สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 63 การพบกันของมู่ซืออวี่และนายน้อยอัน
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 63 การพบกันของมู่ซืออวี่และนายน้อยอัน
บทที่ 63 การพบกันของมู่ซืออวี่และนายน้อยอัน
บทที่ 63 การพบกันของมู่ซืออวี่และนายน้อยอัน
มู่ซืออวี่เดินออกจากร้านเสื้อผ้าพร้อมกับลูก ๆ ทั้งสอง
เด็กทั้งสองสวมเสื้อผ้างดงามดุจมังกรและนกเฟิ่งหวง ดูราวกับเด็กน้อยที่หลุดออกมาจากภาพวาด แม้เทพบุตรน้อยจะมีสีหน้าเย็นชาและเข้าถึงได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง
“เรากลับ…”
ฟึ่บ!
บุคคลผู้หนึ่งวิ่งปราดผ่านหน้ามู่ซืออวี่ไป
มู่ซืออวี่ถูกกระแทกจนเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ลู่ฉาวอวี่ที่อยู่ด้านข้างพยุงนางไว้ทันที
“ท่านแม่ เป็นอะไรหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองอย่างห่วงใย
“กระเป๋าเงิน กระเป๋าเงินของข้า…”
กระเป๋าเงินที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางพลันหายไป
หลังจากซื้อเสื้อผ้าไปสองชุด ในกระเป๋านั้นยังมีเงินสดเหลืออยู่ 110 อีแปะ ล้วนเป็นเหรียญทองแดงที่มีน้ำหนักทั้งสิ้น นางจึงรับรู้ได้ทันทีที่กระเป๋าหายไป
“ต้องเป็นคนผู้นั้นแน่!” ลู่ฉาวอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าจะไปตามตัวเขา”
“เจ้าและอวิ๋นเอ๋อร์รอข้าที่นี่” มู่ซืออวี่กัดฟัน “อย่าไปไหน ข้าจะกลับมารับพวกเจ้าในอีกไม่ช้า”
สองพี่น้องเฝ้าดูมู่ซืออวี่จากไป
“ท่านพี่…” ลู่จื่ออวิ๋นจับมือลู่ฉาวอวี่ไว้ “ข้ากลัว…”
“อย่ากลัวเลย” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองไปด้านข้าง “เราจะไปรอท่านแม่ที่นั่น”
พวกเขายังเด็กเกินกว่าที่จะช่วยเหลือ หากไล่ตามผู้เป็นแม่ไป สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการสร้างภาระให้นางเท่านั้น
มู่ซืออวี่จ้องมองร่างเบื้องหน้าแล้ววิ่งไล่ตามอย่างสุดกำลัง แม้น้ำหนักตัวของนางจะลดลงไปบ้างแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงอ้วนท้วมเกินกว่าจะวิ่งได้ทัน
“หัวขโมย!”
นางตะโกนลั่น
“คนผู้นั้นคือหัวขโมย ผู้ใดช่วยข้าหยุดเขา ข้าจะขอบคุณมาก!”
“หัวขโมย!”
อันอี้หางเดินออกมาจากหัวมุม และได้เห็นคนผู้นั้นวิ่งมาด้วยความตื่นตระหนกพอดี
ตุบ!
หัวขโมยวิ่งเข้าชนเขา ทั้งสองล้มลงบนพื้นพร้อมกัน
“หัวขโมย! มีหัวขโมย!”
เสียงของหญิงผู้หนึ่งดังลั่น
ชายร่างผอมที่อยู่ใต้ร่างอันอี้หางพยายามดิ้นรนอย่างตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงตะโกนนั้น ทว่าอันอี้หางกลับยิ่งกดทับเขาไว้แน่น ไม่ว่าจะดิ้นรนมากเพียงใดก็ไม่อาจลุกขึ้นได้
คนผู้นั้นผลักอันอี้หางสุดแรง
“โปรดจับเขาไว้ ข้าขอบคุณมาก…” มู่ซืออวี่ตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นว่าหัวขโมยถูกอีกฝ่ายจับกุมไว้
นางตะโกนด้วยความตื่นตระหนกจนแทบหมดลมหายใจ
อันอี้หางได้รับบาดเจ็บที่หลังเพราะการล้มเมื่อครู่ อีกทั้งยังถูกชายร่างผอมล้มทับ แต่หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของมู่ซืออวี่ เขาก็ลุกขึ้นทับร่างของชายผู้นั้นพลางรัดไว้แน่น
“ข้าจับเจ้าได้แล้ว!” มู่ซืออวี่หมดเรี่ยวแรง นางใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อจับชายร่างผอมผู้นั้นไว้
เดิมทีชายผู้นี้มีรูปร่างผอมสูง เมื่อถูกร่างของอันอี้หางกดทับ เขาก็รู้สึกหายใจไม่ออก ยิ่งเมื่อถูกมู่ซืออวี่จับไว้แน่น เขาก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก
“ปล่อย…” ชายร่างผอมพร้อมพยายามดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด “ปล่อยข้า!”
“เจ้าหัวขโมย ไร้ยางอายสิ้นดี!” มู่ซืออวี่ชกหน้าชายร่างผอม “กล้าดีอย่างไรมาปล้นข้า! ไร้ยางอายสิ้นดี!”
อันอี้หางปล่อยมือ พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้น ก่อนจะถอยหลังไปราว ๆ สองสามก้าว จากนั้นก็เฝ้าดูชายร่างผอมถูกมู่ซืออวี่ทุบตีเพียงฝ่ายเดียว
เขาสัมผัสแก้มของตนราวกับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด อดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจชายร่างผอม
มู่ซืออวี่เหน็ดเหนื่อยจากการชกอีกฝ่าย และเริ่มตกใจเมื่อเห็นว่าชายร่างผอมไม่มีการเคลื่อนไหว
นางตรวจสอบที่จมูกของอีกฝ่ายเพื่อให้แน่ใจว่าเขายังคงหายใจ เมื่อรับรู้แล้วก็รู้สึกโล่งอก
นางสัมผัสทั่วร่างกายชายร่างผอม
กระเป๋าเงินเล่า?
กระเป๋าเงินนั้นถูกเย็บจากผ้าขี้ริ้วด้วยฝีมือนางเอง ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะน่ารังเกียจ แต่ก็แข็งแรงทนทานเป็นอย่างยิ่ง
อันอี้หางเฝ้าดูหญิงผู้หนึ่งค้ำร่างของชายอีกคน แม้จะรู้ดีถึงเหตุผลที่นางกระทำเช่นนี้ แต่เขาก็ยังไม่อาจทนดูได้
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้…
เหตุใดหญิงผู้นี้จึงดูแข็งแกร่งดุจชายหนุ่ม?
“มีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่?” อันอี้หางเอ่ยถามเพราะไม่อาจทนได้อีกต่อไป “ให้ข้าช่วยค้นหรือไม่?”
การแตะเนื้อต้องตัวระหว่างชายหญิงยังเป็นเรื่องต้องห้าม แม้ชายร่างผอมจะเป็นโจร แต่ก็ถือเป็นเรื่องอนาจารเกินไปที่สตรีจะทำเช่นนี้
มู่ซืออวี่หันหน้ามองอันอี้หาง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มรูปงาม
นางถอนมือออกพลางยิ้มให้อันอี้หาง ‘อย่างอ่อนโยน’ “เช่นนั้นข้าต้องรบกวนเจ้าด้วย”
อันอี้หางตัวสั่นทันที
เขาได้เห็นกับตาของตนเองว่านางสามารถเอาชนะชายหนุ่มได้ แม้นางจะเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ความโกรธที่นางแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ทำให้รอยยิ้มดูน่ากลัวดุจคนคลั่ง
“นี่ใช่หรือไม่?” อันอี้หางนำกระเป๋าออกมาพลางยื่นให้มู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ชำเลืองมองก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่ใช่”
อันอี้หางจึงค้นหาต่อไป
หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็ควักกระเป๋าขึ้นมาสามใบพลางเอ่ยถาม “มีของเจ้าบ้างหรือไม่?”
“นี่เป็นของข้า” นางหยิบกระเป๋าเศษผ้าที่น่ารังเกียจที่สุดขึ้นมา “ขอบคุณเจ้ามาก หากไม่ใช่เพราะเจ้า วันนี้ข้าคงต้องสูญเสียไปมากแน่”
นางหวนนึกถึงความยากจนของครอบครัว นางต้องทำงานหนักเพียงใดเพื่อหาเงิน แต่กลับถูกใครบางคนขโมยไปอย่างง่ายดาย ความโกรธที่เพิ่งระงับไว้ได้ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
“ไร้ยางอายสิ้นดี! เหตุใดจึงไม่รู้จักเดินตามครรลองที่ถูกต้อง แต่กลับเลือกที่จะเดินไปยังเส้นทางอันคดเคี้ยว” มู่ซืออวี่เตะชายร่างผอมอย่างสุดแรง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ใช่เหยื่อรายแรก” อันอี้หางกล่าว “เขายังฉวยเอากระเป๋าเงินของผู้อื่นมาอีกตั้งสามใบ! คนเช่นนี้ควรส่งเข้าตะราง”
“ใช่ สมควรถูกส่งเข้าตะราง” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “จริงสิ นายน้อย ข้าไม่รู้ว่าควรเรียกเจ้าเช่นไร?”
“ข้าแซ่อัน”
“นายน้อยอัน ข้าแซ่มู่” มู่ซืออวี่นึกถึงลูกทั้งสองขึ้นมาได้ “ลูกของข้ายังคงรอข้าอยู่ นายน้อยอัน ขอบใจเจ้ามากสำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ สิ่งนี้มอบให้แทนคำขอบคุณจากใจของข้า”
อันอี้หางรู้สึกประหลาดใจทันทีที่ได้เห็นเงิน 20 อีแปะในมือของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไร หญิงผู้นี้ก็ไม่ใช่ผู้มีฐานะ เขาไม่คาดหวังว่าจะได้รับเงินมาจากอีกฝ่ายเช่นนี้
มู่ซืออวี่หันมองไปรอบ ๆ พลางครุ่นคิดบางสิ่ง
นางวางแผนจะกลับไปหาลูกทั้งสองก่อน แล้วพาพวกเขาไปแจ้งความกับทางการ ชายร่างผอมผู้นั้นหมดสติไปแล้ว แน่นอนว่าจะยังไม่ฟื้นในเร็ว ๆ นี้ หากดำเนินการตามนี้ก็ยังทันเวลา
นางหยิบเถาวัลย์ที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมามัดมือของหัวขโมย จากนั้นจึงนำเศษใบไม้ยัดใส่ปากเขาเพื่อไม่ให้ส่งเสียงโวยวายเมื่อตื่นขึ้น
จากนั้นนางก็ลากหัวขโมยไปที่ตรอกด้านข้าง บริเวณแห่งนั้นบังเอิญมีกองขยะ นางจึงทิ้งเขาไว้หลังกองขยะเหล่านั้น
“สมบูรณ์แบบ” มู่ซืออวี่ปรบมือ “นายน้อยอัน ข้าจะไปแจ้งเรื่องราวทั้งหมดกับทางการ ขอรบกวนเจ้าเฝ้าดูเขาไว้จนกว่าจะฟื้น แต่หากเจ้ามีธุระก็จากไปได้ทุกเมื่อนะ”
ไม่ว่าจะเป็นในยุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องการพัวพันกับ ‘คดีความ’ โดยเฉพาะผู้มีความรู้ที่ดูสง่างามเช่นนี้
อันอี้หางพยักหน้าอย่างแผ่วเบา “อือ ข้าต้องขอตัวก่อน”
ทั้งสองแยกจากกัน หนึ่งคนไปทางซ้าย และอีกคนไปทางขวา
มู่ซืออวี่รีบกลับไปยังสถานที่ที่นางแยกจากเด็กทั้งสอง เมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงยืนรออยู่ตรงนั้น นางก็พลันโล่งใจ
ผู้คนราวสองสามคนล้อมรอบพวกเขาและพูดคุยกันเป็นครั้งคราว ลู่ฉาวอวี่ยังคงดูเฉยเมย เขาปกป้องลู่จื่ออวิ๋นที่ยังคงหวาดกลัวอยู่ด้านหลัง ราวกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่คอยปกป้องเจ้านายอย่างภักดี
“ฉาวอวี่! อวิ๋นเอ๋อร์!” มู่ซืออวี่ตะโกนเรียกพวกเขา เมื่อเห็นเด็กทั้งสองจ้องมองมาจึงโบกมือ “ไปกันเถิด กลับบ้าน”
“นั่นแม่ของพวกเจ้าหรือ? เหตุใดพวกเจ้าจึงดูไม่คล้ายคลึงกับนางแม้แต่น้อย?” บุคคลที่อยู่ข้างพวกเขาเอ่ยถาม
มู่ซืออวี่กล่าวอย่างแผ่วเบา “พวกเขาเหมือนพ่อน่ะสิ”
ลู่ฉาวอวี่จับมือเล็ก ๆ ของลู่จื่ออวิ๋นแล้วเดินไปหาผู้เป็นแม่
นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและมีรอยปะ ผมเผ้ายุ่งเหยิงจากการตามไล่ล่าโจร เสื้อผ้าที่เคยขาดอยู่แล้วขาดวิ่นเพิ่มขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นผง นี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผู้คนต่างไม่คาดคิดว่านางคือมารดาผู้ให้กำเนิดเด็กน้อยที่น่ารักทั้งสอง