทั้งกลไกก็สามารถปลดได้แล้ว ใต้เท้าจากกรมโยธาธิการไม่กล้าแตะต้องมัน เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถทำให้กลับเป็นดังเดิมได้
ไม่นานนัก กลไกนั้นก็ปลดออกได้ เท้าของฉินเหลียนเอ๋อร์ก็ถอนออกมาได้แล้ว
หมอหลวงรออยู่ใกล้ ๆ หลังจากตรวจเท้าของฉินเหลียนเอ๋อร์แล้วจึงถวายรายงานต่อฝ่าบาท “ทูลฝ่าบาท เท้าของฉินเหม่ยเหรินเพียงแค่แพลงเล็กน้อยเท่านั้น พักผ่อนสิบวันถึงครึ่งเดือนก็หายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี! ไม่เสียแรงที่เป็นฮูหยินลู่ผู้โด่งดัง” ฮ่องเต้ชรามองมู่ซืออวี่ด้วยความพึงพอใจอีกครั้ง “เจ้ามีฝีมือจริง ๆ หอคอยชมจันทร์ของข้านั้นมอบให้เจ้าสร้างเป็นอย่างไร?”
“กราบบังคมทูลฝ่าบาท หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว เกรงว่ามีใจแต่ไร้กำลัง ไร้ความสามารถที่จะทำงานนี้เจ้าค่ะ” มู่ซืออวี่กล่าว
สายตาของฮ่องเต้เลื่อนไปจับจ้องที่ท้องของมู่ซืออวี่ แล้วโบกมืออย่างหมดความอดทน “เอาละ ข้าเพียงแค่กล่าวไปเช่นนั้น หอคอยชมจันทร์ของข้ายังคงมอบให้กรมโยธาธิการจัดการ”
“ฝ่าบาท ฮูหยินลู่ช่วยเหลียนเอ๋อร์เอาไว้ ควรพระราชทานรางวัลให้นางหน่อยหรือไม่เพคะ”
“แน่นอน” ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของเหลียนเอ๋อร์ก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมา “เท้าของเหม่ยเหรินล้ำค่าเพียงนี้ นางช่วยเท้าของเจ้าไว้ ย่อมต้องตกรางวัลให้อย่างงาม”
เมื่อออกมาจากพระราชวัง ด้านหลังของมู่ซืออวี่มีขันทีหลายคนติดตามมา ขันทีเหล่านั้นถือรางวัลพระราชทานเอาไว้มากมาย
ลู่อี้รออยู่บนหลังม้าไม่ไกลออกไป
“วันนี้เหตุใดจึงออกมาช้ายิ่งนัก” ลู่อี้ขี่ม้าเข้ามาหา
“คารวะใต้เท้าลู่” ขันทีที่เป็นหัวหน้าอธิบายเรื่องราวทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม
ลู่อี้มองมู่ซืออวี่ จากนั้นจึงให้ขันทีเหล่านั้นถอยกลับไป ใต้เท้าลู่รับของที่ขันทีถือมา แล้วเอ่ยกับสาวใช้ทั้งสอง “พวกเจ้านั่งรถม้ากลับไปก่อน เอาของเหล่านี้กลับไปไว้ในห้องเก็บของด้วย ข้าจะดูแลฮูหยินเอง”
มู่ซืออวี่ดึงมือของลู่อี้แล้วขึ้นไปบนหลังม้า
สองสามีภรรยาขี่ม้าจากมา
“เกิดอะไรขึ้น” ลู่อี้เอ่ยถาม
มู่ซืออวี่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหนึ่งรอบ
“ฉินเหลียนเอ๋อร์ผู้นั้นไม่ได้ทำอันใดเจ้ากระมัง?”
“ไม่ รางวัลพระราชทานเหล่านั้นก็เป็นนางที่ขอมาจากฝ่าบาท”
“เจ้าคิดว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไร?”
“ตอนนี้ยังมองไม่ออก” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่านตรวจสอบนางแล้วหรือ นางมีอันใดผิดปกติหรือไม่?”
“เดิมทีนางเป็นบุตรสาวสกุลขุนนาง เหตุเพราะบิดาทำความผิดร้ายแรง นางและมารดาจึงกลายมาเป็นนางคณิกา มารดาของนางฆ่าตัวตายคืนนั้นจนเหลือแค่เพียงนาง ข้อมูลของนางชัดเจน ไม่พบอันใดผิดปกติ”
“เช่นนั้นเรื่องนี้ลืมไปก่อนเถิด” มู่ซืออวี่พิงอยู่ในอ้อมอกของลู่อี้ มองความครึกครื้นและภาพอันสวยงามของท้องถนนในเมืองหลวง “ท่านดูตรงนั้น ทางนั้น…”
ลู่อี้กอดมู่ซืออวี่เอาไว้แล้วกระโดดลงจากหลังม้า
ลูกไฟลูกหนึ่งลอยมาโดนเข้าที่ม้าตัวนั้น
ม้าตัวนั้นตื่นตกใจขึ้นมาและตะบึงหนีไปด้วยความรวดเร็วทันที
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนมู่ซืออวี่ไม่ทันตั้งตัว
“นี่เกิดอันใดขึ้น?”
“ผู้คุ้มกัน…” สิ้นเสียงของลู่อี้ ผู้คุ้มกันลับหลายคนออกมาจากเงามืด “คุ้มครองฮูหยินกลับไปก่อน…”
ผู้คุ้มกันลับคุ้มครองนางอยู่ตรงกลาง
นางมองนักฆ่าที่ปะปนกับกลุ่มคนซึ่งพุ่งมาโจมตีลู่อี้
“พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า ไปช่วยสามีข้าก่อน” มู่ซืออวี่เอ่ยกับผู้คุ้มกันลับสองคนที่กำลังคุ้มครองนาง
“ฮูหยิน หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ใต้เท้าลู่ย่อมไม่ยอมแน่” ผู้คุ้มกันลับกล่าว “พวกเราต้องฟังคำสั่งใต้เท้า”