สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 632 ข้าพึงใจเจ้าแล้ว
บทที่ 632 ข้าพึงใจเจ้าแล้ว
บทที่ 632 ข้าพึงใจเจ้าแล้ว
บรรยากาศช่วงปีใหม่ช่างแปลกยิ่งนัก ทุกครอบครัวที่ปกติมักจะจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองปีใหม่ปิดประตูมิดชิด หลบเลี่ยงสายตาอย่างสงบเงียบ
ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างออกไปตั้งแต่เช้าตรู่และกลับมาตอนมืดค่ำ สีหน้าของทุกคนล้วนเคร่งเครียดเป็นกังวล แม้กระทั่งคณะละครตามท้องถนนยังรู้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยถูกต้องนัก เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
หลายวันต่อมา สถานการณ์บริเวณชายแดนเกิดการเปลี่ยนแปลง กองกำลังทหารที่มีจงอ๋องเป็นผู้นำรุดหน้าไปที่นั่นเพื่อรับศึกจากอาณาจักรเฟิ่งหลิน
ณ สกุลซู ซูจือหลิ่วมองเซี่ยวซื่อเตรียมสัมภาระให้ซูเซิ่งและเอ่ยว่า “ในราชสำนักไม่ขาดแม่ทัพหนุ่ม ท่านพ่ออายุมากแล้ว ทั้งยังมีโรคติดตัว เหตุใดยังต้องติดตามไปด้วย?”
“เจ้ายังไม่รู้นิสัยของพ่อเจ้าอีกหรือ? เขาเป็นแม่ทัพ สำหรับเขาแล้ว เขามองตนเองเป็นดาบที่แหลมคม หากคมดาบที่แหลมคมไม่ฆ่าฟันศัตรู ทว่าอยู่บ้านอย่างขลาดกลัวความตาย เช่นนั้นก็เป็นเพียงเศษโลหะเท่านั้น เขามีจิตใจทะเยอทะยานที่จะรับใช้ชาติ จะยอมเป็นคนไร้ประโยชน์ที่โลภอยากรักษาชีวิตได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น… ข้าได้ยินจากพ่อเจ้า มีแม่ทัพมากมายในราชสำนักที่พยายามหาข้ออ้างหลีกเลี่ยง น้อยคนนักที่จะรับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ได้”
“เกรงว่าเพราะผู้นำทัพเป็นจงอ๋องกระมัง!”
“เป็นเพราะเหตุผลนี้เช่นกัน”
ซูเซิ่งเพิ่งกลับมาจากด้านนอก เมื่อเห็นซูจือหลิ่ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกสาวกลับมาแล้ว”
“ท่านพ่อ…” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ข้านำยามาให้ ล้วนเป็นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ส่งมา ท่านนำติดตัวไปด้วยเถิด”
“ใต้เท้าลู่และฮูหยินใหญ่ลู่สุภาพเกินไปแล้ว” ซูเซิ่งเอ่ย “ข้าฟังคำลูกหญิง ข้าจะนำทุกสิ่งติดตัวไป ไม่เหลือสิ่งใดไว้ หลิ่วเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ เพียงแค่กลับมาดูแม่เจ้าบ่อย ๆ ก็ใช้ได้แล้ว ยังมีญาติผู้พี่กับพี่เขยของเจ้าด้วย ข้าคิดว่าพี่เขยของเจ้าคงอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ญาติผู้พี่ของเจ้าตัวคนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง ถึงตอนนั้นเจ้าก็ช่วยท่านแม่เจ้าจัดหาที่ทางให้นางเถอะ”
“เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้จะรบกวนลูกสาวได้อย่างไร?” เซี่ยวซื่อเอ่ย “ข้าจะจัดการผู้เยาว์คนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ?”
“ข้าไม่อยู่ เจ้ามีเรื่องอะไรก็ปรึกษาหารือกับหลิ่วเอ๋อร์เสียหน่อย” ซูเซิ่งเอ่ย “หากเจ้าอยู่เพียงลำพังแล้วเกิดเบื่อขึ้นมาก็ไปหาลูกสาว ลูกเขยย่อมไม่ถือสาอะไร”
“ข้ารู้ ท่านน่ะดูแลตนเองให้ดีเถิด” เซี่ยวซื่อกำชับ “บาดแผลเก่าก่อน ขนาดผ่านมาสองสามปีแล้วยังเจ็บขึ้นมาบ่อยครั้ง บัดนี้ต้องเข้าสนามรบอีกแล้ว อากาศหนาวเช่นนี้ ในใจข้ากังวลยิ่งนัก”
ทันทีที่ลู่จื่ออวิ๋นออกมาจากหอซือเป่า นางพบว่ามีคนตามมา
ติงเซียงเอ่ย “บ่าวจะไปดูเจ้าค่ะ”
ไม่นานนักติงเซียงก็กลับมา
“คุณหนู เป็นเซี่ยซื่อจื่อ”
“เขา?” ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปมองในตรอกเล็ก ๆ นั้น
เซี่ยเฉิงจิ่นไม่ได้ถูกกักบริเวณอยู่หรือ?
“เขาเชิญคุณหนูไปพูดคุยเจ้าค่ะ”
“ได้”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินไปในตรอกนั้น
ตรงนั้นมีรถม้าอยู่หนึ่งคัน เซี่ยเฉิงจิ่นอยู่ในรถม้าคันนั้น
“ขึ้นมาพูดคุย” เสียงของเซี่ยเฉิงจิ่นดังมาจากข้างใน
ลู่จื่ออวิ๋นขึ้นไปบนรถม้า
ติงเซียงเฝ้าอยู่ด้านนอก
นอกจากติงเซียงแล้ว เซี่ยเฉิงจิ่นยังนำคนอีกสามคนมา หนึ่งในนั้นเป็นคนขับรถม้า อีกสองคนเป็นผู้ติดตาม
“ท่านถูกกักบริเวณอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“หากข้าคิดจะออกมา ผู้ใดจะขวางข้าได้?” เซี่ยเฉิงจิ่นยังคงมีท่าทีเย่อหยิ่งเช่นเคย
“เช่นนั้นท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
เซี่ยเฉิงจิ่นดึงป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากเอวของเขา “เก็บสิ่งนี้ไว้”
“ข้าไม่เอา” นี่หมายความว่าอย่างไร? เขาเพียงแค่นำป้ายหยกชิ้นหนึ่งมาให้นางหรือ
“ศึกชายแดนครั้งนี้ ข้าก็ต้องไปเช่นกัน” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ป้ายหยกชิ้นนี้ไม่ได้มีราคาอะไรนัก ให้เจ้าไว้เป็นของต่างหน้า หากข้าโชคไม่ดีตายอยู่ในสนามรบ…”
“พอ ไม่ต้องเอ่ยแล้ว!” ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้วเอ่ยขัดคำเขาขึ้นมา “เหตุใดท่านพูดถึงสิ่งอัปมงคลเช่นนี้? แล้วเหตุใดท่านต้องไปด้วยเล่า?”
“ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของข้า รั้งอยู่ในเมืองหลวงไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องถูกกักบริเวณทั้งวัน ที่ใดก็ไปไม่ได้ ไม่สู้เสนอตัวไปสร้างคุณงามความดี”
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ?”
“ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรเล่า? ท่านพ่อท่านแม่ข้ายังรั้งอยู่ที่นี่” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “เพียงแต่… หากวันใดวันหนึ่งเกิดเรื่องกับจวนอู่อันโหว เจ้าอย่าได้บอกผู้อื่นว่าวันนี้เจ้าได้พบข้า เจ้าจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนตามไปด้วย”
“ท่านซื่อจื่อ ท่านโปรดระวังตัว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เพียงแต่จี้หยกนี้…”
“แม่นางน้อย เจ้าต้องการให้ข้ากล่าวออกมาให้ชัดเจนจริง ๆ หรือ?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอนตัวพิงพนักด้วยท่าทีเกียจคร้าน เขามองนางด้วยรอยยิ้ม “ข้าพึงใจเจ้า ป้ายหยกนี่เป็นของแทนใจจากข้า”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
นางกระเถิบออกไปข้าง ๆ ทีละนิด
มือข้างหนึ่งเอื้อมออกมาคว้านางเอาไว้
“จะหนีไปที่ใด? เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว”
“ท่านซื่อจื่อ อย่าได้พูดจาล้อเล่นเลย” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้ายังเล็กนะ!”
“ใช่น่ะสิ ฉะนั้นข้าจึงทำได้เพียงมอบของแทนใจให้ ไม่ได้มอบของหมั้น” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “นอกจากนี้ ที่บ้านข้ายังมีปัญหาเล็กน้อย ไปสู่ขอยามนี้ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม อย่างมากสุดอีกห้าปี ข้าจะกลับมาหาเจ้า เจ้าต้องซื่อสัตย์กับข้าล่ะ อย่าได้ไปแต่งกับผู้อื่นเสียก่อน”
“งานแต่งล้วนเป็นไปตามคำสั่งของพ่อแม่และการชักนำของแม่สื่อ ท่านพ่อท่านแม่ข้ายังไม่ได้กล่าวอะไร ท่านบอกเรื่องเหล่านี้กับข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ป้ายหยกนี้ท่าน…” ลู่จื่ออวิ๋นวางหยกนั้นกลับลงบนมือของเซี่ยเฉิงจิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่นคว้าข้อมือของนาง ดึงเข้าไปในอ้อมกอดตน
ทั้งสองคนใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก
ลู่จื่ออวิ๋นสัมผัสได้ถึงลมหายใจของชายหนุ่มอย่างชัดเจน
“ห้าปี ยามนั้นอย่างมากเจ้าก็ใกล้สิบแปดแล้ว ข้าจะกลับมา เจ้าไม่รับปากข้าก็ได้ แต่อย่างน้อยเจ้าให้โอกาสข้าได้ต่อสู้อย่างยุติธรรมสักครั้งได้หรือไม่ จื่ออวิ๋น… จากนี้ห้าปี เจ้าอย่าได้ไปตกหลุมรักชายอื่นเลยนะ”
“ท่านปล่อยข้าก่อน”
“หากเจ้าไม่รับปาก ข้าจะพาเจ้าไปด้วย ถึงแม้บิดาเจ้าจะเอื้อมมือไปถึงฟ้าก็ไม่อาจหาเจ้าพบ!”
ลู่จื่ออวิ๋นผลักเซี่ยเฉิงจิ่น “ท่านไม่ใช่คนอย่างนั้น”
เซี่ยเฉิงจิ่นหัวเราะเบา ๆ
เขาเพียงแค่ต้องการขู่ให้นางกลัวเท่านั้น แต่กลับแสดงได้ไม่แนบเนียน นึกไม่ถึงว่าจะล้มเหลวแล้ว
“หากไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าต้องขอตัวแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นลงจากรถม้า
“หากเจ้าไม่รับปาก ข้าจะไปพูดคุยกับใต้เท้าลู่” เซี่ยเฉิงจิ่นเปิดม่านออก เอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้างนอก
ลู่จื่ออวิ๋นถลึงตามองเขา “ท่านกลับมาอย่างมีชีวิตก่อนเถิด เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน!”
“คุณหนู ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?” ติงเซียงเอ่ยถาม
ลู่จื่ออวิ๋นสั่นศีรษะเบา ๆ “พวกเราไปเถอะ”
เซี่ยเฉิงจิ่นมองร่างของลู่จื่ออวิ๋นเดินห่างออกไป “เอาละ พวกเราควรกลับจวนและเตรียมตัวได้แล้ว”
ลู่อี้ได้ยินลูกน้องรายงาน สีหน้าพลันไม่น่าดูชมขึ้นมาทันที
เจ้าเด็กคนนั้นก่อนไปยังคิดจะลักพาตัวลูกสาวแก้วตาดวงใจของเขาไปด้วย ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก!
เซี่ยคุนที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “อันที่จริงแล้วเจ้าเด็กสกุลเซี่ยผู้นั้นก็ไม่เลวนัก”
“สถานการณ์วุ่นวายเพียงนี้ สกุลเซี่ยยังไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เกี่ยวข้องกับสกุลเซี่ยไม่ใช่เรื่องดีอะไร” ลู่อี้เอ่ย
“หมายความว่าเจ้าเด็กคนนั้นยังรู้อะไรควรอะไรไม่ควร เขาไม่ได้ไปหาเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ต่อหน้าผู้อื่น” เซี่ยคุนเอ่ย “ข้ากลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งกว่าคนรุ่นเก่า ภายหน้าจะต้องได้รับหน้าที่สำคัญเป็นแน่”
“เรื่องของภายหน้าค่อยว่ากันเถอะ อันดับแรกเขาต้องมีชีวิตกลับมาให้ได้ อันดับที่สองเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ต้องชอบพอเขา” ลู่อี้เอ่ย “นอกจากนี้ จงอ๋องต้องไปชายแดน ท่ามกลางหมู่องค์ชาย ตอนนี้เซวียนอ๋องมีอำนาจมากที่สุด ขณะที่จงอ๋องไม่อยู่ เกรงว่าเซวียนอ๋องทางนี้จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
“ข้ากลับรู้สึกว่าหากจงอ๋องมีอำนาจในการควบคุมบัญชาการทหาร เทียบกับรั้งอยู่ในเมืองหลวงแล้ว เขามีประโยชน์ยิ่งกว่า”
“ฮ่องเต้เฒ่าอายุมาก ทั้งยังทานยาอายุวัฒนะเข้าไปเป็นเวลานาน ไม่แน่ว่าวันใด…”