สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 62 พี่ชายของข้าหล่อเหลาหรือไม่
บทที่ 62 พี่ชายของข้าหล่อเหลาหรือไม่?
บทที่ 62 พี่ชายของข้าหล่อเหลาหรือไม่?
“พี่ชายของข้าหล่อเหลาหรือไม่?”
เสียงของลู่เซวียนดังขึ้น
มู่ซืออวี่จึงรับรู้ทันทีว่านางเผลอจ้องมองลู่อี้อยู่เป็นเวลานาน
นางถอนสายตาพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้ารีบไปแล้วรีบกลับมาเถิด”
“อืม” ลู่อี้ตอบ
ลู่เซวียนจ้องมองคนทั้งสองพลางเม้มริมฝีปากแน่น
หญิงผู้นี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทัศนคติของนางที่มีต่อพี่ชายก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน หากพี่ชายเขารักนาง เขาก็จะไม่สนใจสิ่งอื่น
ในวันที่สอง ทุกคนในตระกูลลู่ต่างเดินทางเข้าไปในเมืองหลวงด้วยกัน
ลู่อี้พาลู่เซวียนเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง เนื่องจากระยะทางไม่ไกลมากนัก พวกเขาจึงเดินเท้าไปสักระยะหนึ่ง
เมื่อมาถึงเมืองหลวง ลู่อี้และลู่เซวียนก็นั่งพักเหนื่อย
ทางด้านมู่ซืออวี่เองก็มาถึงตลาดเช่นกัน นางนำผ้าขี้ริ้วขึ้นมาปูบนพื้นแล้ววางหมูตุ๋นที่เตรียมไว้
อาหารของนางมีหน้าตาแปลกประหลาด แต่กลิ่นหอมอันเย้ายวนใจทำให้ผู้คนมากมายรวมตัวกันโดยรอบ
“เจ้าขายอย่างไรหรือ?”
เมื่อมู่ซืออวี่เห็นลูกค้ารายแรกเอ่ยถาม นางจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ชามละ 10 อีแปะจ้ะ”
ชามใบนั้นมีขนาดเท่ากับชามเล็กในยุคปัจจุบันที่ขายในราคา 2 ตำลึง
“แพงยิ่งนัก”
ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นนั่งอยู่หน้าแผงขาย ใบหน้าน่าเอ็นดูที่คล้ายคลึงกันของทั้งสองดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปมา คนเหล่านั้นมักจะหยุดเดินเพื่อกลั่นแกล้งเด็กทั้งสองอยู่เสมอ
“เจ้าเด็กน้อย เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ตะโกนขายของเล่า? ตะโกนให้ฝูงชนได้ยินไม่เป็นหรือ?”
“เด็กหญิงผู้นี้ช่างน่าเอ็นดู แล้วนี่คือผู้ใดกัน? นางเป็นคนในครอบครัวของพวกเจ้าหรือไม่?”
มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาเป็นลูกของข้า ข้าไม่ได้นำพวกเขามาเพื่อกลั่นแกล้งหรือเรียกร้องความสงสาร”
ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตาพลางกล่าวอย่างอ่อนน้อม “ท่านน้าผู้งดงาม นี่คือแม่ของข้าเอง เนื้อตุ๋นที่แม่ข้าปรุงอร่อยยิ่งนัก ท่านลองซื้อไปชิมดูก่อนเถิด ข้ารับรองได้ว่าท่านจะต้องอยากกินอีกเป็นแน่”
“สาวน้อยผู้นี้วาจาน่าเอ็นดูจริงเชียว! นางเป็นแม่ของเจ้าจริงหรือ? เหตุใดถึงดูไม่เหมือนเลยสักนิด?”
รอยยิ้มบนใบหน้ามู่ซืออวี่แทบแข็งค้าง
ลู่ฉาวอวี่หยิบชามหมูตุ๋นขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ข้าให้ท่านน้าชิมหนึ่งชิ้น หากไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ…”
พูดเช่นนี้ ตอนจากไปจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด
พวกเขาไม่ใช่ละครสัตว์ หากไม่ซื้อของก็ไม่สมควรมากลั่นแกล้งพวกเขา
มู่ซืออวี่ตบหน้าผากด้วยความเหลืออด นางสมเพชตนเองที่ไม่อาจคิดได้เท่าเด็กวัยนี้ แม้แต่เด็กยังรู้จักวิธีซื้อใจลูกค้าด้วยการให้ชิม แต่นางกลับเพียงนั่งรอคอยลูกค้าดุจคนโง่
“ใช่แล้ว ลองชิมดูก่อนเถิด ถ้าอร่อยก็ซื้อ แต่หากไปแล้วก็จงจากไปโดยไร้กังวล ของมีไม่มาก ผู้ใดมาก่อนก็ได้ชิมก่อน ข้าจะพาเด็ก ๆ กลับทันทีหลังจากขายหมด”
“รสชาติ…”
“นี่มัน… รสเลิศยิ่งนัก!”
“เนื้อนี้อร่อยยิ่ง”
“แต่ราคาช่างแพงยิ่งนัก เงิน 10 อีแปะสามารถซื้อเนื้อได้จริง แต่นี่ได้เพียงไม่กี่ชิ้นไม่ใช่หรือ?
“อร่อยมาก แต่ราคาแพงจริง ๆ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนรู้สึกประทับใจต่ออาหารของนาง มู่ซืออวี่จึงเอ่ยขึ้น “ข้าใช้เครื่องเทศมากมายในการตุ๋นเนื้อนี้ ราคาเครื่องเทศเหล่านั้นอาจมากกว่าราคาของเนื้อสัตว์ด้วยซ้ำ หากพวกท่านไม่เชื่อก็จงกลับไปทำเองที่บ้านเถิด แต่ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีวันได้ลิ้มรสชาติเช่นนี้แน่ เนื่องจากข้าเปิดขายวันนี้เป็นวันแรก ข้าจะมอบส่วนลดให้เหลือเพียง 8 อีแปะ… แต่คราวหน้าข้าจะคิดในราคา 10 อีแปะเท่าเดิม”
“ข้าขอซื้อหนึ่งชาม” ชายร่างกำยำผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “ข้าจะนำไปปรุงเพิ่ม”
“เอาไปเถิด” มู่ซืออวี่ยิ้มอย่างเริงร่า “ฉาวอวี่ รับเอาเงิน”
“ขอบคุณท่านลุงยิ่งนัก” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวอย่างไพเราะ “ท่านลุงเป็นคนใจกว้าง ในอนาคตจะต้องร่ำรวยเป็นแน่”
“โอ้ เด็กหญิงผู้นี้มีวาทศิลป์จริง ๆ พี่สาว ข้าขออีกสองชามแล้วกัน ให้ลูกสาวของเจ้าอวยพรข้าอีกสักสองสามคำหน่อยซิ” ชายร่างกำยำกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
มู่ซืออวี่ “…”
พี่สาวอะไรกัน?
เคยนับริ้วรอยบนใบหน้าของตัวเองบ้างหรือยัง?
ช่างเถิด เพื่อหาเงินแล้ว นับประสาอะไรกับการถูกเรียกว่าพี่สาว ต่อให้ถูกเรียกว่าป้า นางก็ต้องจำใจยอม
“ข้าขอหนึ่งชาม”
“หนูน้อย ข้าหมายจะได้คำอวยพรจากเจ้าอีกสักสองสามคำ”
“ข้าขอหนึ่งชาม…”
ลู่จื่ออวิ๋นใช้วาทศิลป์อันอ่อนหวานของนางหว่านล้อมร้องเรียกลุง ป้า พี่ชาย พี่สาว คำพูดช่างน่าฟังเมื่อออกมาจากปากของนาง
ทว่าเมื่อมองไปยังลู่ฉาวอวี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก็พบว่าแทบจะไม่มีผู้ใดพูดจากับเขา
มู่ซืออวี่อดไม่ได้ที่จะสงสัย
แท้จริงแล้วคนเหล่านี้ซื้อหมูตุ๋นเพราะฝีมือการปรุงอาหารของนางอร่อยเลิศ หรือเพราะความน่ารักของลูกทั้งสองกันแน่?
หมูตุ๋นจำนวนยี่สิบชามถูกขายจนหมดเกลี้ยง เมื่อเห็นผู้คนมากมายที่เข้าแถวรอซื้อพากันจากไป นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่
เดิมทีเมื่อครั้งที่ยังไม่มีลูกค้า นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นลูกค้ามากมายที่รอคอยต้องจากไปมือเปล่า นางก็รู้สึกเหมือนพวกเขาพลาดรางวัลใหญ่
“ขอบคุณเจ้าทั้งสองที่ช่วยขายของอย่างดี วันนี้ขายหมดแล้ว หากมีโอกาสครั้งหน้าเราจะตั้งแผงขายที่นี่อีก”
“กลับกันเถิด”
มู่ซืออวี่เก็บข้าวของพลางกล่าวกับลูกทั้งสอง “เถ้าแก่น้อย พวกเจ้าทำงานหนักจริง ๆ”
นางมอบเงินให้ลูกคนละ 10 อีแปะ
“เงินนี้มากเกินไป ข้าไม่ต้องการ” ลู่จื่ออวิ๋นโบกมือ “ข้าเต็มใจช่วยท่านแม่ แค่นี้ข้าก็มีความสุขแล้ว”
“ข้าเองก็ไม่ต้องการ” ลู่ฉาวอวี่กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าเพียงต้องการไปจากที่นี่”
ผู้คนจำนวนมากเดินทางมายังตลาดเพราะความน่าเอ็นดูของเด็กน้อยทั้งสอง แม้ของจะขายหมดแล้ว แต่คนก็ยังมาเพื่อพบพวกเขา
“เช่นนั้นไปจากที่นี่กันเถิด”
หลังจากเก็บข้าวของทั้งหมดจนเสร็จสิ้น นางก็เดินทางออกจากตลาดพร้อมกับเด็กน้อยทั้งสอง
ใบหน้าของลู่ฉาวอวี่ที่เคยบูดบึ้งดูดีขึ้นอย่างมากเมื่อไร้ผู้คนพลุกพล่าน
ลู่จื่ออวิ๋นหันมองโดยรอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบกายดูแปลกใหม่ นี่เป็นครั้งที่สองที่นางเดินทางมายังเมืองหลวงนับตั้งแต่เติบโต ส่วนครั้งสุดท้ายคือเมื่อครั้งอายุสามขวบ และนั่นก็ผ่านมากว่าสองปีแล้ว
“พวกเจ้าเหนื่อยหรือไม่? มีร้านขายเต้าหู้อยู่ข้างหน้า ข้าจะพาไปหาอะไรกินก่อนจะเดินทางไปยังหอหลิงอวิ๋น” มู่ซืออวี่ถาม
“ไม่กิน” ลู่ฉาวอวี่ขมวดคิ้ว
“ท่านพี่หมายความว่าอาหารข้างนอกทั้งแพงและไม่อร่อยเท่ากับอาหารของท่านแม่ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินโดยสิ้นเปลือง เราไม่เหนื่อยและไม่ต้องการกินสิ่งใด เราเต็มใจติดตามท่านแม่ไปทุกที่ด้วยความยินดี” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
มู่ซืออวี่แตะแก้มของลู่จื่ออวิ๋น “เหตุใดอวิ๋นเอ๋อร์ของข้าถึงได้น่ารักน่าชังเช่นนี้กันนะ เจ้าไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเทพธิดาตัวน้อยที่พระโพธิสัตว์ส่งมาเกิดชัด ๆ”
แก้มของลู่จื่ออวิ๋นแดงระเรื่อ “ท่านแม่ คนมองอยู่นะเจ้าคะ!”
“กะล่อนนัก” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองด้วยความรังเกียจ
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เป็นเทพธิดาตัวน้อย เจ้าเองก็เป็นเทพบุตรตัวน้อยเช่นเดียวกัน พวกเจ้าน่ายกย่องทั้งคู่ อย่าอิจฉาที่ข้าเยินยออวิ๋นเอ๋อร์เลย” มู่ซืออวี่จงใจใช้วาจาแกล้งเขา
การแสดงออกของเด็กน้อยช่างน่าเอ็นดู เมื่อรู้สึกโกรธ เขาก็ยิ่งดูเหมือนแมวขนฟู ยิ่งทำให้ผู้ที่กลั่นแกล้งรู้สึกสนุกมากกว่าเดิม
“ผู้ใดอิจฉากัน? ไร้ยางอาย!” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองด้วยความโกรธ
“เอาล่ะ คงเป็นข้าเองที่อิจฉา หากพวกเจ้าไม่เหนื่อยก็จงเดินทางไปยังหอหลิงอวิ๋นกันเถิด”
หอหลิงอวิ๋นอยู่ไม่ไกลและใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นาน
เมื่อมู่ซืออวี่นำเด็กทั้งสองเข้ามา ชิวซวงก็จำนางได้และกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินมู่”
“แม่นางชิวซวง” มู่ซืออวี่ทักทายกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาเพื่อดูสถานการณ์ เมื่อวานข้าขายของได้สองกล่อง แล้ววันนี้ขายได้บ้างหรือไม่?”
ชิวซวงส่ายศีรษะ “แม้หลายคนจะสอบถาม แต่พวกเขาก็ไม่ได้ซื้อ อาจเป็นเพราะพวกเขายังรู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่ฮูหยินมู่อย่าเป็นกังวล ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากหอหลิงอวิ๋นของเราปิดทำการหลายวัน”
มู่ซืออวี่รู้ว่าชิวซวงกำลังปลอบโยนนาง การดำเนินกิจการของหอหลิงอวิ๋นดำเนินไปได้ด้วยดีมาโดยตลอด มีลูกค้ามากมายทุกวัน จะปิดทำการไปสองสามวันได้อย่างไร? แต่เมื่อนึกถึงน้ำใจของอีกฝ่าย นางจึงไม่คิดที่จะแย้ง
“เช่นนั้นเราไปกันเถิด”
มู่ซืออวี่เพียงมาสำรวจเท่านั้น และเมื่อรู้สถานการณ์แล้วก็จากไป
“ท่านต้องใช้เวลานานในการเดินทางกลับหมู่บ้าน เด็กทั้งสองคงต้องหิวโหยมากแน่ ข้าจะนำของว่างให้ไปทานระหว่างทางนะ”
หลังจากชิวซวงกล่าวจบ นางก็หยิบขนมที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณแม่นางชิวซวง”
มู่ซืออวี่ไม่ปฏิเสธ พวกนางมีไมตรีที่ดีต่อกันเสมอ ดังนั้นแทนที่จะปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่าย นางจึงส่งหมูตุ๋นที่เหลืออยู่ให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ