สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 615 เย่อิงเกอเข้าเมืองหลวง
บทที่ 615 เย่อิงเกอเข้าเมืองหลวง
บทที่ 615 เย่อิงเกอเข้าเมืองหลวง
ชาวบ้านต่างตกใจกลัวหาที่ซ่อนกันจ้าละหวั่น เหลือไว้เพียงคนสองกลุ่มที่กำลังต่อสู้ฆ่าฟันกันทั่วทั้งถนน
ผ่านไปไม่นานนัก ฉีเซียวและคนของหน่วยลับก็มาถึง
ดวงตาภายใต้หน้ากากนั่นเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวดุจงูพิษจ้องมองเหยื่อ
“ใต้เท้าลู่ ครานี้ท่านไม่แย่งชิงกับข้าแล้วกระมัง?”
ลู่อี้จัดการนักฆ่าคนหนึ่งโดยไม่แม้แต่เหลียวมองมา “ใต้เท้าฉี คนพวกนี้มาที่นี่เพราะข้า หากยามนี้ท่านยังคิดจะฉกชิงประโยชน์จากข้าคงไม่ค่อยดีกระมัง?”
“เช่นนั้นพวกเรามาแข่งกัน ดูซิว่าผู้ใดจะจับเป็นได้มากกว่ากัน”
“ข้าไม่แข่งกับท่านแล้ว” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ “ฮูหยินของข้ายังอยู่ตรงนี้ วันนี้ข้าไม่โต้เถียงกับท่าน หากท่านต้องการนำคนเหล่านี้ไปไต่สวนที่หน่วยลับ เช่นนั้นก็พาไปเถอะ”
ฉีเซียวได้ยินว่ามู่ซืออวี่อยู่ที่นี่จึงหันไปมองในฝูงชน กวาดตาเพียงแวบเดียวก็เห็นตำแหน่งที่มู่ซืออวี่ยืนอยู่
เขายกมือส่งสัญญาณ
ลู่อี้กลับไปอยู่ข้าง ๆ มู่ซืออวี่ “เจ้าตกใจหรือไม่?”
มู่ซืออวี่เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของนาง “ข้าไม่ได้บอบบางเพียงนั้น ข้าแค่เป็นห่วงท่าน”
“พวกเราไปเถอะ” ลู่อี้ดึงมู่ซืออวี่ออกมา
มู่ซืออวี่หันกลับไปมอง เห็นฉีเซียวกำลังหักคอมือสังหารด้วยมือเดียว
บางทีนางอาจคิดมากเกินไปกระมัง!
ฉีเซียวที่โหดเหี้ยมอำมหิตผู้นี้จะเป็นหร่วนฉีที่สง่างามนิ่งสุขุมผู้นั้นได้อย่างไร?
ลู่อี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด บทสนทนาระหว่างทั้งสองคนเกี่ยวข้องกับเรื่องในราชสำนักเหล่านั้น อย่างไรเสียนางก็ไม่เข้าใจ
“ท่านพี่…” มู่เจิ้งหานเดินเข้ามา “วันนี้ท่านแม่ส่งจดหมายมา คนจากร้านค้าฉินจี้มาส่ง”
มู่ซืออวี่รับจดหมายนั้นมาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจึงจะตอบกลับ หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา? ไปต่อยตีกับผู้ใดมาหรือ?”
“ไม่ใช่” มู่เจิ้งหานเอ่ย “ข้ากำลังฝึกวรยุทธ์กับพี่ใหญ่ผู้คุ้มกัน!”
มู่ซืออวี่หัวเราะ “ใช้ได้นี่ เจ้าจะเอาแต่เล่าเรียนทั้งวันอย่างลู่ฉาวอวี่ไม่ได้ อย่างไรเสียที่บ้านมีหนอนหนังสือผู้เดียวก็พอแล้ว”
“ท่านพี่ ท่านรู้จักฉาวอวี่น้อยไป วรยุทธ์ของฉาวอวี่ข้ามผ่านข้าไปแล้ว” มู่เจิ้งหานเอ่ยด้วยท่าทีห่อเหี่ยว “ข้าเป็นน้าของเขา เล่าเรียนก็ไม่สู้เขา วรยุทธ์ยังสู้เขาไม่ได้อีก ล้มเหลวอะไรเยี่ยงนี้”
“ข้าคิดว่าเจ้าชินแล้วเสียอีก เหตุใดเจ้ายังไม่ชินอีก?” มู่ซืออวี่เย้าแหย่เขา “ผู้ใดคลอดฉาวอวี่มา? ข้าคลอดมานะ ข้าฉลาดกว่าเจ้าไม่ใช่เรื่องธรรมดามากหรือ?”
“พี่เขย ท่านคิดว่านางมียางอายบ้างหรือไม่? ฉาวอวี่รู้หนังสือเชี่ยวชาญวรยุทธ์แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับการที่นางมีเงินกัน? หากฉาวอวี่เหมือนกันกับนางก็ควรทำการค้า ไม่ใช่เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊อย่างนี้”
สองพี่น้องทะเลาะเบาะแว้งโต้เถียงกันเป็นปกติ ลู่อี้ไม่เข้าไปยุ่งใน ‘การต่อสู้’ ระหว่างพวกเขา แต่รอให้มู่ซืออวี่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ก่อนจะดึงนางจากไป
กลางดึกคืนนั้น ลู่อี้ก็ถูกเรียกออกไป
มู่ซืออวี่ฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไป นางกอดหมอนข้างเอาไว้แน่น
ขณะที่ต่างฝ่ายต่างกำลังยุ่ง มู่ซืออวี่ก็ใกล้สร้างโถงพระเล็กเสร็จแล้ว
ระหว่างดำเนินการสร้างโถงพระเล็ก ฉินเหลียนเอ๋อร์ยังส่งของมาอีกหลายครั้ง ครั้งแรกเพื่อขอบคุณนาง ครั้งถัด ๆ มาเพื่อผูกมิตร
มู่ซืออวี่ปฏิเสธของจากอีกฝ่าย แต่นางยังยินดีให้ความร่วมมือในการประจบเอาใจของอีกฝ่าย หากมีเวลาว่างก็จะทำของเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้ นับได้ว่าเป็นการรักษาความสัมพันธ์กลมเกลียวผิวเผินเอาไว้
“ฮูหยินลู่” สตรีนางหนึ่งเดินมาจากโรงน้ำชา สตรีนางนั้นจูงมือแม่นางน้อยผู้หนึ่งมาด้วย นางมองมู่ซืออวี่ด้วยสายตายินดี
มู่ซืออวี่นึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ฮูหยินโหยว”
เย่อิงเกอเขย่ามือแม่นางน้อยแล้วเอ่ยว่า “หรงอวี้ ท่านนี้คือฮูหยินลู่ที่แม่เคยเล่าให้เจ้าฟังอย่างไรเล่า รีบเรียกเร็วเข้า”
“ท่านน้าลู่” โหยวหรงอวี้เอ่ยเรียกเบา ๆ
“แม่นางน้อยผู้นี้โตถึงเพียงนี้แล้วหรือ”
“นั่นสิ พวกเราไม่ได้พบกันหลายปีแล้ว” เย่อิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ทว่าฮูหยินลู่ชื่อเสียงโด่งดัง ถึงแม้ท่านจะออกจากเมืองฮู่เป่ยมา แต่คนในเมืองก็ยังรับรู้ข่าวคราวของท่าน หลายปีมานี้สิ่งที่ท่านทำในเมืองหลวงเล่าลือไปถึงเมืองฮู่เป่ย ทุกคนล้วนกล่าวว่าวีรสตรีอย่างฮูหยินลู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ยังคงเปล่งประกายเสมอ”
“เจ้าไม่ต้องกล่าวชมข้าแล้ว ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง จะเป็นวีรสตรีไปได้อย่างไร? ข้าเป็นเพียงผู้ทำการค้า สิ่งที่ทำมีเพียงค้าขาย ไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น”
“ฮูหยินลู่ ตอนนี้ข้าก็ย้ายมาเมืองหลวงแล้ว” เย่อิงเกอเอ่ย “บ้านข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เพิ่งย้ายมา ไม่ได้มีสหายมากมายนัก ท่านจะมาร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ข้าหรือไม่?”
มู่ซืออวี่ลังเลไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “เจ้าให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ตามจริงแล้วไม่ควรปฏิเสธ ทว่าข้าต้องขออภัยจริง ๆ ตอนนี้ข้ากำลังตั้งครรภ์ ทั้งยังมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ ไม่อาจปลีกตัวไปได้”
“ฮูหยินลู่มีอีกคนแล้วหรือ? ช่างดีจริง ๆ” สายตาของเย่อิงเกอเต็มไปด้วยความอิจฉา
“หลายปีมานี้เจ้าไม่พบเจอผู้ใดเลยหรือ?”
เย่อิงเกอสั่นศีรษะเบา ๆ “ข้ามีหรงอวี้ก็พอแล้ว ไม่อยากหาผู้ใดอีก”
“เช่นนี้ก็ไม่เลว”
“ฮูหยินลู่ นายท่านรองลู่เป็นอย่างไรบ้างหรือ?” เย่อิงเกอเอ่ย “เขาช่วยข้า ช่วยหรงอวี้เอาไว้ เป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา หลายปีมานี้ข้าเองก็สวดมนต์ภาวนาให้เขาตลอด เขาดีเพียงนี้คงแต่งภรรยาดี ๆ แล้วกระมัง! ตอนนี้เขาก็เป็นขุนนางแล้ว คงมีกุลสตรีสกุลใหญ่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับเขาไม่น้อยเป็นแน่ บางทีอาจมีลูกอายุหลายปีแล้วกระมัง”
“เช่นนั้นเจ้าก็เดาผิดแล้ว เขากำลังจะแต่งงานจริง ทว่ายังไม่มีลูก ในเมื่อเจ้าย้ายมาเมืองหลวงแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะส่งบัตรเชิญให้เจ้ามาดื่มสุรามงคลด้วยกัน”
“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดียิ่ง” เย่อิงเกอเอ่ย “กล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าก็มาได้ทันเวลาพอดีน่ะ ทว่าไม่รู้ว่ากุลสตรีสกุลใหญ่สกุลใดโชคดีที่ได้มาเป็นภรรยาของนายท่านรอง?”
“ประเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้” มู่ซืออวี่ไม่เอ่ยมากความ “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ได้”
มู่ซืออวี่ขึ้นรถม้าแล้วโบกมือให้เย่อิงเกอ
ใบหน้าของเย่อิงเกอประดับรอยยิ้ม โบกมือตอบกลับการบอกลาของอีกฝ่าย หลังจากรถม้าของมู่ซืออวี่ออกมาไกลแล้ว เย่อิงเกอจึงจูงโหยวหรงอวี้เดินจากไป
“ฮูหยิน” ซางจือเอ่ยถาม “ฮูหยินคนเมื่อครู่นี้เป็นอะไรกับนายท่านรองลู่หรือเจ้าคะ?”
“สหายกระมัง!” หากจะอธิบายความสัมพันธ์นี้ นอกจากสหายแล้วยังจะเป็นอันใดได้? “นึกไม่ถึงว่านางจะเข้าเมืองหลวง หวังว่างานแต่งของนายท่านรองลู่จะเป็นไปอย่างราบรื่น!”
เมื่อครู่ที่นางเอ่ยถึงการแต่งงานของลู่เซวียน นางก็ลอบสังเกตการตอบสนองของเย่อิงเกอไปด้วย จากที่สังเกตแล้ว การตอบสนองของนางค่อนข้างปกติ บางทีนางอาจจะยอมแพ้แล้ว
นั่นสิ ตอนนี้เย่อิงเกอไม่ได้ขาดเงินแล้ว ต้องการบุรุษเช่นไรจะหาไม่ได้เชียวหรือ? ถึงแม้ลู่เซวียนจะนับว่าหน้าตาไม่เลว แต่ในโลกนี้บุรุษหน้าตาไม่เลวก็มีมากมายถมไป
มู่ซืออวี่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว
โถงพระเล็กใกล้เสร็จแล้ว หลังจากนางทำเรื่องต่าง ๆ เสร็จสิ้น นางก็ต้องตระเตรียมงานแต่งงานของลู่เซวียน ผู้ใดให้พี่สะใภ้เป็นเสมือนมารดาเล่า อีกทั้งเรื่องเหล่านี้นางก็มีประสบการณ์มากแล้ว
“ฮูหยิน” นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาหา “ฉินเหม่ยเหรินของพวกเราเชิญท่านไปพูดคุยเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นมา “แม่นางฉินมีเรื่องอันใดหรือ?”
“ฉินเหม่ยเหรินของพวกเรากล่าวว่าเพิ่งได้รับอุปกรณ์แปลกประหลาดมา ดูอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงอยากให้ท่านไปช่วยดูเจ้าค่ะ”