สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 626 ชายผู้นั้นมอบให้
บทที่ 626 ชายผู้นั้นมอบให้
บทที่ 626 ชายผู้นั้นมอบให้
“ข้ากำลังหาขนจิ้งจอกแดง”
ลู่จื่ออวิ๋นเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ของตนให้ฟัง
เจียงหว่านเฉินได้ยินดังนี้จึงกล่าวว่า “จิ้งจอกแดงหายาก แต่ข้ารู้จักท่านอาคนหนึ่งที่ชอบสะสมขนสัตว์ล้ำค่า บางทีเขาอาจมีขนจิ้งจอกแดงที่เจ้าต้องการ”
“เช่นนั้นเขาจะขายให้ข้าได้หรือไม่” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
“ท่านอาผู้นั้นไม่ขาดแคลนเงินทอง เพียงแต่หลงใหลขนสัตว์เท่านั้น เกรงว่า…”
“เช่นนั้น มีวิธีใดทำให้ท่านอาผู้นั้นตัดใจยอมมอบให้ข้าหรือไม่?”
“นอกจากขนสัตว์ เขายังชื่นชอบสุราเป็นพิเศษ หากสามารถเอาสุราที่เขาไม่เคยดื่มมาได้ บางทีอาจพอมีโอกาส”
“สุราหรือ…” ลู่จื่ออวิ๋นนึกขึ้นได้ว่ามารดาของนางยังมีสุราสองไหที่หมักเองอยู่ที่บ้าน ฝีมือของมารดาไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง นอกจากนี้ วิธีที่มารดานางหมักสุราก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บิดามักจะใช้สุราที่นางหมักเอาชนะใจคน นางเชื่อมั่นในฝีมือของมารดาเป็นอย่างยิ่ง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปที่บ้านสักเที่ยว รอข้านำสุรามาแล้ว คุณชายเจียงช่วยแนะนำเขาหน่อยได้หรือไม่?”
“แน่นอน เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า!”
เจียงหว่านเฉินตามลู่จื่ออวิ๋นไปยังสกุลลู่
เขาไปนำสุราสองไหจากสกุลลู่ แล้วนั่งรถม้าต่อไปยังสกุลเฟิงแห่งกรมพระคลัง
ลู่จื่ออวิ๋นมองป้าย ‘จวนเฟิง’ ป้ายนั้น ในสมองพลันปรากฏร่างของเฟิงหว่านเอ๋อร์ขึ้นมา
“บ้านของเฟิงหว่านเอ๋อร์หรือ?”
“ใช่ เจ้ารู้จักคุณหนูสกุลเฟิงหรือ?”
“ยิ่งกว่ารู้จัก”
คุณหนูสกุลเฟิงผู้นั้นไม่ชอบนาง ทั้งยังสร้างปัญหาให้นางหลายต่อหลายครั้ง
ทว่านางมาพบใต้เท้าเฟิง ไม่แน่ว่าจะได้พบบุตรสาวเขาหรือไม่
“เจ้ามาทำอะไรที่บ้านข้า?” เฟิงหว่านเอ๋อร์กำลังเล่นเตะลูกขนไก่อยู่กับสาวใช้ที่ลานบ้าน เมื่อนางเห็นลู่จื่ออวิ๋นจึงรีบสาวเท้าเข้ามา
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะร้องขอใต้เท้าเฟิง”
“มาหาท่านพ่อของข้าหรือ? เจ้ามีเรื่องอะไร?” เฟิงหว่านเอ๋อร์มองลู่จื่ออวิ๋นด้วยสายตาจับผิด
เจียงหว่านเฉินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นคนพาแม่นางลู่มาที่นี่ หากคุณหนูเฟิงไม่ต้อนรับพวกเราก็ส่งคนมาไล่พวกเราออกไปได้”
ไม่ว่าเฟิงหว่านเอ๋อร์จะเอาแต่ใจเพียงใด นางก็ไม่กล้าไล่บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมออกไป
นางเบ้ปากแล้วหมุนกายจากไป
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับเจียงหว่านเฉิน “ขอบคุณท่าน ถึงแม้ข้าจะไม่กลัวนางแต่ข้าก็ไม่อยากเสียเวลาจัดการ”
“ข้าพาเจ้ามาที่นี่ หากนางหยาบคายต่อเจ้า นั่นถือว่าเป็นการตบหน้าข้า แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องเจ้า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า”
“ผู้ที่ช่วยท่านไม่ใช่ข้า เป็นท่านแม่…”
“พวกเจ้าล้วนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า” เจียงหว่านเฉินเอ่ย “ฉะนั้นหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้า ไม่ต้องเกรงใจ เพียงแค่ออกปากสักคำก็พอ”
ใต้เท้าเฟิงกำลังปรึกษาหารืองานอยู่ในห้องตำรา เมื่อได้ยินว่าคุณชายเจียงมา เขาสงสัยในการมาเยือนของอีกฝ่ายอยู่บ้าง อย่างไรเสีย ระยะนี้กรมพระคลังก็ไม่ได้กระทบกระทั่งอะไรกับกรมกลาโหม ถึงแม้จะมี ก็ไม่ถึงคราวเจียงหว่านเฉินที่ต้องออกหน้า
“ข้าจะเข้าไปห้องด้านใน ท่านไปพบแขกก่อนเถอะ!” เซี่ยเฉิงจิ่นลุกขึ้นยืน
“ได้”
บ่าวรับใช้เดินนำเจียงหว่านเฉินและลู่จื่ออวิ๋นเข้ามาในห้องตำรา
เมื่อใต้เท้าเฟิงได้ยินจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ของทั้งสอง ก็พลันรู้สึกลังเลเล็กน้อย
ลู่จื่ออวิ๋นเปิดผนึกสุราออกทันใด กลิ่นหอมของสุราฟุ้งออกมา
“สุราดี!” ใต้เท้าเฟิงเอ่ยถาม “สุรานี้มาจากที่ใดหรือ?”
“นี่เป็นสุราที่ท่านแม่ข้าหมักเอง จนกระทั่งถึงบัดนี้ มีเพียงท่านอาไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ลิ้มลองสุราที่ท่านแม่ข้าหมัก ท่านพ่อหวงแหนมันมาก แม้นจะมีแขกพิเศษมาเยี่ยมเยือนเขายังไม่ยอมนำมันออกมา”
“เช่นนั้นขนจิ้งจอกแดงนั่น…”
“ท่านพ่อ ขนจิ้งจอกแดงนั้นไม่ใช่ว่าจะมอบให้ข้าทำเสื้อผ้าหรือ?” เฟิงหว่านเอ๋อร์เปิดประตูเดินเข้ามา
“หว่านเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร?” ใต้เท้าเฟิงเอ่ยถาม
“ข้าได้ยินจากข้างนอกว่าท่านจะมอบขนจิ้งจอกแดงนั้นให้ผู้อื่น ข้าจึงมาขอคำอธิบาย ขนจิ้งจอกแดงนั่นข้าอยากได้มานานแล้ว หากท่านไม่ให้ข้าไปทำเสื้อผ้า แต่วันนี้กลับมอบให้คนนอกไป ข้าจะไปฟ้องท่านแม่ หากท่านแม่รู้เข้าจะต้องโกรธมากแน่”
“นี่…” ใต้เท้าเฟิงลำบากใจขึ้นมา
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นเฟิงหว่านเอ๋อร์ยั่วยุเช่นนี้ก็เอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง “เช่นนั้นก็ช่างเถิด คุณชายเจียง พวกเราก็อย่ารบกวนใต้เท้าเฟิงอีกเลย”
“เจ้าเด็กคนนี้ค่อนข้างเอาแต่ใจ ทั้งยังถูกข้าตามใจจนเสียมารยาทแล้ว” ใต้เท้าเฟิงเอ่ย “คราหน้าหากมีขนจิ้งจอกแดงอีก ข้าจะต้องมอบมันให้แม่นางลู่อย่างแน่นอน”
“ขอบคุณใต้เท้าเฟิง” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มบาง ๆ ให้เขา “เช่นนั้นพวกเราต้องขอตัวก่อน”
ใต้เท้าเฟิงมองสาวใช้ของลู่จื่ออวิ๋นหยิบสุราสองไหนั้นกลับไป
ในตอนนี้เอง สายตาของเขาแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
แม่นางน้อยสกุลลู่ผู้นี้ช่างสายตาคับแคบยิ่งนัก ของที่นำมาส่งถึงหน้าประตูแล้วยังนำกลับไป ในเวลาเช่นนี้หากเฉลียวฉลาดแม้เพียงนิดย่อมไม่นำสุรากลับไป แต่ต้องใช้เป็นของประจบประแจง
เฟิงหว่านเอ๋อร์ส่งเสียงหึอย่างเยือกเย็น แลบลิ้นไปทางลู่จื่ออวิ๋น
หลังจากลู่จื่ออวิ๋นออกไปแล้ว เซี่ยเฉิงจิ่นก็เดินออกมาจากห้อง
สีหน้าของเฟิงหว่านเอ๋อร์แข็งค้างในบัดดล
“ใต้เท้าเฟิง” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยนิ่ง ๆ “กล่าวไปแล้วก็บังเอิญยิ่งนัก ซื่อจื่อผู้นี้ก็สนใจขนจิ้งจอกแดงเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน”
“หา…” ใต้เท้าเฟิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ซื่อจื่อก็ชมชอบเช่นกันหรือ? เช่นนั้นข้าจะให้บ่าวรับใช้นำมาให้ซื่อจื่อประเดี๋ยวนี้”
“เช่นนี้ไม่ดีกระมัง? บุตรสาวท่านยังต้องการเก็บมันไว้ทำเสื้อผ้านะ”
“นางเป็นเพียงแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ตู้ของนางเต็มไปด้วยเสื้อผ้าใหม่ ทำเพิ่มน้อยลงไปเพียงชุดเดียวก็ไม่เสียหายอะไร ซื่อจื่ออย่าได้สนใจนาง นางเพียงแค่ถูกมารดาตามใจมากเกินไปเท่านั้น”
เซี่ยเฉิงจิ่นมองเฟิงหว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาเยือกเย็น “เช่นนั้นใต้เท้าเฟิงต้องสั่งสอนนางเสียหน่อยแล้ว ไม่เช่นนั้นหากไปทำเรื่องไร้หัวคิดเช่นนี้ข้างนอก ไม่รู้ว่าวันใดจะไปเจอปัญหาเข้า”
“ซื่อจื่อสั่งสอนได้ถูกต้อง!”
“ท่านพ่อ…” เฟิงหว่านเอ๋อร์โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “ท่านรับปากว่าจะให้ข้า…”
ใต้เท้าเฟิงจ้องนางด้วยสายตาเฉียบขาด “เงียบปาก! เจ้าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่แล้วหรือไร?”
หลังจากเซี่ยเฉิงจิ่นกลับไป เฟิงหว่านเอ๋อร์ก็โกรธจนร้องไห้โฮออกมา นางต่อว่าใต้เท้าเฟิงอย่างโมโห “ท่านพ่อ เหตุใดท่านต้องมอบสิ่งของให้เขา? เขาก็แค่ซื่อจื่ออู่อันโหวเท่านั้น!”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร เขาไม่ใช่เพียงซื่อจื่อธรรมดา ๆ” ใต้เท้าเฟิงเอ่ย “หากล่วงเกินเขา แม้กระทั่งตายอย่างไรยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เสื้อผ้าเพียงชุดเดียวนี้เจ้าขาดแคลนหรือ? เพื่อเสื้อผ้าชุดนี้ แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ไม่ต้องการแล้วหรือ?”
เฟิงหว่านเอ๋อร์เงียบปากทันที
นางไม่รู้ว่าเซี่ยเฉิงจิ่นมีอะไรน่าเกรงกลัว ทว่าหากท่านพ่อกล้าเอ่ยถ้อยคำที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ออกมา เกรงว่าเซี่ยเฉิงจิ่นผู้นี้จะเป็นปีศาจที่ไม่อาจล่วงเกินได้จริง ๆ
หลังจากลู่จื่ออวิ๋นและเจียงหว่านเฉินออกจากจวนเฟิงแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นจึงเสนอให้แยกทางกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้ไปทางเดียวกัน เมื่อครู่นี้เป็นนางที่ดึงเจียงหว่านเฉินเข้ามาช่วย ตอนนี้หากทำให้อีกฝ่ายเสียเวลาอีกคงไม่ดีนัก
ขณะที่เจียงหว่านเฉินกำลังจะกล่าวบางอย่าง รถม้าคันหนึ่งก็หยุดลงตรงหน้าพวกเขา
คนในรถม้าไม่ได้ออกมา
ทว่าคนขับรถม้าส่งห่อผ้าห่อหนึ่งให้ลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นแปลกใจ นางเปิดดูและพบว่าของข้างในเป็นขนจิ้งจอกแดง
นางมองไปทางรถม้าคันนั้นด้วยความประหลาดใจ ทว่ารถนั่นกลับเคลื่อนออกไปแล้ว คนในรถม้าเปิดม่านออกแล้วมองมาทางนาง ลู่จื่ออวิ๋นเห็นแล้วว่าผู้ใดอยู่ข้างใน
เซี่ยเฉิงจิ่น
เขารู้ได้อย่างไรว่านางต้องการของสิ่งนี้?
เมื่อครู่นี้เขาอยู่ข้างในหรือ?
“ขนจิ้งจอกแดงหรือ?” เจียงหว่านเฉินเห็นกลุ่มขนสีแดงจึงพอคาดเดาได้
“ใช่” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ขอบคุณคุณชายเจียง ตอนนี้ปัญหาของข้าแก้ไขได้แล้ว”