สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 633 ท่านพ่อข้าจะมีจิตใจดีบ้างไม่ได้หรือ
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 633 ท่านพ่อข้าจะมีจิตใจดีบ้างไม่ได้หรือ
บทที่ 633 ท่านพ่อข้าจะมีจิตใจดีบ้างไม่ได้หรือ?
บทที่ 633 ท่านพ่อข้าจะมีจิตใจดีบ้างไม่ได้หรือ?
ดังคำกล่าวที่ว่าปลากับอุ้งตีนหมีไม่อาจได้มาพร้อมกัน
รั้งอยู่ในเมืองหลวงก็ได้มาซึ่งประโยชน์ของการรั้งอยู่เมืองหลวง ไปชายแดนก็ได้มาซึ่งประโยชน์ของการไปชายแดน ต้องการบางสิ่งย่อมต้องเสียบางสิ่ง เช่นนี้จึงจะรักษากฎของความสมดุลไว้ได้
หลังจากองค์ชายรองสูญสิ้นอำนาจ ทางฝั่งเจียงเก๋อเหล่าหมายตาองค์ชายสิบ
เซวียนอ๋องเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่าองค์ชายสิบอายุเพียงเจ็ดปี เป็นช่วงวัยที่ง่ายแก่การควบคุม
แน่นอนว่าจิ้งจอกเฒ่ามีจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ เขามองได้ทะลุปรุโปร่งว่าฮ่องเต้เฒ่าไม่ยินดีสละบัลลังก์ ดังนั้นองค์ชายอายุน้อยเพียงใด ย่อมปลอดภัยมากขึ้นเพียงนั้น ไม่เช่นนั้นตอนองค์ชายรองสูญสิ้นอำนาจ เจียงเก๋อเหล่าที่เป็นมันสมองคงติดร่างแหไปด้วย เจียงเก๋อเหล่าฉลาดมาก เขาถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว เสียดายก็แต่หวางเฟยองค์ชายรอง ลูกสาวที่เขาชุบเลี้ยงมาอย่างดีผู้นั้น…
ครึ่งเดือนต่อมา หิมะหยุดตก หทารเคลื่อนกำลังพลแล้ว
ขุนนางบุ๋นบู๊ภายใต้การนำของเซวียนอ๋องพากองทัพออกจากเมือง
ท่ามกลางฝูงชน จงอ๋องและลู่อี้สบตากัน
ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยแม้เพียงคำเดียว ทว่าพวกเขาล้วนรับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
นับตั้งแต่วันที่ลู่อี้เลือกจงอ๋อง เขาก็ไม่มีลู่ทางอื่นแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์รัชทายาท หรือองค์ชายรอง ล้วนแต่เป็นฝีมือเขาทั้งสิ้น
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเติมเชื้อเพลิงให้กองไฟ ทั้งสองคนคงไม่ร่วงหล่นลงมาเร็วเพียงนี้ ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดไร้ความสามารถยิ่งกว่าคนผู้นั้นแล้ว
ยามนี้ลู่อี้และจงอ๋องมีความตั้งใจเช่นเดียวกัน พวกเขาหวังหว่าฮ่องเต้เฒ่าผู้นั้นจะมีชีวิตยืนยาวขึ้นอีกหน่อย จนกว่าจงอ๋องจะกลับมาพร้อมคุณูปการอย่างใหญ่หลวง
ลู่จื่ออวิ๋นมองเซี่ยเฉิงจิ่นผู้ที่สวมชุดเกราะ
แม่ทัพหนุ่มดูองอาจผึ่งผาย ไม่รู้ว่าทำให้แม่นางมากน้อยเพียงใดนอนไม่หลับ
ครั้งแรกที่ได้พบเขา นางคิดเพียงว่าคนผู้นี้หน้าตาดียิ่งนัก ราวกับผ้าที่ถักทอได้งดงามหรูหราผืนหนึ่ง ที่แค่เพียงแตะต้องก็รู้สึกราวกับกำลังทำให้ความงามต้องแปดเปื้อน
ทว่าเมื่อลอกเปลือกออกมา เขากลับเป็นคนที่แปลกประหลาดคนหนึ่ง
เซี่ยเฉิงจิ่นขยิบตาให้ลู่จื่ออวิ๋น เอ่ยบางสิ่งโดยไร้สุ้มเสียง
ลู่จื่ออวิ๋นอ่านปากออก สิ่งที่เขากล่าวคือ ‘รอข้าล่ะ สาวน้อย’
“ร่างกายของเซี่ยเฉิงจิ่นมีเลือดของราชวงศ์อาณาจักรเฟิ่งหลินไหลเวียน” ลู่ฉาวอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “หากสงครามระหว่างสองกองทัพตึงเครียด มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกส่งไปสังเวยธง”
“ท่านพี่ เหตุใดท่านต้องบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า?” ลู่จื่ออวิ๋นหวาดกลัวขึ้นมา
คนที่หน้าตางดงามเช่นนั้นต้องสังเวยให้แก่ธงรบ นี่ไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ?
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่อยากบอกเท่านั้น” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “พวกเขาไปไกลแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ!”
ทันทีที่ลู่อี้กลับมายังศาลต้าหลี่ เจี่ยเฉิงผิงก็เดินเข้ามารายงาน “พวกเราพบเบาะแสใหม่แล้ว เรื่องที่ท่านต้องการตรวจสอบก็มีร่องรอยแล้วเช่นกัน”
“จริงหรือ?” ลู่อี้เร่งฝีเท้า “อยู่ที่ใด?”
“ในห้องขังขอรับ”
เรื่องที่ลู่อี้ต้องการตรวจสอบ แน่นอนว่าเป็นเรื่องการตายของบิดามารดาเขา
ตอนนั้นบิดามารดาเขาตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะสตรีนางหนึ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะส่งคนออกไปตรวจสอบมากมายเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดตรวจสอบออกมาได้ว่าใครคือสตรีผู้นั้น ขอแค่เพียงสืบทราบตัวตนของสตรีผู้นั้น ปัญหาย่อมคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
เมื่อลู่อี้ออกมาจากห้องขังก็เรียกตัวเซี่ยคุนมาแล้วเอ่ยทันที “ท่านไปตรวจสอบฮูหยินอินจากจวนองค์หญิงใหญ่เสียหน่อย”
“สะใภ้ขององค์หญิงใหญ่ผู้นั้นหรือ?”
“ไม่ผิด”
“นางเป็นเพียงคนป่วยผู้หนึ่ง หลายปีมานี้ล้วนถือศีลไหว้พระอยู่แต่ที่จวนตลอดเวลา แทบไม่ได้ออกมาพบปะผู้คน เกี่ยวข้องอะไรกับคนผู้นี้?”
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา สตรีที่ถูกข่มเหงที่วัดตอนนั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นฮูหยินอิน”
“ได้ ข้าจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้!”
เส้นสายของเซี่ยคุนรวมกับเส้นสายของลู่อี้ ทำให้ก่อตั้งหน่วยข่าวกรองใหม่ขึ้นมาได้หน่วยหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้กลับตรวจสอบเรื่องของฮูหยินอินผู้นี้ออกมาไม่ได้ กล่าวได้เพียงว่าผู้ที่ลบร่องรอยทั้งหมดอย่างลับ ๆ มีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง
คืนนั้น ลู่อี้เรียกลู่เซวียนและภรรยามาทานมื้อค่ำที่จวนด้วยกัน
มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วลุกออกจากโต๊ะมาก่อน ทั้งสองคนพาเด็ก ๆ มาเล่นด้วยกัน แน่นอนว่าหลัก ๆ แล้วเล่นกับเสี่ยวชิงเอ๋อร์ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์และลู่ฉาวอวี่ล้วนมีเรื่องของตนที่ต้องจัดการ บัดนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาหาพ่อแม่แล้ว
วันนี้เซี่ยคุนออกไปจัดการเรื่องบางอย่าง จึงไม่ได้เรียกอันอวี้มาด้วย
บนโต๊ะอาหารเหลือเพียงลู่อี้และลู่เซวียนสองคนพี่น้อง ลู่อวี้บอกเรื่องที่เขาตรวจสอบพบให้น้องชายฟัง
“ข้าให้เซี่ยคุนตรวจสอบต่อไปแล้ว หากเป็นฮูหยินอินผู้นั้นจริง ๆ เช่นนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของท่านพ่อท่านแม่ย่อมไม่พ้นจากจวนองค์หญิงใหญ่แน่”
“หากเป็นจวนองค์หญิงใหญ่จริง ๆ พี่ใหญ่มีแผนเช่นไร?”
“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่เก็บพวกเขาไว้” ลู่อี้กล่าว “พวกเราตรวจสอบมานานหลายปีเพียงนี้ก็เพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบออกมาให้กระจ่างเสียก่อน ตรวจสอบแน่ชัดแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ในเรือนปีกข้าง ลู่จื่อชิงเล่นของเล่นโดยมีสาวใช้เล็ก ๆ อายุหกปีถึงสิบปีหลายคนในจวนอยู่เป็นเพื่อนนาง
มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วกำลังพูดคุยกัน
“หมู่นี้การเล่าเรียนของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“เหล่าอาจารย์ล้วนกล่าวว่านางมีพรสวรรค์ เรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว ฉิน หมากล้อม เขียนอักษร ภาพวาด บทกลอน บทเพลง เกรงว่าจะไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้ ไม่นานมานี้กลอนบทหนึ่งยังแพร่ออกไป ถึงขั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีมีพรสวรรค์”
“กฎจวนเข้มงวดถึงเพียงนี้ บทกลอนยังแพร่ออกไป คงเป็นความตั้งใจของพี่ใหญ่กระมัง?”
“หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ผู้ใดจะกล้าละเมิดกฎจวนลู่?” มู่ซืออวี่เอ่ย “คราก่อนเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์เข้าร่วมงานเลี้ยง ผู้เยาว์ไม่กลัวตายผู้หนึ่งพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะใส่นางจึงซี่โครงหักไปสองซี่ ทั่วทั้งเมืองหลวงผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าใต้เท้าลู่เป็นทาสลูกสาว ใครจะด่าว่าเขาว่าโหดเหี้ยมอำมหิตล้วนได้ทิ้งสิ้น แต่ไม่อาจพูดจาว่าร้ายลูกสาวของเขาได้”
“พี่ใหญ่ทำเช่นนี้ดียิ่ง”
“ญาติผู้พี่ของเจ้าผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง? ยังอาศัยอยู่ที่บ้านเจ้าหรือ?”
“ข้ากำลังจะปรึกษากับท่านแม่ ข้าอยากย้ายพวกเขาออกไปอยู่ที่เรือนหลังอื่น”
“ถึงแม้จะเป็นญาติ แต่อยู่ด้วยกันตลอดก็ไม่สะดวกจริง ๆ ญาติผู้พี่ของเจ้าผู้นั้นก็ทำตัวเป็นกันเองเสียจริง อยู่นานเพียงนี้แล้วกลับไม่เอ่ยอะไร”
และในคืนนั้น สามีของเซี่ยวเจินที่ทุกข์ทรมานมานานก็จากไป…
วันต่อมา เซี่ยวซื่อจึงจัดเตรียมงานศพให้สามีของเซี่ยวเจิน
เจ็ดวันให้หลัง ผู้ตายก็ได้กลับไปพักใต้ผืนดินอย่างสงบสุข
ขณะที่ภายในใจเซี่ยวซื่อจะยังพะวงถึงสามีที่ไปออกรบไกลถึงชายแดน แต่นางก็ต้องดูแลหลานสาวตนที่ล้มป่วย
แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้หากให้เซี่ยวเจินไปอาศัยอยู่ที่อื่นคงไม่ดีนัก อย่างไรเสียสามีของนางก็เพิ่งจากไป นี่เป็นช่วงเวลาที่คนเศร้าโศกเป็นที่สุด ดังนั้นเซี่ยวเจินจึงรั้งอยู่ที่จวนซู
“คุณหนู มีจดหมายมาถึงท่าน” ติงเซียงเดินถือจดหมายเข้ามา “ท่านลองเดาสิเจ้าคะว่าผู้ใดเขียนมา?”
ลู่จื่ออวิ๋นจัดการเย็บตะเข็บสุดท้ายแล้วจึงเอ่ย “ข้าไม่ได้มีสหายที่ไหน ข้าเดาไม่ถูก”
“ท่านเดาได้แล้ว เพียงแต่ไม่อยากเอ่ยออกมา” ติงเซียงส่งจดหมายให้นาง “ท่านอ่านดูเถิด ไม่รู้ว่าเขียนอะไรมา”
ลู่จื่ออวิ๋นรับจดหมายนั้นไป
เมื่อเปิดออกดู จึงเห็นตัวอักษรงดงามดั่งหงส์ร่อนมังกรรำอยู่บนนั้น
นางไม่ได้อ่านเนื้อหา เพียงแต่อ่านนามในนั้น
จิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่น
จากไปได้ไม่นานก็เขียนจดหมายมาแล้ว คนผู้นั้นเป็นเช่นนี้จะออกรบได้หรือ?
นางกวาดตาอย่างรวดเร็ว อ่านเนื้อหาที่อยู่ในจดหมาย
ส่วนใหญ่เอ่ยถึงทิวทัศน์ระหว่างทาง ส่วนสุดท้ายเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด อีกฝ่ายกล่าวว่าจงอ๋องสุภาพต่อเขายิ่ง ทั้งยังได้รู้จากปากของจงอ๋องว่านี่เป็นคำแนะนำของลู่อี้
ลู่จื่ออวิ๋นพึมพำ “แล้วอย่างไร? ท่านพ่อข้าจะมีจิตใจดีบ้างไม่ได้หรือ?”