สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 616 ข้าขอปฏิเสธ
บทที่ 616 ข้าขอปฏิเสธ
บทที่ 616 ข้าขอปฏิเสธ
สวนชิงเหลียน
เสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นมา จากนั้นกล่องจึงเปิดออก
มู่ซืออวี่เอ่ยกับฉินเหลียนเอ๋อร์ “ได้แล้ว”
“ฝีมือท่านช่างวิเศษจริง ๆ ท่านคงไม่ได้รับพลังวิเศษมาจากเซียนกระมัง? เหตุใดจึงเก่งกาจเพียงนี้?” ฉินเหลียนเอ๋อร์ยิ้มบาง ๆ ทั้งยังกล่าวว่า “ลำบากแล้ว เด็ก ๆ นำน้ำชาและขนมเข้ามา”
“ไม่ต้องหรอก” มู่ซืออวี่มวยผมบนศีรษะกลับขึ้นไปดังเดิมแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องออกจากวังหลวง ไม่รบกวนแม่นางฉินแล้ว”
“ข้าเชิญท่านมาช่วยข้า แม้กระทั่งชาจอกเดียวยังไม่ได้ดื่ม หากถูกผู้อื่นรู้เข้าจะไม่กล่าวว่าข้ารังแกท่านหรือ!”
“ไม่ต้องจริง ๆ ข้ากำลังตั้งครรภ์ จำต้องหลีกเลี่ยงไม่ดื่มน้ำชามากเกินไป” มู่ซืออวี่เอ่ย “กล่องก็เปิดแล้ว แม่นางฉินดูเอาเถิด”
นางกำนัลส่งกล่องใบนั้นให้ฉินเหลียนเอ๋อร์
ฉินเหลียนเอ๋อร์มองของข้างในกล่องแล้วเอ่ย “นี่เป็นของที่ญาติส่งมาให้ข้า ท่านพ่อท่านแม่ข้าจากไปนานแล้ว ครอบครัวข้าเหลือข้าเพียงผู้เดียว นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนนึกถึงข้า ฮูหยินลู่ ข้าอยากร้องขอท่านสักอย่าง บัดนี้ข้าปรนนิบัติฝ่าบาท ได้รับพระราชทานรางวัลมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้าอยากเลือกของสักชิ้นสองชิ้นส่งไปให้ญาติข้า เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ข้าอยากช่วยเขา”
“สิ่งของในวังหลวง แม้จะเป็นรางวัลพระราชทานจากฝ่าบาทก็ไม่อาจนำออกนอกวัง คำร้องขอของแม่นางฉิน เกรงว่าข้าจะช่วยไม่ได้”
“ฮูหยินลู่ มันเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่ของล้ำค่าอันใด ข้าเพียงแค่อยากช่วยญาติผู้นั้น เช่นนี้ก็ไม่ได้หรือ? แต่ไหนแต่ไรมาท่านใจดีมีเมตตา เหตุใดจึงใจแข็งปฏิเสธข้าเล่า?”
“แม่นางฉินมีคนสนิทมากมายเพียงนี้ คิดจะส่งสิ่งของออกไปไม่ใช่เรื่องยาก” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อนแล้ว”
หลังจากมู่ซืออวี่ออกไปแล้ว นางกำนัลของฉินเหลียนเอ๋อร์จึงเอ่ยขึ้น “นายหญิง ฮูหยินลู่ผู้นี้ไม่ไว้หน้าท่านเลยนะเจ้าคะ ระยะนี้ท่านพยายามผูกมิตรกับนางมาก นางกลับไม่ไว้หน้าท่านแม้แต่น้อยเลยจริง ๆ”
“นางทำเช่นนี้ อันที่จริงก็พอเข้าใจได้” ฉินเหลียนเอ๋อร์ถอนหายใจ “ฝูหรง ทำได้เพียงรบกวนเจ้าช่วยข้าแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่แรก ฮูหยินลู่เข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง ทหารรักษาประตูวังไม่กล้าค้นตัวนาง หากนางนำออกไปให้ย่อมไม่มีอันตราย ทว่านางไม่เต็มใจช่วย ข้าเป็นห่วงญาติผู้นั้นจริง ๆ ดังนั้น…”
“นายหญิง ท่านวางใจ ฝูหรงจะต้องทำงานนี้ได้สำเร็จแน่นอน”
มู่ซืออวี่เพิ่งออกมาจากพระตำหนักกานลู่ก็เห็นขันทีหลายคนแบกร่างโชกเลือดของสตรีผู้หนึ่งผ่านประตูไป
สตรีผู้นั้นมองมาทางมู่ซืออวี่ น้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาของนาง สายตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ช้าก่อน…” มู่ซืออวี่เรียกขันทีสองสามคนนั้นไว้
ขันทีเหล่านั้นรู้จักมู่ซืออวี่
“ฮูหยินลู่”
“คนผู้นี้ทำอันใดผิดหรือ?”
“คนผู้นี้ล่วงเกินฝ่าบาทจึงถูกสั่งโบยยี่สิบไม้” ขันทีผู้เอ่ย “ฮูหยินอย่าได้มาข้องเกี่ยวกับคนผู้นี้เลย ระวังตัวท่านเองจะเกิดปัญหา”
“ผู้ที่ล่วงเกินฝ่าบาท แน่นอนว่าข้าย่อมไม่สนใจ” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแต่ข้าคิดว่าคนผู้นี้คงไม่มีโอกาสรอดแล้ว แบกนางทั้งเลือดอาบไปมาช่างน่าหวาดกลัว ไม่สู้โยนนางไว้ที่สุสานหมู่จะดีกว่า เช่นนี้ก็จะลดเรื่องราวไปได้ไม่น้อย”
“ฮูหยินกล่าวได้ถูกต้อง”
ฉานอีเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินคิดจะช่วยเหลือนางกำนัลผู้นี้หรือเจ้าคะ?”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าเคยพบนาง ตอนนั้นนางยังเปล่งประกายทีเดียว เป็นนางกำนัลข้างกายฮองเฮา ตอนนั้นมีนางกำนัลเล็กถูกขันทีผู้หนึ่งล่วงเกิน นางเดินผ่านไปจึงช่วยเอาไว้ ต่อมาข้าได้ยินนางกำนัลในวังหลวงเอ่ยถึงนางคนแล้วคนเล่า ถึงแม้นางจะเป็นนางกำนัลอาวุโสข้างกายฮองเฮา ทว่านางไม่เคยรังแกนางกำนัลเล็กและขันทีเลย ในทางกลับกันนางช่วยพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง คนเช่นนี้ควรค่าแก่การช่วยเหลือ”
“บ่าวเข้าใจแล้ว”
“ฉานอี ไม่ใช่ว่าข้าจะช่วยทุกคนที่เคยพบเห็น ต่อคนที่ควรค่าแก่การช่วยเหลือ ข้าไม่อาจเห็นคนเหล่านั้นตายไปเฉย ๆ ได้ คนดีควรได้รับรางวัลตอบแทน”
หลายวันต่อมา นางกำนัลที่ชื่อจิ่นจู๋ผู้นั้นมากล่าวขอบคุณมู่ซืออวี่ด้วยตนเอง ยืมเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินจากนาง รับปากว่าจะคืนนางภายในห้าปี จากนั้นจึงออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับกองคาราวาน
โถงพระเล็กเสร็จสิ้นแล้ว
ในที่สุดมู่ซืออวี่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวังหลวงอีกต่อไป
ในวันส่งมอบงานให้ไทเฮานั้น ไทเฮามองโถงพระเล็กที่วิจิตรตระการตาอย่างตกตะลึง จากนั้นจึงหันไปมองมู่ซืออวี่ “เจ้าพอมีความสามารถอยู่จริง ๆ”
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ตรัสชม เช่นนั้นของที่ไทเฮารับปาก…”
“ในเมื่ออายเจียรับปากแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่คืนคำ ของที่เจ้าต้องการจะไปส่งที่จวนเจ้าในเร็ววัน”
ไม่เคยมีสตรีใดอาจหาญต่อรองกับไทเฮามาก่อน ผู้ที่เคยเป็นศัตรูล้วนพ่ายแพ้ให้นางไปนานแล้ว หลายปีมานี้ ไทเฮาเดินแผ่บารมีอยู่ในวังหลวง ไม่มีผู้ใดกล้าพูดคุยต่อรองกับนางเช่นนี้เป็นแรมปี
มู่ซืออวี่ช่างมีความสามารถจริง ๆ
งานแต่งระหว่างสกุลลู่และสกุลซูใกล้เข้ามาแล้ว
เมื่อกล่องสินสอดกล่องแล้วกล่องเล่าถูกส่งไปยังสกุลซู ทั่วทั้งเมืองหลวงเป็นต้องตื่นตะลึง
“สกุลลู่มั่งคั่งร่ำรวย ดูจากเครื่องเรือนเหล่านั้น ล้วนทำโดย ‘เถ้าแก่เนี้ยมู่’ สะใภ้ใหญ่ของสกุลลู่ทั้งสิ้น เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนมีคุณภาพดีที่สุด
น้อยนักที่มู่ซืออวี่จะทำสิ่งของด้วยตนเอง
เครื่องเรือนชุดนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงนึกฝันได้ เครื่องเรือนที่เถ้าแก่เนี้ยมู่ทำด้วยตนเอง ไม่ใช่สิ่งที่แค่ร่ำรวยแล้วจะมีได้ นั่นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่คน ๆ นั้นมีกับนาง
นอกจากเครื่องเรือนแล้ว ยังมีเครื่องประดับเงินเครื่องประดับทองอีกมากมาย ไม่แปลกใจที่เหตุใดระยะนี้ ร้านทองใหญ่ ๆ แต่ละร้านไม่ได้ผลิตสินค้าชั้นเลิศออกมา ที่แท้สินค้าชั้นเลิศเหล่านั้นถูกคนจับจองแล้ว
ฮูหยินรองซูในฐานะคนสกุลซู เมื่อบ้านใหญ่สกุลซูจะแต่งลูกสาวออกไป ในฐานะญาติสายตรงย่อมต้องมาปรากฏตัว
เมื่อนางเห็นสินสอดเหล่านั้น ฮูหยินรองซูหลันพลันหน้าตาบูดบึ้งทันที
ไม่ต้องเอ่ยถึงสกุลซู เกรงว่าแม้แต่ขุนนางขั้นหนึ่งแต่งภรรยาก็คงจะไม่สามารถมอบของดี ๆ มากมายเพียงนี้ออกมาได้ บางทีอาจไม่ใช่เพราะพวกเขานำออกมาไม่ได้ หากแต่ไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนี้
“พี่ใหญ่ หลิ่วเอ๋อร์โชคดีจริง ๆ นะ!” นายท่านรองซูเอ่ยกับซูเซิ่ง
ซูเซิ่งหัวเราะฮ่า ๆ แล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ลูกสาวของข้าโชคดีมาแต่ไหนแต่ไร!”
“พี่ใหญ่ช่างทำให้ขันจริงเชียว นายท่านรองลู่ยินดีแต่งหลิ่วเอ๋อร์ไป ไม่ใช่เพราะบิดาที่ดีเช่นท่านหรือ นายท่านรองลู่เป็นขุนนางบุ๋น หากเกี่ยวดองกับขุนนางบู๊ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างใหญ่หลวง” ฮูหยินรองซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ทว่าขออภัยที่ข้าต้องเอ่ยตามตรง นายท่านรองลู่ดูแล้วผอมบางเช่นนี้ ร่างกายเขาไม่มีปัญหาจริง ๆ หรือ? หลิ่วเอ๋อร์แต่งให้ปัญญาชนปวกเปียกเช่นนี้ ภายหน้าหากไม่ได้รับความเป็นธรรมจะทำอย่างไร?”
“ฮูหยินรองซูหมายความว่าอย่างไร?” มู่ซืออวี่เดินผ่านประตูสกุลซูเข้ามา
พ่อบ้านสกุลซูเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “นายท่าน ใต้เท้าลู่ ฮูหยินใหญ่ลู่ นายท่านรองลู่มาแล้วขอรับ”
เดิมทีซูเซิ่งคิดจะตำหนิฮูหยินรองซู กลับนึกไม่ถึงว่าถ้อยคำหยาบคายของนางจะได้ยินไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว นั่นทำให้เขารู้สึกเกลียดฮูหยินรองซูยิ่งกว่าเดิม
“รีบนั่งเถิด” ซูเซิ่งเอ่ย “น้องสะใภ้เสียมารยาท เป็นความผิดของสกุลซูแล้ว”
“เป็นความผิดของข้า ข้าอบรมได้ไม่ดีเอง” นายท่านรองซูกล่าวขออภัย “ใต้เท้าลู่ทั้งสองท่าน ฮูหยินใหญ่ลู่ ข้าจะพาสตรีผู้นี้ไปประเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ทำให้ทุกท่านเสียบรรยากาศ”
นายท่านรองซูดึงตัวฮูหยินรองซูจากไปแล้ว
ฮูหยินรองซูบ่นกระปอดกระแปด “ข้าพูดไม่ผิด…”
ตุบ! ฮูหยินรองซูล้มลงกับพื้น
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่น เลือดจำนวนมากไหลลงมาจากปากนาง เมื่อนางถูกพยุงขึ้นมาก็พบว่าฟันหน้านางร่วงไปซี่หนึ่ง
ลู่อี้เหลือบมองมู่ซืออวี่ผู้ที่กำลังทำหน้าซื่อตาใส
เมื่อครู่ขณะที่ฮูหยินรองซูเดินผ่าน ฮูหยินลู่ยื่นขาออกไปข้างหนึ่ง เป็นเหตุให้ฮูหยินรองซูหน้าคว่ำลงกับพื้นและเสียฟันหน้าซี่หนึ่งไป